X
    Categories: LOVEขอสักที... จะดีเพื่อเธอ ชุด ขอได้ไหมทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ขอสักที… จะดีเพื่อเธอ ชุด ขอได้ไหม… บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 5 คนที่ไม่เคยถูกเกลียด

พอทราบว่าวันนี้รัญชน์รวิชญ์ตั้งใจจะไปบ้านแพรภัทรหลังจากเสร็จงานทั้งที่ควรรีบกลับไปพักผ่อนที่บ้าน เจนขวัญก็มองเขาด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์อย่างไม่ไว้ใจขึ้นมาทันที

“จะไปอีกแล้วเหรอ อาทิตย์ที่แล้วก็ไปมาไม่ใช่รึไง นี่คุณรันไปบ้านคุณแพรมากี่ครั้งแล้ว”

“แค่สอง”

“แต่วันที่พี่ไปรับกลับมาจากบ้านเขา คุณบอกว่าวันนั้นเพิ่งเคยไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แสดงว่าหลังจากนั้นก็ยังแอบไปเจอเขาอีกงั้นเหรอ”

“ทำไมต้องแอบ ผมก็ไปของผมแบบปกติ” รัญชน์รวิชญ์ย้อนด้วยท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“แล้วไปทำไม”

“ก็บอกแล้วว่าผมจ้างเขาทำฟิกเกอร์โมเดลให้”

“แค่ฟิกเกอร์หมาเนี่ยนะ”

“อื้อ”

“ปกติงานประเภทนี้ใช้วิธีโทรคุย ส่งอีเมล หรือแชตกันเอาก็ได้นี่ ทำไมต้องเสียเวลาไปเองบ่อยๆ”

“…”

“ที่สำคัญ พี่หาเหตุผลจำเป็นในการสั่งทำฟิกเกอร์อะไรนั่นของคุณรันไม่ได้เลย คุณรันทำไปเพื่ออะไรกันแน่คะ”

“แล้วพี่จะมาซักไซ้อะไรผมมากมายเนี่ย”

“ก็คุณรันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน นี่มันอาการของคนติดผู้หญิงชัดๆ”

“จะบ้าเหรอ”

“ถามตัวเองก่อนว่าบ้ารึเปล่า” เจนขวัญยังคงจับจ้องเขาอย่างไม่ยอมจบง่ายๆ

“แล้วผมบ้าตรงไหน”

“คุณรันมีเพื่อนตั้งเยอะแยะ แต่เวลาใครชวนไปไหนทีก็ตอบตกลงแบบนับครั้งได้ ถ้าใครอยากเจอบางทีก็ถึงขั้นต้องยอมไปกินข้าวด้วยที่บ้านทั้งที่เขาขยาดคุณป้าทั้งสองกันจะตายไป แล้วนี่อะไร…แอบไปบ้านผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักด้วยข้ออ้างฟังไม่ขึ้นมาตั้งหลายครั้งหลายหนภายในเวลาแค่ไม่กี่วัน”

“พี่ไม่รู้อะไรอย่ามาพูดเลยดีกว่า” รัญชน์รวิชญ์ว่าอย่างหงุดหงิดกับการโดนจับผิด เขาเพิ่งถ่ายงานชิ้นหนึ่งเสร็จ ไม่ได้ทานอะไรเลยมาเกือบสิบชั่วโมงเพราะตั้งใจว่าจะไปทานที่บ้านแพรภัทร แต่กลับถูกเจนขวัญทำให้ต้องเสียเวลา

“แล้วอะไรบ้างล่ะที่พี่ยังไม่รู้”

ชายหนุ่มเม้มปากอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วจึงตอบห้วนๆ “ผมแค่เคยทำไม่ดีมากๆ ไว้กับเขา ก็เลยอยากทำอะไรสักอย่างเป็นการไถ่โทษ”

“แล้วอะไรไม่ดีที่เคยทำกับเขาคือ?”

รัญชน์รวิชญ์ถอนหายใจเฮือก ก่อนจะเล่าให้ฟังตามความจริงทั้งหมด เพราะรู้ว่าเจนขวัญกัดไม่ปล่อยแน่นอน

“เรื่องแค่นี้เองเหรอ งั้นขอโทษเขาไปแล้วมันก็ควรจบแล้วสิ หรือเขาไม่ยอมจบ”

“ยอม”

“แล้วจะไปหาเขาทำไมอีก”

“ก็ผมไม่อยากจบ”

“หมายความว่าไง!”

“อย่ามาขึ้นเสียงใส่เหมือนผมเป็นเด็กๆ ได้ไหม รำคาญ!”

“งั้นก็อย่ามาเหวี่ยงใส่พี่เหมือนจงใจกลบเกลื่อนความผิด เพราะถ้าไม่อธิบายให้ชัดเจนพี่จะรายงานคุณป้าเรื่องนี้แน่นอน”

“แล้วทำไมต้องฟ้อง ผมอาจจะยอมรับคนของคุณป้ามาเป็นคนดูแล แต่พอมาทำงานให้ผมแล้วก็ควรจะเป็นคนของผมจริงๆ ไม่ใช่คอยเป็นสายให้คุณป้าไม่เลิก แล้วอย่ามาบอกว่าผมทำความผิดจนต้องกลบเกลื่อน ผมอยากทำอะไรผมก็จะทำ พี่ไม่ต้องมาตัดสินว่าผิดไม่ผิด!”

