บทที่ 4 สุภาพบุรุษรักเด็ก
จิระประไพพลิกข้อมือดูนาฬิกา ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายใบใหญ่เพื่อควานหาโทรศัพท์มือถือ ขณะเดียวกันสองขาก็ก้าวลงจากบันไดของตึกสำนักงานเพื่อออกไปยังถนนใหญ่ เธอต้องหาแท็กซี่เพื่อเดินทางต่อ
พอหามือถือเจอเธอก็ดึงมันขึ้นมา ตั้งใจจะใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อเรียกแท็กซี่ แต่ยังไม่ทันกดไอคอนของแอพพลิเคชั่นที่ต้องการก็มีเสียงเรียกลอยมา
“คุณจีครับ กำลังจะไปสถานีรถไฟฟ้าหรือเปล่า ติดรถผมไปไหม”
จิระประไพเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียกและพบรถคันหรูจอดอยู่ กระจกถูกลดลงมาครึ่งหนึ่ง และคนที่อยู่บนเบาะคนขับก็ไม่ใช่ใครนอกจากกิตติยุทธ
“เอ้อ ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ แต่…”
“มาเถอะครับ ไม่ต้องเกรงใจหรอก ยังไงก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มไม่ฟังคำปฏิเสธของเธอสักนิด และไม่พูดเปล่าเขายังเอื้อมมาเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้เธอด้วย พอเป็นอย่างนี้แล้วหญิงสาวก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ก้าวขึ้นรถโดยดี
“เอ่อ ขอบคุณนะคะ” จิระประไพพึมพำหลังจากวางกระเป๋าสะพายลงบนตัก จากนั้นก็หันไปดึงเข็มขัดนิรภัยคาดให้เรียบร้อย
“เรื่องแค่นี้เองครับ แล้วนี่คุณวีต้องรีบไปทำงานที่อื่นต่อเหรอ”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ
ปกติแล้วเวลามาประชุมโปรเจ็กต์ของบริษัทกิตติยุทธจะต้องมีทั้งสถาปนิกและมัณฑนากร นั่นก็คือเธอกับวีรากรผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิทและมือขวาของอาชวิน ที่ผ่านมาหลังประชุมเสร็จเธอมักจะกลับออฟฟิศพร้อมหนุ่มรุ่นพี่ หรือถ้าเขามีธุระต่อก็จะให้เธอติดรถออกจากตึกไปลงที่สถานีรถไฟฟ้าเป็นอย่างน้อย แต่วันนี้การประชุมค่อนข้างยืดเยื้อ พอออกจากห้องประชุมปุ๊บอีกฝ่ายเลยออกเดินทางต่อปั๊บ แถมวันนี้จุดหมายปลายทางต่อไปของเขาก็อยู่นอกเมือง ดังนั้นจิระประไพเลยต้องหาทางไปสถานีรถไฟฟ้าเอง ซึ่งอันที่จริงมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาหนักหนาสำหรับเธอ
มัณฑนากรสาวพอรู้ว่ากิตติยุทธเป็นพวกใจดีมีน้ำใจ แต่เธอก็ไม่นึกว่าเขาจะชวนเธอขึ้นรถแบบนี้…มันก็ไม่ถึงกับแปลกหรอก เพราะอันที่จริงก็มีลูกค้าที่ใจดีให้เธอติดรถอยู่บ้าง เพียงแต่กิตติยุทธดันเป็นแฟนของนีรัมพรด้วยนี่สิ
“ผมได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับ Archwin มานาน นี่เป็นงานแรกที่ผมใช้บริการบริษัทของคุณ งานของพวกคุณดีสมคำเล่าลือเลยนะ ผมต้องขอบคุณพวกคุณที่ช่วยประหยัดเวลาและลดภาระยุ่งยากให้ผมได้เยอะ” กิตติยุทธพูดอย่างอารมณ์ดี “ก่อนหน้านี้ผมเคยจ้างบริษัทสถาปนิกที่…อืม จะว่ายังไงดีล่ะ ไม่คลิกกันน่ะ กว่าจะเสร็จงานต้องหมดยาแก้ปวดเป็นกระปุก”
