จันทราอัสดง
ทดลองอ่าน จันทราอัสดง เล่ม 3 บทที่ 74-75
กลางดึกเยี่ยฉู่เฟิงได้ยินทหารมารายงานว่าบนซุ้มประตูเมืองหลินเวย จู่ๆ ก็มีสตรีสองคนปรากฏตัว
เขาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ จึงรีบเดินออกมานอกกระโจม
ควบอาชารุดมาถึงใต้กำแพงเมืองหลินเวย ยามนี้ดวงตาเขาเป็นเนตรปีศาจแล้ว มองปราดเดียวจึงเห็นทันทีว่าบนซุ้มประตูเมืองเป็นใคร
เยี่ยฉู่เฟิงกำสายบังเหียนแน่น
องค์ชายแปดอยู่บนซุ้มประตูเมือง ฉีกยิ้มเย็นชาให้เขา “แม่ทัพเยี่ย หลังฟ้าสางข้าจะให้เจ้าดูละครฉากเด็ดฉากหนึ่ง”
หัวคิ้วของเยี่ยฉู่เฟิงขมวดแน่น รีบใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงที่นักพรตเฒ่ามอบให้รายงานถานไถจิ้น
หิมะตกหนักตลอดทั้งคืน เดิมทีเยี่ยฉู่เฟิงคิดว่าทรราชผู้นี้ไม่น่าจะมาทัน แต่วันต่อมา เมื่อดวงอาทิตย์ยามเช้าลอยขึ้น คณะของถานไถจิ้นกลับปรากฏตัวในกระโจม
ฮ่องเต้ในชุดสีนิลสวมชุดเกราะ บนไหล่ยังมีหิมะที่ยังไม่ละลาย
การวาดข่ายอาคมเคลื่อนย้าย นักพรตเฒ่าต้องใช้โลหิตของถานไถจิ้นจำนวนมาก ถานไถจิ้นจึงใบหน้าขาวซีด กำลังเช็ดหน้าไม้คมกริบช้าๆ ดูสุขุมกว่าที่เยี่ยฉู่เฟิงคิดเอาไว้มาก
เยี่ยฉู่เฟิงคิดในใจ ไม่รู้ว่าถานไถจิ้นรุดมาไวปานนี้ เป็นเพราะข้า หรือว่า…ซีอู้
ถานไถจิ้นเอ่ยขึ้นว่า “เศษสวะผู้นั้นคิดจะทำสิ่งใด”
เยี่ยฉู่เฟิงเม้มปาก ตอบตามความจริง “องค์ชายแปดจับตัวซีอู้กับปิงฉางไป บอกว่าหลังฟ้าสางจะให้ชมละครฉากเด็ด”
ถานไถจิ้นยิ้มเสียดสี ฟังจบก็หยิบหน้าไม้ขึ้นมาและลุกขึ้น
“เคลื่อนทัพ” ชายอาภรณ์ของเขาถูกลมพัดจนส่งเสียงดังพึ่บพั่บ “เราจะให้ถานไถหมิงฮั่นตายในสภาพศพไม่ครบส่วน”
น้ำเสียงของถานไถจิ้นราบเรียบยิ่งนัก หากไม่เพราะเขามาถึงอย่างรวดเร็ว เยี่ยฉู่เฟิงอาจจะคิดว่าเขาไม่ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย
ทัพใหญ่ดำทะมึนประชิดกำแพงเมือง ตอนแรกถานไถหมิงฮั่นลนลานครู่หนึ่ง แต่คิดถึงสตรีสองคนในมือแล้ว มุมปากเขาก็เผยรอยยิ้มประหลาด
ข่าวลับในวังลือกันว่าตัวประหลาดที่เป็นพี่ชายตนผู้นี้แหวกท้องมารดาเพื่อลืมตาขึ้นมาดูโลก
จะอย่างไรตนก็ต้องตายอยู่ดี เมื่อถูกบีบจนหมดหนทาง ได้ลากสตรีของเขาตายไปด้วย กลับเป็นตนที่ได้กำไร
ทัพใหญ่ประชิดเมือง ดวงตะวันเพิ่งจะสาดแสง บนท้องฟ้าก็เริ่มมีฟ้าผ่า
ฤดูหนาวของแคว้นโจวปีนี้ สภาพอากาศผิดปกติอยู่แล้ว คืนนี้ยิ่งประหลาด เสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น แต่กลับไม่มีฝนตกลงมา ถึงขั้นมองไม่เห็นสายฟ้าด้วยซ้ำไป
เสียงฟ้าร้องดังอึงอลเสียงแล้วเสียงเล่า เหมือนกระแทกลงบนใจคน
ม้าศึกตื่นตระหนกจนก้าวเท้าไปมาอย่างกระสับกระส่าย
ถานไถจิ้นที่อยู่บนราชรถเหม่อลอยครู่หนึ่ง เขาไม่มีเวลาได้คิดมาก เสียงฟ้าร้องอื้ออึงดังต่อเนื่องไม่นาน บนซุ้มประตูเมือง องค์ชายแปดสวมชุดมังกรสีเหลืองอร่าม ใบหน้าฉายความบ้าคลั่งของคนที่กำลังจะตาย
เยี่ยฉู่เฟิงอดตะโกนเรียกมิได้ “ซีอู้! ปิงฉาง!”