“ผิดไม่ผิดพี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่คุณรันทำอยู่ตอนนี้มันน่าเป็นห่วงมาก คุณรันไม่ควรไปสร้างความผูกพันกับใครโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะกับผู้หญิง ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ พี่ก็จะไม่ฟ้องคุณป้าหรอก คุณรันก็รู้ว่านี่พี่ตามใจคุณรันสุดๆ แล้ว” เจนขวัญพูดด้วยความโมโหและรู้สึกลำบากใจเต็มที

ถึงใครต่อใครจะพากันชื่นชมยินดีว่ารัญชน์รวิชญ์เป็นคนแสนดีแสนเพอร์เฟ็กต์อย่างนั้นอย่างนี้ แต่คนที่ต้องคอยดูแลเขาแทบทุกอย่างเหมือนเธอ…มักจะถูกเขาทำให้หัวปั่นเสมอ บางครั้งก็รู้สึกเสียสุขภาพจิตจนอยากจะลาออกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

“แต่ลักษณะแบบนี้ของคุณรันมันเป็นอาการติดผู้หญิงจริงๆ คุณรันเองก็คงรู้ตัวดีแต่แกล้งทำเป็นเฉไฉ แล้วผู้หญิงคนนั้น…สวยก็ไม่สวย โพรไฟล์ก็ไม่เข้าขั้น ไม่มีคุณสมบัติอะไรผ่านเกณฑ์เลยสักอย่าง…”

“อย่าพูดจาแย่ๆ แบบนั้นออกมาได้ไหม ถึงจะห้ามความคิดตัวเองไม่ได้แต่ก็ไม่ควรแสดงทัศนคติเลวๆ แบบนั้นออกมาตรงๆ การดูถูกใครด้วยคำพูดพวกนี้มันน่าขยะแขยง”

เจนขวัญมองเขาด้วยสีหน้าอ่อนใจ ก่อนจะกลอกตาพลางระบายลมหายใจออกมาแรงๆ “แต่คุณรันน่าจะรู้ดีว่าถ้าคุณป้าทั้งสองรู้ว่าคุณรันไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงที่ไม่คู่ควรเข้าล่ะก็ จะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่”

“ก็อย่าเพิ่งรีบให้รู้สิ เงียบไว้”

“แต่คุณรันยังไม่ควรคบใครตอนนี้จริงๆ เราเพิ่งได้งานละครมาสองเรื่อง สัญญาพรีเซ็นเตอร์อีกสองตัว”

“แล้วเขามีห้ามในสัญญาหรือว่าไม่ให้มีแฟน”

“เขาไม่ได้ห้ามเรา แต่ถ้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไรเราก็ควรห้ามตัวเองไว้ก่อน ที่สำคัญคุณก็เพิ่งโดนซาแซงก่อกวนมาหยกๆ ก็น่าจะรู้ว่าถ้าขืนตัวเองมีแฟนเอาตอนนี้ ใครสักคนคงโดนแฟนคลับประเภทนั้นคุกคามตามทำร้ายเอาแน่ๆ ไม่ตัวคุณรันเองก็คงเป็นผู้หญิงที่คุณรันไปยุ่งกับเขา”

รัญชน์รวิชญ์พลันหน้าเครียดขึ้นมาทันที ก่อนจะถอนหายใจฟึดฟัดใส่คู่สนทนาอย่างหงุดหงิดเพราะเถียงไม่ออก

“เอาเป็นว่าถ้าบอกแล้วไม่ฟัง พี่ฟ้องคุณป้าแน่นอน”

“เอาสิ อยากฟ้องก็ฟ้อง”

“พี่อยากเตือนอะไรไว้อีกอย่างนะคะว่าถ้าจริงๆ แล้วคุณรันไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาในฐานะคนพิเศษ ก็ไม่ควรไปใส่ใจหรือวุ่นวายกับเขามากเกินธรรมดาจนเขาเข้าใจผิด เพราะมันจะเป็นการให้ความหวังเขาอย่างไม่ถูกต้อง ถ้าไม่อยากทำร้ายเขาก็อย่าทำอะไรที่คิดน้อย”

คนฟังรับรู้ด้วยอาการเบะปากนิดๆ อย่างดื้อดึง และมีสีหน้าเย็นชาโดยไม่ใช้คำพูดตอบโต้

“อย่าทำให้เรื่องธรรมดาสำหรับคุณรันกลายเป็นความพิเศษของใครบางคนอย่างไม่ตั้งใจ การล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่นไม่ใช่เรื่องดี คุณรันอาจจะนึกสนุกขึ้นมาชั่ววูบ แต่ถ้าอีกฝ่ายเผลอคิดจริงจังขึ้นมามันจะกลายเป็นปัญหาสำหรับเขา”

แต่ถึงแม้ว่ารัญชน์รวิชญ์จะทำทีเสมือนมิได้แยแสคำเตือนของเจนขวัญแม้แต่น้อย ทว่าแท้จริงแล้วเขาก็เริ่มไม่สบายใจขึ้นมาเหมือนกัน…