“ขอบคุณที่ให้โอกาส Archwin เหมือนกันค่ะ” หญิงสาวตอบตามมารยาท ขณะเดียวกันการเลือกใช้คำของอีกฝ่ายก็ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าเขาใจดีมาก เพราะลูกค้าบางคนก็พูดถึงบริษัทสถาปนิกที่เคยทำงานด้วยแบบไม่ไว้หน้าเลยทีเดียว
“บริษัทคุณรับแต่งานใหญ่ๆ เชิงพาณิชย์หรือเปล่า งานพวกออกแบบบ้านตกแต่งบ้านหรืออะไรทำนองนี้รับไหม”
“ก็ต้องดูเป็นเคสๆ ไปค่ะ” จิระประไพแบ่งรับแบ่งสู้ ในใจชักหวาดระแวง
“คงต้องคุยกับคุณวีหรือคุณวินใช่ไหม เดี๋ยวประชุมครั้งหน้าผมจะลองถามคุณวีดู”
หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ จากนั้นความกังวลก็เพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อนึกถึงเคสพัชรแล้วก็เป็นไปได้ว่าอาชวินอาจยอมรับงานของกิตติยุทธ
แต่ตอนนี้งานเราก็เต็มมือแล้ว มันคงไม่มาลงที่เราหรอกมั้ง จิระประไพคะเน และมันก็ทำให้เธอสบายใจขึ้นนิดหน่อย
เธอไม่รังเกียจถ้าจะต้องตกแต่งบ้านให้กิตติยุทธ เพียงแต่ลืมไม่ได้เลยว่าแฟนของเขาคือใคร ต่อให้เดาว่าบ้านที่เขาพูดถึงไม่น่าจะใช่เรือนหอในเมื่อเขาเพิ่งคบกับดาราสาวไม่นาน ทว่าถ้าอีกฝ่ายยื่นมือมาเกี่ยวข้องล่ะก็…มันต้องดูไม่จืดแน่ตอนนีรัมพรเจอหน้าเธอ
ชายหนุ่มเบือนหน้ามาตอนรถติดไฟแดง เขาทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่โทรศัพท์ของเขาก็ส่งเสียงร้องเตือนว่ามีสายเรียกเข้า พร้อมกับที่หน้าจอตรงคอนโซลเปลี่ยนภาพให้ข้อมูลว่า ‘Baby’ โทรมา เขาเลยหยิบหูฟังบลูทูธมาใส่แล้วกดบนจอของรถเพื่อรับสาย
“ว่าไงครับบี๋”
คำว่า ‘บี๋’ น่าจะย่อมาจากเบบี๋ซึ่งพวกคู่รักมักใช้เรียกแทนตัวกัน มันก็น่ารักดี แต่ประเด็นก็คือปลายสายต้องเป็นนีรัมพรแน่ๆ และมันก็ย้ำเตือนให้จิระประไพตระหนักว่าเวลานี้วงโคจรของเธอกับอีกฝ่ายกลับมาเฉียดใกล้กันอีกครั้งแล้ว ซึ่งก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่ถึงขั้นพาดผ่านกัน เธอไม่ได้คิดผูกใจเจ็บนีรัมพร กลัวใจอีกฝ่ายนั่นแหละ ยิ่งตอนนี้ดาราสาวเป็นแฟนของลูกค้า…เธอไม่อยากให้งานมีปัญหา
มัณฑนากรสาวนั่งมองนู่นมองนี่นอกรถ ทำหูทวนลม ไม่ฟังบทสนทนาของกิตติยุทธกับคนรัก จนกระทั่งสังเกตว่าใกล้ถึงสถานีรถไฟฟ้าจึงหันไปหาชายหนุ่ม เขาทำท่าว่าคุยโทรศัพท์เพลิน เธอจะส่งเสียงเรียกก็เห็นว่าอาจไม่เหมาะในเมื่อเขาคุยกับแฟนอยู่ หลังจากหันรีหันขวางอยู่ชั่วขณะจึงตัดสินใจสะกิดแขนเขาเบาๆ พออีกฝ่ายหันมาเธอก็ชี้ไปที่สถานีรถไฟฟ้า เขาเลยทำท่านึกขึ้นได้
ชายหนุ่มหมุนพวงมาลัยเปลี่ยนเลน ส่วนจิระประไพก็ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วหยิบข้าวของ พอรถจอดเทียบบาทวิถีใกล้บันไดทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้าเธอก็หันไปยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าของรถ ซึ่งเขาก็ส่งยิ้มมาให้