ถานไถจิ้นเงยหน้ามองไป ภายใต้ท้องฟ้ามืดครึ้ม เขามองปราดเดียวก็เห็นหญิงสาวบนกำแพงเมือง
หลีซูซูเปลี่ยนมาสวมเสื้อบุนวมสีขาวที่เขาส่งไปให้ นัยน์ตาดำเข้มจ้องมองทัพใหญ่ แม้มีผู้คนเป็นพันหมื่นขวางกั้น แต่นางกลับ ‘มองเห็น’ เขาได้ในแวบแรก
บางทีนั่นอาจเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง ชั่วขณะนั้นอากาศเหมือนจะหยุดนิ่ง
มือของถานไถจิ้นจับราชรถแน่น เขายอมรับว่าตอนที่รู้ว่าหลีซูซูสวมกำไลฝูจื่อแล้วยังคงเลือกที่จะจากไป ในใจเขาบังเกิดความกดดันไม่สิ้นสุด
ถึงขั้นกลายเป็นความแค้นที่ยากจะบรรยาย อารมณ์มืดทะมึนในใจแผ่ออกไป นางชอบเซียวหลิ่นถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เซียวหลิ่นตายไปแล้ว นางจึงอยากตายไปพร้อมเขาด้วยใช่หรือไม่
เยี่ยปิงฉางใบหน้าฟกช้ำ ตอนที่เห็นถานไถจิ้น นางหลั่งน้ำตาอย่างห้ามไม่อยู่
องค์ชายแปดหัวเราะฮ่าๆ “เดรัจฉานน้อย วันนี้เราขึ้นครองราชย์ที่เมืองหลินเวย ในเมื่ออุตส่าห์เชิญทัพใหญ่หลายแสนมาร่วมชมพิธีได้ เราจะไม่แล้งน้ำใจไร้คุณธรรมเหมือนเจ้าหรอก หญิงที่เจ้ารักเราจะคืนให้เจ้า ทิ้งไว้หนึ่งคนให้ตายเป็นเพื่อนเราเป็นอย่างไร วางใจ เราพูดได้ทำได้แน่นอน ฟูเหรินของเจ้ากับคุณหนูเยี่ย จะรอดชีวิตได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เจ้าเลือกใคร”
พอได้ยินคำพูดนี้ เยี่ยฉู่เฟิงใบหน้าถอดสี สำหรับเขา ทั้งสองคนต่างก็เป็นน้องสาวแท้ๆ เขาไม่อยากให้พวกนางเกิดเรื่องไม่ว่าใคร
ถานไถจิ้นไม่เอ่ยอะไร
อันที่จริงสำหรับเขาเลือกใครล้วนไม่แตกต่าง ขอเพียงพวกนางปรากฏตัวในสายตาเขา เขาก็สามารถช่วยทั้งสองคนได้ในชั่วเวลาคับขันตอนสุดท้าย
ธงกลืนวิญญาณหดเล็กลงอย่างเงียบเชียบ ลอยไปยังซุ้มประตูเมือง เข้าใกล้องค์ชายแปดอย่างช้าๆ
ภายใต้ผืนฟ้ามืดมนหนักอึ้ง หญิงสาวสองคน คนหนึ่งกัดริมฝีปาก มองเขาอย่างวิงวอนและหวาดหวั่น ใบหน้าดุจดอกสาลี่เจือพิรุณ ส่วนอีกคน…
นัยน์ตาที่ดูคล้ายหินเฮยเย่าจ้องมองท้องฟ้าสีเทาหม่น แม้จะมองไม่เห็นแล้ว ทว่าในดวงตานางยังคงไม่มีเงาร่างของเขา
เหมือนเช่นในคืนนั้น นางเบือนหน้าไปทางอื่น แม้แต่กลิ่นอายของเขายังไม่อยากให้แปดเปื้อนตัว
ถานไถจิ้นแววตาเยียบเย็น ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
รอยยิ้มขององค์ชายแปดหุบลง เอ่ยเสียงเย็นชาอันตราย “รีบเลือกเสีย! หาไม่แล้วข้าจะฆ่าทิ้งทั้งสองคน!”
ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ โกวอวี้อดหันไปมองหลีซูซูมิได้
ขนตายาวดำเข้มของหลีซูซูไหวระริก นางดึงสายตากลับมา มองไปยังทิศทางของถานไถจิ้น
โกวอวี้ไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ อยากให้ถานไถจิ้นเลือกตนหรือไม่ แต่โกวอวี้รู้ว่าการถูกคนทอดทิ้ง ถึงอย่างไรก็น่าเศร้า
นานเหลือเกินแล้วที่นางไม่ได้รับความรักและความทะนุถนอมจากใคร…
ตรองดูให้ดี หลีซูซูกับถานไถจิ้นก็เคยมีช่วงเวลาดีๆ เหมือนกัน เด็กหนุ่มที่แบกนางเดินเท้าเปล่าใต้แสงจันทร์กลับไปดูต้นท้อ ถานไถจิ้นที่ไม่อนุญาตให้ใครทำร้ายนางตอนอยู่ใต้แม่น้ำโม่เหอ ยังมีเทศกาลบุปผา ท่าทางของเขาตอนกอดนางบนสะพาน
หากนางมิได้มาที่นี่พร้อมกับภาระหน้าที่ บางทีวันนี้อาจไม่ต้องเดินมาจนถึงขั้นนี้
นิ้วมือของหลีซูซูกำหมัดเบาๆ บางทีแม้แต่ตัวนางเองยังไม่รู้ว่าเหตุใดจึงไม่สังหารเยี่ยปิงฉางเสีย กลับเดินตามพวกเขาขึ้นมาบนซุ้มประตูเมือง
นางมาเยือนโลกมนุษย์ครั้งนี้ ทุ่มเทเพื่อผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา แต่นางมิใช่วิญญาณเทพที่ไร้ใจไร้รัก นางก็คาดหวังเหมือนกันว่าในช่วงสองปีนี้จะมีคนใส่ใจนาง ไม่ว่าจะเป็นท่านย่า พี่รอง หรือว่าถานไถจิ้น
ภายใต้ลมหิมะรุนแรง หลีซูซูได้ยินฮ่องเต้หนุ่มในราชรถเอ่ยเสียงเรียบ “ปล่อยตัวปิงฉาง”
เสียงลมหยุดลงข้างหูหลีซูซู โลกของนางเปลี่ยนเป็นเงียบสนิท
เยี่ยปิงฉางน้ำตาคลอ ผลิยิ้มออกมา
ถานไถจิ้นอดหันไปมองหลีซูซูด้านข้างมิได้
เขาก็ไม่รู้ว่าตนเองอยากเห็นนางแสดงสีหน้าอย่างไร ต่อให้เป็นความโกรธแค้น ก็ยังดีกว่าเย็นชาเหยียดหยันกระมัง เขาหวังอยากให้นางเสียใจภายหลัง ทั้งยังปรารถนาความคับแค้นและไม่ยอมรับอย่างรุนแรงจากนาง อยากทำให้นางรู้ว่าใครที่สามารถมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้นางได้
ทว่าหลีซูซูกลับยืนอยู่บนซุ้มประตูเมืองสูงตระหง่าน เพียงนิ่งงันไปชั่วขณะ จากนั้นเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา รอยยิ้มนั้นไม่มีความโกรธแม้แต่น้อย ถึงขั้นเจือความรู้สึกหลุดพ้นอยู่หลายส่วน
ถานไถจิ้นพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ
ลมแรงหอบพัดชายอาภรณ์ของหลีซูซูขึ้นมา ดาบขององค์ชายแปดแทงไปยังหลีซูซู ถานไถจิ้นหรี่ตา ภายใต้ธงกลืนวิญญาณ องค์ชายแปดและคนของเขาเบิกตาถลน วิญญาณถูกดูดไปจนสิ้น ก่อนจะล้มลง
มีคนเอ่ยขึ้นว่า “สายอสนีบนท้องฟ้านั่นคืออะไร!”