ทั้งที่เชื่อว่าเจนขวัญคิดมากไปเอง เพราะว่าเขายังไม่ทันได้มีอะไรเกินเลยกับแพรภัทรมากไปกว่าการพูดคุยกับเธอในฐานะเพื่อนใหม่ หรืออย่างน้อยๆ ตอนนี้เขาก็เป็นแค่ลูกค้าคนหนึ่งของเธอเท่านั้น แต่ว่าคำพูดสะกิดเตือนของเจนขวัญกลับรบกวนจิตใจจนเขาเป็นกังวลได้อย่างไม่น่าเชื่อ

รัญชน์รวิชญ์ไปถึงบ้านแพรภัทรเกือบหกโมงเย็น เขาเตรียมใจไปแล้วว่าการโผล่ไปหาโดยไม่นัดหมายจะต้องทำให้เธอโมโหแน่ๆ จึงซื้อของอร่อยเข้ามาเพื่อเตรียมรับมืออย่างเต็มที่ ทว่าพอเห็นสีหน้าตอนเธอออกมาเปิดประตูรั้วให้ ชายหนุ่มก็ถึงกับตกใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าอีกฝ่ายมีอาการป่วยอย่างเห็นได้ชัด

“คุณไม่สบายเหรอ โทรมเชียว ไม่ได้เจอกันอาทิตย์เดียวเอง”

“ไอ เจ็บคอ เป็นไข้ ครบเลย” เธอตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้งอย่างน่าเป็นห่วง

“โห… เสียงแทบไม่มี”

“แล้วคุณมาทำไมคะ”

“ไม่รู้สิ อยู่ดีๆ อยากมาก็เลยมา”

ถ้าเป็นปกติเธอคงชักสีหน้าใส่ไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง แต่นี่เธอคงรู้สึกไม่สบายมากจริงๆ ก็เลยแทบไม่มีการแสดงความรู้สึกออกมาทางใบหน้าเลย แล้วบางทีตอนนี้เธออาจจะคงลดความเหม็นขี้หน้าเขาลงบ้างแล้ว…

“ถ้าเข้ามาอาจจะติดไข้ฉันได้นะ คุณกลับไปก่อนดีไหม”

“แล้วคุณทำอะไรอยู่”

“เพิ่งตื่น จะลุกมาทำกับข้าว เพราะต้องกินยา”

“งั้นก็ไม่ต้องทำแล้ว ผมอยู่ด้วยแป๊บหนึ่งก็ได้ กินข้าวเสร็จก็จะกลับ ผมซื้อของกินมาด้วยเยอะมาก”

เธอนิ่วหน้ามองอย่างลังเล แต่ก็ยอมเปิดทางให้เขาเดินเข้ามาโดยไม่อิดออด อาจจะขี้เกียจพูดมากเพราะเจ็บคอและไม่ค่อยมีแรง พอเขาหิ้วถุงผ้าสีครีมเนื้อหนาที่ใส่อาหารที่ซื้อมาเอาไว้ เดินนำเข้าไปในส่วนครัวด้านหลัง เธอก็ตามไปเงียบๆ โดยไม่ทักท้วง เขาบอกให้เธอนั่งรอแล้วหันไปหยิบถ้วยช้อนจานชามจากในตู้โดยไม่ต้องถามราวกับเคยเข้ามาใช้ห้องครัวบ้านเธอมาก่อน

“เสียงไอคุณน่ากลัวเหมือนกันนะ เหมือนคอแห้งแสบจนพังไปหมดแล้ว นี่ไปหาหมอมารึยัง”

คนที่ไอให้เขาได้ยินมาแล้วหลายรอบส่ายหน้าตอบ

“ทำไมล่ะ เกิดเป็นวัณโรคขึ้นมาจะทำไง”

“…”

“ให้ผมพาไปตรวจตอนนี้เลยไหม”

“ถ้ากลัววัณโรคคุณกลับไปก่อนก็ได้” พูดจบก็ไออีกชุด

“นี่ ผมไม่ได้กลัว แต่อยากพาไปเอ็กซเรย์ปอดเพราะเป็นห่วง”

“เป็นห่วงก็อย่าเพิ่งชวนคุย พูดด้วยไม่ไหวแล้วจริงๆ”

หลังจากนั้นเขาก็จัดสำรับเองอย่างคล่องแคล่วจนเสร็จ แต่เพราะเดาได้ว่าเธอคงทานได้น้อยเขาจึงไม่แกะอาหารใส่จานทั้งหมด

“ที่เหลือนี่ผมเอาไปฝากคุณน้าบ้านข้างๆ ละกันนะ เรากินกันแค่นี้ก็ไม่น่าจะหมดแล้ว” เขาบอกแล้วก็หิ้วถุงผ้าใส่กล่องบรรจุอาหารที่ยังไม่ได้เปิดเดินออกจากบ้านไปโดยไม่รอความเห็นชอบจากเธอ พอกลับเข้ามาอีกทีก็เห็นเธอเริ่มทานไปก่อนแล้ว “ไม่รอกันเลย”

“อ้าว ต้องรอด้วยเหรอ” เธอชะงักและอึ้งไปเล็กน้อย

“เปล่า ไม่ต้องรอหรอก”

จริงๆ แล้วพอกลับมาเห็นเธอตักแบ่งแกงจืดฟักเขียวซี่โครงหมูใส่ชามเล็กๆ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาซดน้ำซุปอุ่นจัดด้วยท่าทางถูกใจจนหน้าตาแช่มชื่นขึ้น รัญชน์รวิชญ์ก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก

“ขอโทษนะที่ฉันไม่มีมารยาท เพราะอยากรีบทานยาพร้อมอาหารก็เลยไม่ได้รอ คุณเป็นคนซื้อมาเอง แถมยังจัดสำรับให้อีกต่างหาก”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรขนาดนั้น ไม่ต้องคิดมากหรอก”

“แต่ปกติเวลาอยู่บ้านตัวเองฉันจะไม่ค่อยมีมารยาทจริงๆ นั่นแหละ ไม่ค่อยมีน้ำใจด้วย เป็นมานานแล้ว สงสัยอยู่คนเดียวมากเกินไปจนมักจะลืมนึกถึงคนอื่น”

“คุณนี่พิลึก” เขาว่าเธอเบาๆ หลังจากฟังเธอพูดจบ แต่ก่อนจะลงมือทานอาหารก็ถามขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกได้ “แล้วไม่สบายมากี่วันแล้ว”

“เริ่มมีอาการตั้งแต่สองวันก่อนเพราะแพ้เรซิ่น คอแห้งแล้วก็ไอตลอด คงเป็นเพราะงานเร่งจนไม่ได้พักผ่อนด้วย ร่างกายอ่อนแออาการก็เลยแย่ลงเรื่อยๆ”

“ถ้าแพ้แล้วจะใช้ทำไม เรซิ่นน่ะ”

“ก็มันจำเป็นต้องหล่อชิ้นงาน แต่ถ้าแพ้ขนาดนี้คงต้องจ้างคนอื่นทำในส่วนนี้แทน”

“แล้วทำไมไม่จ้างตั้งแต่แรก”

“เปลือง”

“แต่จริงๆ หาคนมาช่วยงานก็ดีนะ จะได้มีเพื่อนคุยบ้าง วันๆ นอกจากลูกค้าคุณได้คุยกับคนอื่นมั่งไหม”

“ก็มีคุยกับเพื่อนนิดหนึ่ง พ่อแม่นิดหนึ่ง ญาติบางคนนิดหนึ่ง…ทางโทรศัพท์น่ะค่ะ แต่ส่วนใหญ่ที่คุยด้วยบ่อยสุดคือพนักงานส่งอาหารกับไปรษณีย์”

“ฟังดูรันทดชะมัด”

“ตรงไหน ฉันก็สุขสบายดี” เธอมองค้อนอย่างไม่รู้สึกว่าตัวเองรันทดตรงไหนจริงๆ

“แต่อยู่คนเดียวแบบนี้คุณน่าจะเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อนสักตัว” เขาแนะนำเหมือนที่เคยบอกกับเธอด้วยความเป็นห่วงจากใจจริงอีกครั้ง “เวลาเหงาๆ หรือรู้สึกแย่จากอะไรสักอย่าง สัตว์เลี้ยงช่วยเยียวยาเราได้จริงๆ นะ”

“แต่ฉันอยู่แบบนี้ก็สบายดีนี่นา ไม่ได้เหงาซะหน่อย รู้สึกแย่ก็ยังโทรหาพ่อแม่ได้ ถ้าเลี้ยงสัตว์ฉันก็กลัวว่าจะไม่มีเวลาดูแลจริงจัง ยิ่งตอนงานเยอะๆ ยิ่งยุ่ง”

“ก็แล้วทำไมไม่จ้างใครสักคนมาช่วยงาน ไม่เห็นต้องรอจนตัวเองแพ้สารเคมีเลย”

“ก็บอกแล้วมันเปลือง”

“งก”

“อื้อ”

พอเธอยอมรับดื้อๆ แบบนั้นรัญชน์รวิชญ์ก็เลยไปต่อไม่ถูก

“แล้วคุณล่ะ สัตว์เลี้ยงก็มี ที่บ้านคนก็ตั้งเยอะ เพื่อนอีกไม่รู้เท่าไหร่ ไหนจะงานจะแฟนคลับ ทำไมยังเหงาจนต้องมาบ้านฉันอีก”

“ไม่ได้มาเพราะเหงาซะหน่อย”

“งั้นมาเพราะอะไร”

“เพราะอยากคุยกับคุณมั้ง ผมว่าผมชอบคุยกับคุณนะ”

“…”

“แล้วผมก็ชอบมาบ้านคุณตรงที่มีอะไรเพลินๆ ให้ดูเยอะดีด้วย ผมชอบฟิกเกอร์โมเดล ถึงจะไม่ค่อยมีความรู้ทางนี้ แต่ที่บ้านผมมีของสะสมพวกนี้อยู่พอสมควร เพราะคุณพ่อผมกับหลานๆ ชอบเหมือนกัน”

“…”

“แต่วันนี้ท่าทางคุณคงเจ็บคอเลยไม่อยากคุยด้วยเท่าไหร่ เอาเป็นว่าเดี๋ยวกินข้าวเสร็จผมจะรีบกลับ คุณจะได้พักผ่อน เอาไว้ผมค่อยมาใหม่”

แพรภัทรที่เอาแต่รับฟังอยู่เงียบๆ ได้แต่พยักหน้าเบาๆ เพื่อแสดงอาการรับรู้โดยไม่ทักท้วงใดๆ เป็นการยอมรับว่าวันนี้เธอไม่อยากพูดมากเพราะเจ็บคอจริงๆ แต่หญิงสาวคาดไม่ถึงเลยว่าการที่รัญชน์รวิชญ์บอกว่า ‘เอาไว้ค่อยมาใหม่’ นั้น เขาจะจริงจังกับคำพูดตัวเองจนถึงขั้นแวะมาที่บ้านเธออีกครั้งในวันถัดมา…