“แล้วเจอกันครับ”
คนเป็นมัณฑนากรผงะไปนิดหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าเขาจะพูดออกมา แต่สุดท้ายในเมื่อทำอะไรไม่ได้เธอจึงส่งยิ้มให้เขาแล้วรีบลงจากรถ
“เฮ้อ” หญิงสาวถึงกับถอนหายใจออกมาดังๆ ขณะมองรถคันหรูเคลื่อนตัวห่างออกไป จากนั้นเธอก็หมุนกายเดินขึ้นบันไดไปสู่สถานีรถไฟฟ้า
ความจริงจิระประไพไม่ได้กำลังจะกลับออฟฟิศเหมือนทุกครั้ง ทว่าเธอกำลังจะไปตึกสำนักงานของภักดิ์โภคิน หลังจากคุยแต่กับบังอรคนเดียวมาพักหนึ่ง ในที่สุดเธอก็สามารถขอนัดเจอเจ้าของบ้านได้สำเร็จ…ก็ได้แต่หวังว่าพัชรจะชอบงานที่เอาไปเสนอ เธอจะได้พ้นไปจากคนกลุ่มนี้เสียที
“ถ้ายังไงรบกวนคุณจีรอสักครู่นะคะ”
“ค่ะ” จิระประไพส่งยิ้มให้สตรีวัยกลางคน จากนั้นก็เฝ้ามองอีกฝ่ายถือแฟ้มเอกสารเดินห่างออกไป
บังอรเป็นเลขานุการของพัชร เนื่องจากเขาบอกให้ติดต่อเรื่องบ้านผ่านเลขาฯ มัณฑนากรสาวก็ทำตามนั้น ก่อนหน้านี้เธอติดต่อบังอรเรื่องการทำบัญชีเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน ตอนแรกยังคิดว่าอาจต้องเข้าไปจัดการเอง แต่อีกฝ่ายบอกว่าพวกภักดิ์โภคินทำบัญชีทรัพย์สินกันเป็นปกติ ดังนั้นบังอรจึงบอกว่าจะส่งคนไปจัดการทำบัญชีเฟอร์นิเจอร์ที่บ้านของเจ้านายให้ และเพียงสองวันให้หลังบัญชีที่ว่าก็ถูกส่งมาถึงมือเธอที่ Archwin
บัญชีนั้นสมบูรณ์มาก เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นถูกถ่ายภาพไว้อย่างละเอียดลออและมีการทำรหัสเอาไว้อย่างเป็นระบบ อาชวินติดต่อบริษัทข้างนอกมาประเมินราคาเฟอร์นิเจอร์เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาเรื่องความโปร่งใส และเขาก็บอกให้ทีมมัณฑนากรลองเลือกเฟอร์นิเจอร์พวกนี้ไว้ก่อนเลย เพราะมันอาจจะสามารถเอาไปใช้ในงานอื่นๆ ที่ทำอยู่ได้ เนื่องจากเฟอร์นิเจอร์ในบ้านพัชรทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดน่าจะมีสภาพดีเทียบเท่าของใหม่ทีเดียว
ส่วนวันนี้จิระประไพเอาตัวอย่างงานออกแบบแรกมาให้พัชรดู และเธอก็จะใช้คอมเมนต์ของเขาในวันนี้เป็นจุดตั้งต้นในการทำงานต่อ เพราะถึงจะเก็บข้อมูลจากตอนเจอกันครั้งแรกไว้พอสมควร แต่เธอก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับความต้องการของเขา ในเมื่อสิ่งที่เขาพูดมามันค่อนข้างกว้าง
ตอนนี้ชายหนุ่มประชุมอยู่ มัณฑนากรสาวเลยมาเคลียร์เรื่องเฟอร์นิเจอร์กับเลขาฯ ของเขา ตั้งแต่เรื่องการย้ายเฟอร์นิเจอร์ออกจากบ้านเพื่อเคลียร์พื้นที่สำหรับการตกแต่งใหม่ ไล่ไปจนถึงขั้นตอนการซื้อขายลงบัญชีต่างๆ เพื่อให้ทุกอย่างราบรื่น และทางฝั่งของพัชรก็จะสามารถตรวจสอบติดตามได้ง่าย…นี่ไม่ใช่งานปกติของเธอ ยังดีที่อาชวินช่วยดูแลวางแผนให้ทั้งหมด ส่วนเธอก็มีหน้าที่เอามาถ่ายทอดประสานงานเท่านั้น นี่ถือว่าเป็นบริการพิเศษสุดๆ ทีเดียว ซึ่งถ้าไม่ใช่ลูกค้าระดับวีไอพีแบบนี้อาชวินก็คงไม่ทำให้