ถานไถจิ้นเงยหน้า หัวใจเต้นผิดจังหวะ เขาพลันตระหนักว่าเหตุการณ์อยู่เหนือการควบคุมของเขา หันกลับไปอีกครั้ง หลีซูซูหลุดจากเชือกที่มัดตัวอยู่ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ยามนี้ยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของซุ้มประตูเมือง
บางซอกมุมในหัวใจจมดิ่งลงไม่หยุด เขาฝืนประคองสีหน้าเย็นชาไว้ แต่กลับตะโกนออกไปด้วยเสียงลนลานอย่างมิอาจควบคุม “เยี่ยซีอู้! ลงมาเดี๋ยวนี้!”
ไอสีม่วงกับไอสีดำในดวงตาหลีซูซูผสานกัน อสนีม่วงที่เดิมแฝงเร้นอยู่บนท้องฟ้ามารวมตัวกันเหนือศีรษะนางทั้งหมด เกิดเป็นภาพอันน่าพรั่นพรึง
กำไลเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้า เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นหยกโค้งชิ้นหนึ่ง เริงระบำรอบตัวนาง
เยี่ยปิงฉางมองไปยังตำแหน่งที่หลีซูซูอยู่ ดวงตาสาดประกาย ส่งสัญญาณไปยังองครักษ์เฉียนหลง ขอเพียงตอนนี้…
หลีซูซูยกมือขึ้น บีบคอเยี่ยปิงฉางกลางอากาศ
เยี่ยปิงฉางไม่รู้ว่าหลีซูซูรู้ได้อย่างไร นางมีสีหน้าหวาดหวั่น ราวกับหลีซูซูเป็นตัวประหลาดกระนั้น สองขาดิ้นรนไม่หยุด “ปะ…ปล่อยข้า…”
“เจ้าพูดถูก ข้าไม่เคยเห็นเจ้าอยู่ในสายตาเลย” ภายใต้อสนีม่วง น้ำเสียงของหลีซูซูกระจ่างเย็นชาประหนึ่งเทพ นางหลุบตาเอ่ยว่า “โลกนี้มีแมลงชีปะขาว เกิดทิวาตายราตรี กระนั้นก็ยังสะอาดบริสุทธิ์กว่าชีวิตเช่นนี้ของเจ้านัก”
หลีซูซูรวบมือเข้าด้วยกัน แต่กลับคลายออกในชั่วเวลาสุดท้าย เยี่ยปิงฉางร่วงตกลงไปข้างล่างจากที่สูง น้ำตาแห่งความหวาดหวั่นอาบเต็มใบหน้า
“เจ้า เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่…”
หลีซูซูไม่ตอบ อสนีเล็กๆ สายหนึ่งตกลงบนร่างของเยี่ยปิงฉาง
เยี่ยปิงฉางตัวสั่นอย่างรุนแรง เส้นลมปราณขาดทั้งหมด นางแผดเสียงร้องอย่างเจ็บปวด
อสนีม่วงหนาขึ้นทุกที นัยน์ตาสีม่วงของหลีซูซูมิได้ดูชั่วร้าย กลับให้ความรู้สึกสงบจนชวนให้คนใจสั่น
นิ้วมือเรียวบางขาวซีดทำมุทราอันงดงาม อสนีม่วงเริ่มถูกชักนำเข้าไปในโกวอวี้ทีละสาย มุมปากนางก็เริ่มมีโลหิตไหลออกมา
มหามรรคาเดิมไร้เยื่อใยอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องมีความโกรธหรือความแค้น การเสียสละของโกวอวี้ การเสียสละของนาง จะทำให้โลกในอีกห้าร้อยปีให้หลังมีบุปผาที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งผลิบาน
…จิตบำเพ็ญของนาง แน่วแน่โดยสมบูรณ์