“ทำไมมาอีกแล้วล่ะ” ตอนออกไปเปิดประตูให้เขา เธอหลุดปากถามออกไปเพราะความตกใจจนพูดอะไรไม่ถูกมากกว่าตั้งใจแสดงความรำคาญ ถึงลึกๆ แล้วเธอจะยังรู้สึกไม่ค่อยดีกับรัญชน์รวิชญ์เพราะเรื่องเข้าใจผิดของเขาตอนเจอกันที่สตูล แต่การที่มีผู้ชายอย่างเขามายืนกดกริ่งอยู่หน้าบ้าน มันก็ทำให้แพรภัทรอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้เหมือนกัน ซึ่งความรู้สึกแปลกๆ ดังกล่าวไม่ใช่ความรู้สึกในแง่ลบ แม้มันจะไม่ใช่อารมณ์แง่บวกเสียเลยทีเดียวก็ตาม

“เออ… คุณนี่เป็นคนไม่ค่อยมีมารยาทจริงด้วยแฮะ คนเขาอุตส่าห์แวะมาเยี่ยมเพราะเป็นห่วง แถมซื้อข้าวมาให้ด้วย แต่กลับทำหน้าตาผิดหวังออกมาต้อนรับ ไม่คิดจะรักษาน้ำใจกันบ้างเลย”

“ไม่ใช่อย่างงั้นนะคะ ฉันแค่คิดไม่ถึงว่าคุณจะมาอีก แถมมาไวขนาดนี้ด้วย ก็เลยตกใจนิดหน่อย แต่มาบ่อยแบบนี้เดี๋ยวชาวบ้านคงได้เอาไปนินทากันทั่ว” เธอบ่นแล้วทำท่ากวักมือเรียกให้เขารีบเดินเข้ามาข้างในไวๆ

“เสียงคุณดีขึ้นกว่าเมื่อวานแล้วนี่” เขาไม่คิดจะสนใจประเด็นที่เธอเป็นกังวล “แต่ยังไออยู่เลย”

“วันนี้ว่าจะนอนอีกวัน เพราะถ้าดันทุรังรีบลุกมาทำงานแล้วไม่หายสักทีน่าจะยิ่งแย่”

“ที่ผมมาหานี่กะว่าจะพาไปหาหมอ คุณอาจจะเป็นวัณโรคจริงๆ ก็ได้ ไปเอ็กซเรย์ปอดดูหน่อยเถอะ”

คนที่อาจเป็นวัณโรคเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ ไม่ใช่ว่าชีวิตเธอจะไม่เคยมีใครเป็นห่วงเป็นใย แต่การที่อยู่ดีๆ ก็มีคนอย่างเขาซึ่งเกือบจะถือว่าเป็นคนแปลกหน้า แถมยังเป็นบุคคลที่เหมือนจะอยู่กันคนละโลกกับเธอ มาคอยเอาใจใส่มากมายขนาดนี้ มันนับเป็นเรื่องพิลึกพิลั่นที่ยากจะรู้สึกว่าเป็นสิ่งปกติธรรมดาได้

“ฉันบนไว้แล้วล่ะว่าถ้าพรุ่งนี้รู้สึกสบายและหายดีจริงๆ ฉันจะแก้บนด้วยการกินเจเดือนหนึ่ง”

“บนอีกแล้ววว”

“ก็ฉันชอบแบบนี้ เสียหายตรงไหน”

“ก็ไม่มีอะไรเสียหายหรอก แต่มันประหลาด มีชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปเสียทุกเรื่อง”

“แต่อย่างน้อยฉันก็บนด้วยข้อแลกเปลี่ยนที่จะทำในสิ่งดีๆ”

“จริงสิ คุณอยากไปทำสิ่งดีๆ ด้วยกันรึเปล่า อีกสองอาทิตย์ผมต้องไปทำกิจกรรมรณรงค์เกี่ยวกับขยะ ตามที่ทาง สกว. ทำแคมเปญร่วมกับงานวิจัยการท่องเที่ยวของแทนไท แล้วก็รายการของพี่รักษ์ ที่สตูลกับปัตตานี ไปด้วยกันไหม”

“ไม่ล่ะค่ะ งานเยอะจะตาย ยิ่งพอไม่สบายงานก็ยิ่งช้าไปอีก แล้วที่คุณเคยเห็นฉันเก็บขยะนั่นไม่ใช่เพราะฉันชอบเก็บ แต่เป็นเพราะฉันต้องแก้บนต่างหาก ซึ่งตอนนี้ไม่ได้บนอะไรไว้เลยสักอย่าง”