แต่กระทั่งเลขาฯ ของพัชรก็ยังยุ่ง…จิระประไพเอนหลังพิงพนักโซฟา ขณะเดียวกันก็นึกถึงอีกงานที่ยังค้างอยู่ ตอนแรกเธอคิดว่าถ้าเสร็จธุระที่นี่เร็วก็สามารถกลับไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศได้ แต่ถ้าไม่เป็นตามที่คิดก็ต้องไปเร่งงานพรุ่งนี้ ซึ่งเธอไม่ชอบเลย หญิงสาวรู้ตัวว่าไม่ใช่พวกที่ทำงานเร่งได้ดีเท่าไหร่
“จี”
เจ้าของชื่อหันตามเสียงเรียก ก่อนจะทำตาโตเมื่อเห็นกานต์ สถาปนิกรุ่นพี่ผู้ซึ่งติดต่องานรีโนเวตบ้านพัชรให้ Archwin นั่นเอง
“พี่กานต์ สวัสดีค่ะ” สาวรุ่นน้องยกมือไหว้แล้วลุกขึ้นยืนทันที ขณะเดียวกันสายตาก็ย้ายไปหาเด็กน้อยที่อีกฝ่ายอุ้มอยู่ “ปกติพี่กานต์พากีกี้มาบริษัทด้วยเหรอคะ”
“ไม่หรอก พอดีวันนี้พากีกี้ออกมาทำพาสปอร์ต เสร็จแล้วเลยแวะมาที่นี่” กานต์บอก “เมื่อกี้พี่เจอคุณบังอร เขาบอกว่ามีคนจาก Archwin มาพี่เลยเดินมาดู…วันนี้จีมาเรื่องตกแต่งบ้านคุณพัชรหรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ”
“รออีกพักเดี๋ยวคุณพัชรก็น่าจะประชุมเสร็จแล้วล่ะ เขาประชุมกับคุณธีนี่แหละ” สถาปนิกสาวเอ่ยถึงสามีของตนเอง จากนั้นก็หัวเราะเมื่อเห็นรุ่นน้องทำหน้าทำตาตลกๆ เล่นกับลูกสาวของเธอ
“ไม่ได้เจอแป๊บเดียว กีกี้โตเร็วมากเลยพี่กานต์ นี่พวกที่ออฟฟิศต้องอิจฉาจีแน่ๆ ที่ได้มาเจอหลาน” จิระประไพหันกลับไปยิ้มกับรุ่นพี่
ถึงเธอจะไม่ทันได้ทำงานกับกานต์ แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายแวะเวียนกลับไปที่บริษัทเก่าบ่อย กระทั่งช่วงที่ท้องอยู่ก็ยังเคยแวะเอาของกินอร่อยๆ ไปฝาก ดังนั้นพวกเธอทั้งสองจึงสนิทสนมคุ้นเคยกันดี ครั้งล่าสุดที่ได้เจอกันก็คือตอนที่กานต์คลอด พนักงานของ Archwin เกือบทั้งหมดยกพลไปเยี่ยมและรับขวัญหลานที่โรงพยาบาล ทว่าหลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย เพราะอีกฝ่ายมีลูกเล็กจึงไม่ได้แวะเข้าไปที่บริษัทเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เธอก็ยังได้เห็นภาพเด็กหญิงที่ผู้เป็นแม่ถ่ายส่งมาให้พวกเพื่อนๆ ดูบ้าง
“ถ่ายรูปอวดเลยๆ” กานต์ยุอย่างอารมณ์ดี
จิระประไพหยิบมือถืออย่างว่าง่าย สองสาวถ่ายรูปเด็กน้อยกันอย่างสนุกสนาน จนผ่านไปพักหนึ่งกานต์ก็ออกปากฝากลูกสาวไว้กับรุ่นน้องเพราะตอนนี้ปล่อยให้พี่เลี้ยงไปพัก แล้วตัวเธอก็ผละไปเข้าห้องน้ำ
เด็กหญิงธีรกานต์กำลังอารมณ์ดี มัณฑนากรสาวจึงรับฝากเด็กน้อยอย่างไม่กังวล เธออุ้มเด็กเดินวนแถวโซฟาและเล่นกับหนูน้อยไปด้วย ไม่ทันสังเกตว่ามีใครอีกคนมาหยุดยืนมอง จวบจนเธอหันไปเจอหน้าอีกฝ่ายเข้าเลยชะงักไปนิดหนึ่ง
“นั่นยายหนูกีกี้ใช่ไหม” พัชรออกปากถาม
“ค่ะ”
“แล้วทำไมยายหนูมาอยู่กับคุณได้” ชายหนุ่มสืบเท้าเข้าไปหาสาวหน้าหวาน