หญิงสาวหลับตา เบื้องหลังค่อยๆ ปรากฏวัตถุรูปร่างคล้ายบุปผาสีม่วง เริ่มแรกมันเป็นดอกตูม ภายหลังผลิบานช้าๆ ข้างหลังนาง
ครั้นเห็นเค้าโครงของบุปผาเหนือพิภพ นิ้วมือของถานไถจิ้นแข็งชะงัก หนึ่งปีก่อนตอนอยู่ในต้นท้อ เขาเคยเห็นดอกไม้ที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการ หลังจากนั้นเขาตกลงไปในห้วงฝันร้ายไม่สิ้นสุด ทว่าดอกไม้ดอกนั้นกลายเป็นดวงตาของตนไปแล้วมิใช่หรือ ไฉนจึงไปอยู่ที่เยี่ยซีอู้ได้!
ตาข้างซ้ายปวดแสบ ถานไถจิ้นกุมดวงตาของตนเอง พลันตระหนักถึงความจริงบางอย่าง ใบหน้าค่อยๆ ซีดลง
ไม่ เป็นไปไม่ได้
นางรังเกียจเขามาโดยตลอด มนุษย์ล้วนเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น นางจะมอบดวงตาให้เขาได้อย่างไร!
เขากัดเนื้อในโพรงปากแน่น ร้องบอกหลีซูซู “ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าขอสั่งให้เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”
เขาไม่เคยลนลานเช่นนี้มาก่อน แม้จะบีบกำไลฝูจื่อบนข้อมือแน่น ก็ยังมิอาจทำให้เขาสบายใจขึ้นได้แม้แต่น้อย ไม่ ไม่ใช่อย่างที่เขาคิดแน่นอน!
“ถานไถจิ้น” หลีซูซูได้ยินเสียงเขา จึงลืมตาขึ้น นัยน์ตาดำสนิท ‘มอง’ เขาอย่างนิ่งสงบ เอ่ยด้วยท่าทีปล่อยวาง “ตะปูดับวิญญาณหกดอก ข้าผิดต่อเจ้า ข้าขอโทษ”
ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น ในใจเขามีเสียงหนึ่งกำลังบอกว่า อย่าทำเช่นนี้ อย่าขอโทษ!
เขาพลันหวาดกลัวในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ร่างกายสั่นเทานิดๆ
หญิงสาวบนซุ้มประตูเมืองดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นและอ่อนโยน นางยังคงอยู่ในความมืดมิดขณะเอ่ยว่า “ข้านำกระดูกมารของเจ้าไป คืนไขกระดูกเทพให้กับเจ้า เจ้าเคยมองเห็นสรรพสิ่งในยันต์สรรพชีวิต หากเป็นไปได้ ขอให้วิถีเซียนของเจ้านับจากนี้ไปปลอดโปร่งราบรื่น บันดาลสุขแก่ใต้หล้า”
อย่าเป็นมารอีกเลย ไปเป็นเทพเถอะ
เขาเย็นเฉียบไปทั้งตัว “ไม่…ไม่…”
หลีซูซูกางแขนทั้งสองข้าง
ขอให้นางได้ฝันโดยไม่มีวันตื่น ในฝันมีสรรพสิ่ง หิมะที่ไม่ละลายบนบรรพตฉางเจ๋อ ศิษย์พี่ทั้งหลาย พุน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่นางถือกำเนิด บ้านของนาง
ไม่มีความมืดมน ไม่มีทุกข์สุขในโลกมนุษย์ ไม่มีความสิ้นหวังและความหวาดกลัว
ถานไถจิ้นตระหนักว่านางจะทำสิ่งใด เขาล้มลุกคลุกคลานลงจากราชรถ
“ไม่นะ! อย่า!”