“คุณนี่นะ…” เขามองเธอด้วยสายตาตำหนิติเตียนอย่างเปิดเผย “การทำความดีมันควรเริ่มต้นจากจิตสำนึกที่ดีมากกว่าการคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวสิ ผมเข้าใจดีนะว่าทุกการกระทำของมนุษย์ล้วนมีพื้นฐานมาจากความเห็นแก่ตัว ผมเองก็ยอมรับว่าบางทีก็ทำความดีสร้างภาพเพื่อผลประโยชน์เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่มันจะเริ่มต้นจากจิตสำนึกที่ดีด้วย ถึงการอยากทำดีเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีก็ถือเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่ง แต่มันก็ดีกว่าการทำเรื่องแย่ๆ ได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลย…จริงไหม แล้วคุณรู้รึเปล่าว่าตอนนี้ภาวะโลกร้อนจากน้ำมือมนุษย์มันทำให้สถานการณ์สิ่งแวดล้อมย่ำแย่ขนาดไหน ทั้งการเกิดไฟป่า ทั้งเรื่องที่อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธารน้ำแข็งที่ละลายและหดหายไปในอัตราที่รวดเร็ว แล้วก็ยังมีสัตว์ทะเลตายเพราะขยะพลาสติกเป็นจำนวนมาก…”

“นี่ ทำไมด่าเยอะจัง ฉันป่วยอยู่นะ” คนป่วยตัดพ้อ

“ผมแค่พูดให้ฟัง ไม่ได้ด่า แล้วก็อยากเตือนให้คุณคิดดีทำดีเอาไว้มากๆ จะได้หายป่วยไวๆ ไง”

“เกี่ยวกันตรงไหน” คนที่ไม่ค่อยสนใจการคิดดีทำดีบ่นด้วยใบหน้าหงิกงอ

“แล้วผมถามจริงๆ นะ เวลาจะทำความดีนี่คุณต้องมีเงื่อนไขตลอดเลยเหรอ”

“อื้อ”

“ปกติคุณไม่เคยเสแสร้งทำตัวเป็นคนดีให้ใครชอบบ้างรึไง”

“ก็เคยอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ครั้งสุดท้ายมันก็นานมาแล้วล่ะ น่าจะเป็น…ตอนที่แอบชอบรุ่นพี่ที่ทำงานสมัยเรียนจบใหม่ๆ แอ๊บดีจนเหนื่อยอ่ะตอนนั้น แถมยังรู้สึกด้วยว่าตัวเองตอแหลจังเลย”

“…”

“ใครจะไปเหมือนคุณที่ทำตัวเป็นคนดีตลอดเวลาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังมีแต่คนชม เพื่อนฉันที่ทำงานในบริษัทเอเจนซี่โฆษณายังเคยชมให้ฟังเลยว่าคุณเป็นหนึ่งในดาราแค่ไม่กี่คนที่เขาเคยร่วมงานด้วยแล้วไม่รู้สึกแย่ เพราะหลายคนมักจะทำให้ผิดหวังเพราะนิสัยในกองถ่ายหนังโฆษณาแตกต่างจากภาพลักษณ์ที่ออกสื่อลิบลับ”

“จริงๆ แล้วเป็นเพราะสมัยเรียนผมเคยฝึกงานกับโปรดักชั่นเฮ้าส์มาก่อน เวลาอยู่ในกองถ่ายหนังโฆษณาเลยได้เห็นดารามาหลายรูปแบบ แบบหนึ่งก็คือคนที่ทำตัวดีกับกองถ่ายละคร แต่ทำตัวแย่ในกองถ่ายโฆษณา บางคนก็หยิ่งและเรื่องมากอย่างไม่มีเหตุผล บางคนก็หยาบคาย เห็นแก่ตัว ทำอะไรไม่เห็นใจคนทำงาน พอตัวเองมาทำงานตรงนี้ผมเลยพอเข้าใจความรู้สึกคนอื่น จึงพยายามไม่ทำตัวแบบคนที่เคยทำให้ผมรู้สึกไม่ดีสมัยฝึกงาน”

แพรภัทรพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ด้วยท่าทางสนใจฟังเป็นอย่างดี ระหว่างนั้นก็มองตามรัญชน์รวิชญ์ที่ทำหน้าที่จัดโต๊ะอาหารเองอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย เขามีท่าทางคุ้นเคยกับห้องครัวบ้านเธอยิ่งกว่าเมื่อวานนี้ แถมยังทำตัวตามสบายราวกับว่าเป็นบ้านของตัวเอง ในสายตาเธอเขาเป็นผู้ชายที่ผิดคาดจากที่เธอเคยคิด และเป็นคนที่มีอะไรหลายๆ อย่างชวนให้ประหลาดใจ ทว่าความรู้สึกเธอตอนนี้จะเรียกว่าเป็นความประทับใจก็ไม่ใช่ ตกใจก็ไม่เชิง แต่มันยังมีความมึนงงกับมิตรภาพที่รัญชน์รวิชญ์หยิบยื่นให้อย่างหาเหตุผลชัดเจนไม่ได้…

ที่แน่ๆ เขาทำให้เธอไว้วางใจมากเสียจนเวลาอยู่ใกล้เขาเธอจะไม่ลืมเลยว่าตัวเองต้องคอยระวังตัวระวังใจเอาไว้อย่างไรบ้าง…

 

เท่าที่อิษฎาจำได้ รัญชน์รวิชญ์ไม่เคยโทรถึงเขาเพื่อชวนออกไปกินข้าวโดยไม่มีธุระสำคัญอะไรมาก่อน แต่วันนี้อยู่ดีๆ ก็โทรมาถามว่าเขาว่างไหม อยากชวนไปกินข้าว พอเขาถามกลับว่ามีธุระอะไร อีกฝ่ายก็บอกว่าไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไรเลย แค่อยากเจอ…