ถึงเด็กหญิงจะเป็นหลานของเขาเอง แต่ก็ใช่ว่าจะได้เจอบ่อย เด็กหญิงยังเล็กและไม่ค่อยถูกพาออกมานอกบ้านเท่าไหร่ ถ้าจะเจอก็ต้องไปหาที่บ้านของธีรดนย์ ซึ่งเขาก็ไม่ใช่พวกที่จะไปเยี่ยมบ้านญาติบ่อยๆ เสียด้วย ที่สำคัญคือเขาไม่อยากรบกวนกานต์ซึ่งเป็นแม่ลูกอ่อน ลำพังเลี้ยงเด็กก็น่าจะเหนื่อยมากแล้ว ต่อให้มีผู้ช่วยก็ตาม เธอไม่ควรต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงกับการรับแขก
“พี่กานต์ไปเข้าห้องน้ำค่ะ” จิระประไพตอบแบบเกร็งๆ
“กีกี้ แก้มยุ้ยเชียว…จำอาได้ไหมคะ” พัชรพึมพำด้วยความมันเขี้ยว นึกอยากบีบแก้มยุ้ยๆ ของเด็กน้อย แต่เขาก็ยั้งมือไว้เพราะยังไม่ได้ล้างมือ
จิระประไพมองชายหนุ่มเล่นกับหลานแบบอึ้งๆ นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นมุมนี้ของเขา ตอนนี้คนตรงหน้าดูอ่อนโยน ไม่มีเค้า ‘เจ้าชายแวมไพร์’ สักนิด…อันที่จริงเธอไม่นึกว่าเขาจะชอบเด็กด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นหลานของเขาเองก็ตาม
“ที่โต๊ะคุณบังอรมีเจลล้างมือค่ะ” หญิงสาวบอก พอจะเดาความคิดของเขาได้เพราะสังเกตเห็นว่าเขายั้งมือ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าทึ่งเนื่องจากเท่าที่เคยเจอคนทั่วไปที่ไม่เคยมีลูกจะไม่ค่อยระวังเท่าไหร่
ชายหนุ่มหันไปมอง จากนั้นเขาก็เดินไปกดเจลล้างมือ ก่อนจะย้อนกลับมาบีบแก้มยุ้ยๆ ของหลานสาวอย่างรักใคร่ ขณะที่คนซึ่งอุ้มเด็กอยู่ยังคงมองเขาด้วยสายตาพิศวงต่อไป
มีเสียงฝีเท้าลอยมา สองหนุ่มสาวหันไปมองพร้อมกันแล้วก็พบว่าเป็นพ่อแม่ของเด็กน้อยที่เดินเคียงข้างกันมา
“ขอบคุณนะจี กีกี้ไม่งอแงใช่ไหม” กานต์ถามพร้อมกับเอื้อมมารับเด็กหญิงกลับไป
“ไม่เลยค่ะ อารมณ์ดีมาก” จิระประไพตอบแล้วหันไปยกมือไหว้ธีรดนย์ อีกฝ่ายยกมือรับไหว้และทำท่าว่าจดจำเธอได้ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรและหันไปสนใจลูกสาวตัวน้อยที่ส่งเสียงอ้อแอ้อย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวค่อยอุ้มจ้ะ คุณพ่อมือเปื้อน”
ธีรดนย์นั้นเป็นที่เลื่องลือเรื่องความดุและความโหด แถมมาดปกติของเขาก็สมกับเป็นนักธุรกิจใหญ่ ทว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่มีแววความดุโหดและไม่มีมาดที่ว่าเลยสักนิด…พอผู้ชายตัวโตๆ ทำน่ารักกับเด็กแล้วมันก็ชวนให้เอ็นดูอย่างช่วยไม่ได้
“ที่โต๊ะคุณบังอรมีเจลล้างมือ” พัชรบอกญาติเหมือนที่จิระประไพบอกเขา พอได้ยินอย่างนั้นธีรดนย์เลยหันไปมองแล้วเดินไปดู
“อุ้มไหมคะ” กานต์ถามญาติสามีอย่างเป็นมิตร เมื่อครู่ตอนเดินมาเธอสังเกตเห็นเขากำลังเล่นกับเด็กหญิงอยู่
“ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มปฏิเสธ ดวงตายังจับจ้องมองเด็กน้อยที่ยกไม้ยกมือไปทางที่ผู้เป็นพ่อเดินไป “ได้ยินว่ากีกี้ติดพ่อ ท่าทางจะติดจริงๆ”