เขาผิดไปแล้ว เขาไม่ควรแก้แค้นนาง ตะปูหกดอกไม่เจ็บเลยสักนิด ไม่เจ็บเลยจริงๆ! ขอเพียงนางยังมีชีวิตอยู่ ไม่ชอบเขาจะเป็นไรไป รังเกียจเขาจะเป็นไรไป
ทว่าหลีซูซูกลับมิได้มองเขา ทั้งยังไม่ได้ยินคำพูดของเขา
เงาแสงสีขาวพุ่งออกจากตัวนางครั้งแล้วครั้งเล่า จังหวะที่แก่นวิญญาณและดวงจิตของนางเข้าสู่โกวอวี้ อสนีม่วงก็เข้าไปอยู่ในหยกศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเช่นกัน กลายเป็นไขกระดูกเทพขาวบริสุทธิ์ชิ้นหนึ่ง จมลงในร่างของถานไถจิ้น
เมฆดำสลายไป ท้องฟ้าพลันสว่างจ้า หิมะที่ตกหนักทั่วฟ้าดินโปรยปรายลงมา
นางกางแขน ทิ้งตัวลงมาจากซุ้มประตูเมืองประหนึ่งผีเสื้อที่เบาหวิว
ใต้กำแพงเมือง เงาร่างสีนิลวิ่งเข้าไปเหมือนคนบ้า หมายจะรับตัวนางไว้
เขาวิ่งเร็วถึงเพียงนั้น หกล้มก็ลุกขึ้นใหม่ทันที ทว่าเขาอยู่ห่างไกลเกินไป ไกลจนเหมือนเป็นเส้นทางสายหนึ่งที่มองไม่เห็นความหวังตลอดกาล
ขณะที่เขานึกขึ้นได้ว่าต้องใช้ธงกลืนวิญญาณรับตัวนางไว้ ธงกลืนวิญญาณกลับถูกไขกระดูกเทพฉีกขาด กระดูกมารที่เป็นสีดำตลอดทั้งท่อนถูกถอนออกไปจากตัวเขาทีละชุ่นๆ ชั่วขณะนั้นเขาขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่น้อย
เขาได้แต่มองตาค้าง หิมะกลางอากาศเงียบสงบและเชื่องช้า เหมือนโลกสองใบที่ถูกฉีกออกจากกันกะทันหัน
นอกโลกของเขา กำไลฝูจื่อบนข้อมือหญิงสาวแตกเป็นเสี่ยงๆ
นางเองก็เหมือนกำไลสีทองวงนั้น แตกสลายอยู่ใต้กำแพงเมืองเบื้องหน้าเขา
ในโลกของเขา…
ตาขวาของเขาแข็งทื่อไร้ความรู้สึก เฝ้ามองทุกสิ่งทุกอย่างนี้เหมือนคนนอก ทว่าดวงตาข้างซ้าย โลหิตกลับรินไหลดังไข่มุกเม็ดโต เม็ดแล้วเม็ดเล่า อาบเต็มใบหน้าตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้
เขายื่นมือออกไปหานาง
มิอาจสัมผัสถึงอุณหภูมิของนาง สัมผัสได้เพียงหิมะเย็นเยือกและสายลมบาดกระดูก หนาวจนทำให้คนสั่นสะท้าน
* ทุบกระปุกแตกให้แตกละเอียด เป็นสำนวน หมายถึงเมื่อเกิดความบกพร่องหรือผิดพลาดแล้ว แทนที่จะแก้ไขกลับตัดสินใจเดินหน้าต่อไปอย่างเต็มที่ ทำต่อไปจนถึงที่สุดให้รู้ดำรู้แดง
* ตัวตลกที่กระโดดอยู่บนไม้คาน อุปมาถึงคนชั่วที่ก่อเรื่องวุ่นวายอย่างเหิมเกริม แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนพฤศจิกายน 65)