“แต่วันนี้ผมกะจะไม่ออกไปไหน อาทิตย์ที่ผ่านมางานตึงสุดๆ เหนื่อยมากจริงๆ พี่รันเข้ามาหาที่คอนโดฯ ไหมครับ”

ตอนที่เสนอออกไป เขาคาดว่ารัญชน์รวิชญ์น่าจะปฏิเสธ เพราะร้อยวันพันปีอีกฝ่ายไม่เคยมาที่คอนโดฯ เขามาก่อนเลย แต่ปรากฏว่าเขาคิดผิดถนัด เพราะรัญชน์รวิชญ์กลับตอบรับอย่างไม่ลังเลว่าจะเข้ามาภายในหนึ่งชั่วโมง

“พี่รันทำผมแปลกใจมากเลยนะครับ บอกว่าไม่มีธุระสำคัญอะไรแต่มาหาถึงนี่” อิษฎาเอ่ยปากเมื่อขึ้นลิฟต์ด้วยกัน เขาลงมารับญาติผู้พี่ตรงล็อบบี้คอนโดฯ อีกฝ่ายมาตามลำพังโดยไม่มีผู้จัดการหรือใครตามมาประกบ

“ก็นายไม่ยอมออกไปเจอ”

“แล้วทำไมอยู่ๆ อยากเจอผมขนาดนี้ล่ะครับ”

“ฉันอยากคุยด้วยนิดหน่อย เรื่องแพรภัทร”

“พี่แพรน่ะเหรอครับ”

“อื้อ”

“นี่อย่าบอกว่ายังสงสัยว่าเขาเป็นแฟนคลับโรคจิตอยู่ ก็ได้ตัวคนผิดไปแล้วไม่ใช่หรือครับ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น เรื่องนั้น…ฉันไปขอโทษแพรภัทรมาแล้ว”

“แล้ว?”

“แต่จนถึงตอนนี้ก็เหมือนเขายังไม่ค่อยเต็มใจยกโทษให้เลย ฉันถึงได้ยังคาใจไม่หาย” รัญชน์รวิชญ์พูดพลางถอนหายใจ

“ผมก็เคยบอกพี่รันแล้วไงว่าพี่แพรเขาก็เป็นแบบนี้แหละ ถ้าลองไปทำให้เขาโกรธแล้วล่ะก็ ต่อให้เราขอโทษยังไงมันก็ยากที่เขาจะดีด้วย แต่ถึงยังไม่หายโกรธเขาก็ไม่ได้มายุ่งวุ่นวายอะไรกับเรานี่ครับ เราแค่ปล่อยเลยตามเลยและไม่ต้องไปสนใจก็จบ” เขาแนะนำทั้งที่พอจะเข้าใจความรู้สึกรัญชน์รวิชญ์ดีพอสมควร ตอนที่เขาโดนแพรภัทรเกลียดเพราะเขาทำผิดต่อเธอ เขาก็รู้สึกแย่และคาใจจนอยากหาทางให้เธอยอมอภัยเช่นกัน

“นายมีเฟซบุ๊กเขาไหม”

“ครับ?”

“เป็นเพื่อนเขาอยู่รึเปล่า ฉันขอยืมดูหน่อยสิ”

“ดูเฟซบุ๊กพี่แพรน่ะเหรอครับ หรือคิดว่าถ้ารู้จักเขาดีขึ้นจะได้หาทางขอโทษถูก”

“ก็ทำนองนั้น”

“ไม่มีประโยชน์หรอกครับ”

แต่ถึงจะบอกไปแบบนั้น ทว่าพอถึงห้องพักอิษฎาก็เอามือถือออกมาเปิดเข้าแอพพลิเคชั่นที่อีกฝ่ายต้องการแล้วส่งให้แต่โดยดี แล้วหลังจากนั้นรัญชน์รวิชญ์ก็เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาไถมือถือเงียบๆ โดยไม่สนใจอะไรเลยนานนับชั่วโมง จนในที่สุดเจ้าของมือถือก็ต้องเดินมานั่งลงใกล้ๆ แล้วพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“นี่จริงจังกับปัญหาเรื่องพี่แพรขนาดนี้เลยเหรอพี่รัน เฟซบุ๊กพี่แพรไม่เห็นจะมีอะไรให้ดู แล้วครั้งล่าสุดที่เขาอัพเดตก็นานเป็นเดือนมาแล้วมั้ง ขนาดไปทำงานที่สตูลกับกองถ่ายพี่รันเขายังไม่ลงเลย ส่วนใหญ่แล้วเขาจะใช้โซเชียลเฉพาะกับเรื่องงาน แอ็กหลักเขาแทบไม่เคยเล่นด้วยซ้ำ ยกเว้นใช้แชร์งานกับเวลาที่มีเพื่อนแท็กอะไรมาให้”

“นี่เขามีพี่สาวด้วยเหรอ” รัญชน์รวิชญ์เอ่ยขึ้นระหว่างที่จ้องมือถืออยู่ เหมือนไม่ได้ฟังที่อีกฝ่ายพูดเลยสักนิด

“ไม่รู้สิครับ”