“ติดค่ะ ลูกติดพ่อ พ่อก็ติดลูก” กานต์หัวเราะ
“อ้าว อยู่กันพร้อมทั้งคุณธีคุณพัชรเลย เชิญหน่อยค่ะ” บังอรที่เพิ่งเดินกลับมาที่โต๊ะทำงานของตนเองทำหน้าแปลกใจนิดหนึ่งก่อนจะออกปาก พอพัชรได้ยินอย่างนั้นเลยหมุนกายไปสมทบกับญาติผู้พี่
“โอ๋ๆ รอคุณพ่อแป๊บนึงนะคะ” ผู้เป็นแม่ปลอบลูกน้อยเมื่อสังเกตว่าเด็กหญิงทำท่าจะงอแง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับการที่ธีรดนย์เดินห่างไปเหมือนไม่สนใจหรือเปล่า จากนั้นกานต์ก็หันมายิ้มกับสาวรุ่นน้องแล้วเปิดประเด็นชวนคุย “หนุ่มๆ บ้านนี้เขารักเด็กกันมากเลยแหละ”
“ทุกคนเลยเหรอคะ” จิระประไพเลิกคิ้ว
“เท่าที่พี่เจอก็ทุกคนนะ โดยเฉพาะลูกหลานของตัวเองเนี่ย…น้าบุษ คุณน้าคุณธีเขายังบอกว่าสงสัยมันอยู่ในดีเอ็นเอ บางคนดูนิ่งๆ โหดๆ ลองปล่อยอยู่กับเด็กสิ ยิ่งเด็กเล็กนะ แทบเป็นคนละคน”
มัณฑนากรสาวฟังแล้วอดยิ้มไม่ได้ เพราะเท่าที่เห็นเมื่อครู่ก็พอจะทำให้เธอเชื่ออยู่เหมือนกัน
ขณะเดียวกันธีรดนย์ก็คุยงานกับพัชรอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานของบังอร เขาใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าส่งสัญญาณเรียกภรรยา
“กลับห้องผมกัน”
“พี่ไปก่อนนะจี ถ้ามีอะไรก็ติดต่อพี่ได้ตลอดเลยนะ” กานต์หันไปล่ำลารุ่นน้อง
“ขอบคุณค่ะ” จิระประไพยกมือไหว้อีกฝ่าย เข้าใจว่าประโยคหลังน่าจะหมายถึงเรื่องงานรีโนเวตบ้านของพัชร
สาวหน้าหวานยืนมองคู่สามีภรรยาอุ้มลูกจากไป และนั่นก็ทำให้เธอได้เห็นว่าพัชรยืนมองไปในทางเดียวกัน แล้วเธอก็นึกถึงการเล่นกับหลานของเขาขึ้นมา เมื่อบวกกับเรื่องที่กานต์บอกว่าหนุ่มๆ บ้านภักดิ์โภคินรักเด็ก เธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขากำลังคิดเรื่องการสร้างครอบครัวของตัวเองหรือเปล่า ซึ่งถ้าคิดมันก็ต้องพ่วงกลับไปถึงอดีตคนรักที่ทิ้งไปทั้งที่วางแผนจะแต่งงานกันแล้วด้วยซ้ำ คิดแล้วก็น่าเห็นใจอยู่
พอธีรดนย์กับกานต์ลับไปจากสายตาแล้ว ชายหนุ่มก็หันไปพูดอะไรบางอย่างกับบังอร จากนั้นเขาก็ก้าวยาวๆ ตรงมาหาจิระประไพ
“ผมยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเลย เดี๋ยวคุณเอางานให้ผมดูที่โต๊ะอาหารแล้วกัน เสร็จแล้วค่อยกลับขึ้นมาคุยกับคุณบังอรต่อ”
“ได้ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับ จากนั้นก็หมุนกายไปหยิบข้าวของ…ก่อนหน้านี้ก็มีกิตติยุทธเป็นสารถี ตอนนี้จะได้นั่งร่วมโต๊ะกับพัชรอีก นี่ยังไม่ต้องนับถึงศิวนาถที่อยู่ดีๆ ก็กลับมาทักเธอ
อยู่ดีๆ ก็เหมือนเราจะดวงสมพงศ์กับเหล่าผู้ชายของนีรัมพรขึ้นมาเสียอย่างนั้นเลยแฮะ หวังว่าจะไม่มีเรื่องยุ่งแล้วกัน
ร้านอาหารที่พัชรมากินข้าวนั้นอยู่ที่ชั้นล็อบบี้นั่นเอง มันเป็นร้านที่เน้นขายอาหารจานเดียว เนื่องจากพ้นช่วงเวลากินมื้อเที่ยงของคนทั่วไปแล้วดังนั้นภายในร้านจึงมีลูกค้าแค่ไม่กี่โต๊ะ บรรยากาศปลอดโปร่งสามารถนั่งคุยงานได้สบาย
“สั่งตามสบายเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณค่ะ” มัณฑนากรสาวตอบพร้อมกับพลิกเมนูไปดูรายการเครื่องดื่ม
ชายหนุ่มสั่งอาหารอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเขามีเมนูอาหารที่อยากกินในใจแล้ว ดังนั้นจิระประไพจึงเลือกเครื่องดื่มที่คุ้นเคย แล้วก็ปัดความคิดที่จะสั่งของกินเล่นทิ้งไปเพราะปกติเธอไม่ใช่คนเลือกเมนูอาหารเร็ว และเธอก็คิดว่าไม่ควรปล่อยให้เขานั่งรอ ทว่ายังไม่ทันส่งเมนูอาหารคืนให้พนักงาน กระเพาะเจ้ากรรมของเธอก็ส่งเสียงร้องดังลั่น อย่าว่าแต่เธอชะงัก กระทั่งบริกรยังมองมา ส่วนพัชรนั้นเธอไม่กล้าแม้แต่เหลือบแลไปมอง ที่แน่ๆ สองแก้มของเธอร้อนผ่าวด้วยความอับอายทีเดียว
“คุณกินอะไรเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ ร้านนี้อร่อยหลายอย่างนะ” พัชรเปรยเสียงเรียบเรื่อยขณะพลิกเมนูดูต่อแม้จะสั่งอาหารไปแล้ว “อยากให้ผมแนะนำไหม”
“ค่ะ” เธอพึมพำ ดวงตากลมโตหลังแว่นหลุบมองกระดาษรองจานที่พิมพ์โฆษณาโปรโมชั่นในช่วงนี้ของร้านอาหารเพราะไม่รู้จะเอาสายตาไปไว้ที่ไหน
เนื่องจากการประชุมช่วงเช้ายืดเยื้อหญิงสาวเลยไม่มีเวลากินมื้อเที่ยงก่อนมาที่ตึกนี้ หลังลงจากรถไฟฟ้าแล้วเธอเลยแวะร้านสะดวกซื้อ ซื้อซาลาเปาลูกหนึ่งมากินแทนข้าวเที่ยง แน่นอนว่ามันไม่อยู่ท้องเท่ากับกินข้าวจริงๆ แต่เธอก็คิดว่าดีกว่าไม่ได้กินอะไร และปกติถ้าได้กินอะไรไปบ้างกระเพาะของเธอก็จะไม่แสดงอาการประท้วงหนักแบบนี้ด้วย
“สเต๊กที่นี่ใช้ได้ สปาเกตตี้ครีมปูก็ดี แล้วก็มีก๋วยเตี๋ยวหลอด หรือถ้าอยากกินข้าวก็เมนูข้าวแกงกะหรี่หมูทอดที่ผมสั่งไป ผมกินบ่อย”
“เอาข้าวแกงกะหรี่ก็ได้ค่ะ”
“งั้นเอาข้าวแกงกะหรี่สองจาน แล้วก็เอาพิต้าพิซซ่าไก่บาร์บีคิวมาด้วย” ชายหนุ่มหันไปบอกบริกรพร้อมกับส่งเมนูอาหารคืน และเมื่ออีกฝ่ายผละไปแล้วเขาก็เบนความสนใจกลับไปหาเธอ “เราคุยงานกันเลยดีไหม เผื่อคุยเสร็จเร็วจะได้กินข้าวกันสบายๆ”
“ค่ะ” จิระประไพรับคำแล้วรีบหันไปเปิดกระเป๋าซึ่งวางอยู่บนเก้าอี้ตัวข้างๆ อย่างรวดเร็ว ไอร้อนตรงแก้มจางลงไปบ้างแล้ว ขณะที่ความตระหนักรู้ค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามา
เมื่อครู่ชายหนุ่มชวนเธอกินข้าวเป็นเพื่อน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาได้ยินเสียงท้องร้องของเธอหรือเปล่า ทว่าเขาก็ทำประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น หนำซ้ำยังช่วยแก้สถานการณ์ไม่ให้เธอต้องอับอายได้ดียิ่ง
กานต์บอกว่าพัชรใจดีกับคนที่อยากดีด้วย ซึ่งเธอก็ไม่นึกเลยว่าตนเองจะอยู่ในกลุ่มที่ว่าด้วย นอกจากนี้เขายังสุภาพและฉลาดมากด้วย…พูดตามจริง ต่อให้มีสองสมองเธอก็ไม่คิดว่าตนเองจะสามารถคิดหาทางแก้ไขสถานการณ์ได้ดีเท่าที่เขาทำเมื่อครู่ ทว่าเธอก็ยังไม่อยากเข้าใกล้เขามากเกินไปอยู่ดี
ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่ง มัณฑนากรสาวสบตากับชายหนุ่มนิดหนึ่งก่อนจะเปิดหน้าจอแท็บเลตให้เขาดูภาพตัวอย่างงานออกแบบ
“จีเลือกลองทำห้องรับแขกก่อนเพราะคิดว่ามันเป็นจุดศูนย์กลางของบ้าน การออกแบบส่วนอื่นๆ ของบ้านหลังจากนี้จะใช้ห้องรับแขกเป็นเรเฟอเรนซ์ค่ะ” จิระประไพอธิบายขณะวางแท็บเลตลงตรงกลางโต๊ะ “ลองทำมาสามแบบค่ะ ยังไงคุณลองดูก่อนนะคะ”
พัชรยกแท็บเลตขึ้นไปดู นิ้วยาวปัดเลื่อนดูภาพสามมิติทั้งสามภาพที่เธอพูดถึง และเขาก็สังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่าแม้แต่ละภาพที่เขาดูจะมีสไตล์การออกแบบที่แตกต่างกัน ทว่ามันก็มีจุดร่วมอย่างหนึ่งคือมู้ดอบอุ่นนุ่มนวลกว่าการตกแต่งเดิมที่เขาบอกเธอว่าเหมือนโชว์รูม ไม่ว่าจากโทนสีหรือองค์ประกอบภายในห้อง ที่สำคัญคือมันแตกต่างจากห้องรับแขกเดิมจนถ้าไม่บอกก็ไม่รู้เลยว่าเป็นพื้นที่เดียวกัน ซึ่งนั่นทำให้เขาพอใจอย่างยิ่ง
ถือว่าเธอทำงานใช้ได้…
“แบบแรกดูหนักและคอนเซอร์เวทีฟไป ส่วนแบบที่สองก็เหมือนรีสอร์ตไปหน่อย…แบบที่สามกำลังดี”
“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับ มันเป็นงานแบบร่วมสมัยที่เธอใส่ความเป็นสเปนลงไปด้วย และที่สำคัญคือเน้นใช้โทนสีที่สว่างขึ้น บวกกับงานไม้ ซึ่งต่างกับการตกแต่งเดิมที่ใช้โลหะแบบสมัยใหม่ “แล้วมีตรงไหนที่คุณอยากให้ปรับไหมคะ โทนสี เฟอร์นิเจอร์…”
“คุณก็ใช้โทนสีฟ้าที่ผมชอบแล้ว ส่วนเฟอร์นิเจอร์…เอาเป็นว่าขอให้มันใช้งานได้จริง ไม่ใช่แค่สวย อย่างโซฟาก็ขอให้นั่งสบายอะไรทำนองนั้น” ดวงตาคมหลุบลงมองภาพบนหน้าจออีกครั้ง
“ค่ะ” จิระประไพรับคำหนักแน่น นั่นเป็นหลักที่เธอยึดถือเสมอในยามทำงานตกแต่งภายใน โดยเฉพาะเมื่อเป็นบ้านที่พักอาศัยด้วย “ถัดจากนี้มีภาพจากงานตกแต่งเก่าๆ ด้วย ถ้ายังไงคุณจะเปิดดูไหมคะ เผื่อจะเจออะไรที่ชอบ”
“อืม” ชายหนุ่มส่งเสียงรับในลำคอ ขณะเดียวกันก็ตวัดสายตาไปมองจานพิต้าพิซซ่าที่บริกรนำมาวางเสิร์ฟ จากนั้นเขาก็พยักพเยิด “คุณกินเลย เดี๋ยวผมเปิดดูเอง”
มัณฑนากรสาวพึมพำรับเบาๆ จากนั้นก็หยิบช้อนส้อมโดยดี ไม่คิดจะลีลาใดๆ เพราะอย่างไรเขาก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าตอนนี้เธอหิวจัด…ถ้านับจากวันแรกที่เจอกันจนถึงตอนนี้ก็ต้องบอกว่าพัชรไม่ใช่ลูกค้าเรื่องมากเลย อันที่จริงออกจะ ‘น้อย’ เกินไปด้วยซ้ำ ขอแค่งานสวยถูกใจและไม่ซ้ำเดิมก็พอ ดูทรงแล้วถ้าจะปิดจ็อบให้เร็วก็คงพอได้ แต่สุดท้ายเธอก็ทำไม่ลง ไม่ว่าอย่างไรเธอก็อยากให้งานออกมาดี และให้ลูกค้าได้มีบ้านที่เขาสามารถใช้ชีวิตด้วยความพึงพอใจสูงสุด
หวังว่ามันจะไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวแล้วกัน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.