“นี่ไง” รัญชน์รวิชญ์ยื่นให้คู่สนทนาดูภาพถ่ายครอบครัวของแพรภัทรบนหน้าจอ

“โห… นี่พี่รันไถไปถึงปีไหนเนี่ย ผมยังไม่เคยขุดจนไปเห็นรูปพ่อแม่พี่น้องเขามาก่อนเลย” อิษฎามองมือถือสลับกับมองหน้ารัญชน์รวิชญ์ด้วยความอึ้ง “ไปติดนิสัยช่างขุดของพวกแฟนคลับดารามาเหรอครับ”

“พ่อแม่กับพี่สาวเขาอยู่ต่างจังหวัดกันหมด เขาถึงได้อยู่ตัวคนเดียว” รัญชน์รวิชญ์พึมพำ

“ถามจริง สนใจขนาดนี้นี่คิดอะไรกับเขาป่ะเนี่ย แนวพี่แพรนี่ไม่ใช่สเป็กพี่รันเลยสักนิดนะครับ”

“แต่เกิดมาฉันไม่เคยโดนใครเกลียด”

“เขาบอกว่าเกลียดพี่รันเหรอ”

“เปล่า แต่เขาไม่รัก”

“หา!? เดี๋ยวนะครับ แล้วทำไมต้องอยากให้เขามารักด้วย”

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ฉันแค่หงุดหงิดที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิดจนทำให้เขาเกลียด แต่พอขอโทษแล้ว…ถึงเขาจะบอกว่ายกโทษให้ แต่ฉันก็ดูออกว่าจริงๆ เขายังเหม็นหน้าฉันอยู่”

“อีโก้อะไรของพี่กันเนี่ย ตัวเองเป็นดาราน่าจะชินแล้วสิว่าคนเรามันก็ต้องมีทั้งคนรักคนเกลียดเป็นธรรมดา พี่แพรเขาจะโกรธจะเกลียดก็ช่างเขาปะไร ในเมื่อพี่ทำผิดต่อเขาเพราะเข้าใจผิด พอรู้ความจริงพี่ก็ขอโทษแล้ว มันก็น่าจะจบ ไม่เห็นต้องสนใจเลยว่าเขาจะคิดยังไงกับเรา ทำไมต้องไปแคร์ให้ยุ่งยาก”

“ก็บอกแล้วไงว่าเกิดมาไม่เคยมีใครเกลียดฉันมาก่อน หมายถึงคนที่ได้รู้จักฉันจริงๆ น่ะนะ แล้วตั้งแต่รู้ความจริงว่าฉันเข้าใจผิด ฉันก็ไปหาเขาที่บ้านมาไม่รู้กี่รอบ เรียกว่าง้อแล้วง้ออีก ไปจ้างเขาทำโมเดล เมื่อวานก็เพิ่งไปหาเขามา ซื้อข้าวไปฝาก เขาไม่สบายก็อาสาพาไปหาหมอ ฉันดีด้วยขนาดนี้แต่เขากลับไม่อินไม่ซึ้งไม่ตื้นตัน ท่าทางเหมือนกับว่าไม่ได้รู้สึกดีอะไรเลย”

“นี่พี่กลัวเขาไม่หายโกรธจนต้องลงทุนทำขนาดนั้นเลยเหรอ” อิษฎาถามย้ำอีกครั้งอย่างเหลือเชื่อ

“อื้อ ก็ฉันไม่ชอบให้ใครเกลียด แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็เหมือนจะไม่ได้ผล จนถึงตอนนี้เวลาเจอฉันท่าทางเขาดูไม่หือไม่อือเท่าไหร่เลย”

“ก็ช่างเขาสิครับ”

“แล้วถ้ามันช่างไม่ได้ล่ะ”

“แปลว่าพี่รันอยากให้เขาทำท่าตื่นเต้นดีใจระริกระรี้เวลาเจอพี่?”

“ก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้น”

“แล้วมันขนาดไหนล่ะครับ”

“ฉันก็…ไม่รู้เหมือนกัน แต่ปฏิกิริยาตอนนี้ของเขาคือทำให้ฉันไม่พอใจเท่าไหร่”

คนเป็นน้องฟังแล้วได้แต่ทำหน้างงงวย

“แล้วตอนเพื่อนนายจีบเขา หมอนั่นทำยังไงเขาถึงยอมเป็นแฟนด้วย”

“ตอนที่เพื่อนผมจีบเขาเหรอ… เท่าที่จำได้มันก็ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากเลยนะ สถานการณ์มันก็เรียบๆ ง่ายๆ สะดวกราบรื่นดีทุกอย่างตั้งแต่ต้น พวกเขาคุยกันถูกคอ ชอบอะไรเหมือนๆ กัน มันเลยเข้ากันได้จนตกลงเป็นแฟนแบบง่ายๆ เลย”

“งั้นเหรอ…”

อิษฎานิ่วหน้ามองญาติผู้พี่ด้วยสีหน้าครุ่นคิดอย่างเคลือบแคลงสงสัยเต็มอก ทว่าก็ยังไม่อยากเซ้าซี้อะไรให้มากความ เพราะนอกจากเรื่องของรัญชน์รวิชญ์กับแพรภัทรจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาแล้ว มันก็เป็นไปไม่ได้เลยสักนิดที่คนอย่างรัญชน์รวิชญ์จะเผลอคิดอะไรเกินเลยกับคนอย่างแพรภัทรได้

 

(ติดตามต่อในเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: