บทที่ 2
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ประตูห้องประชุมยังคงปิดไม่สนิท คนที่ผ่านไปผ่านมาก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เจียงจื่อเยวี่ยกระแอมสองที
“เอาล่ะ หยุดเสียงดังสักที อีกสักครู่กัปตันก็จะขึ้นมาแล้ว”
ทันทีที่สิ้นเสียง ประตูห้องประชุมก็ถูกผลักเปิดออก คนที่เข้ามาคือหวังเล่อคัง
ใบหน้าที่ยิ้มแฉ่งตลอดทั้งปีของเขายับย่นจนกลายเป็นก้อน ราวกับมีเมฆดำปกคลุมหนาทึบ แน่นอนว่าทุกคนต่างเดาได้ว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเสียแล้ว
คนทั้งห้องต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึง ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากก่อน ทำได้เพียงกลั้นหายใจมองหวังเล่อคังอย่างใจจดใจจ่อ
หวังเล่อคังไปยืนอยู่หน้าโต๊ะประชุม เขาอยากระบายอารมณ์กรุ่นโกรธที่มีอยู่เต็มท้องออกมา สีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก
แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อปกติคนคนนี้สุภาพเรียบร้อยจนเคยชินเสียแล้ว ต่อให้โกรธก็ไม่ค่อยตะคอกคนอื่นเท่าไร สุดท้ายก็แค่ยื่นนิ้วออกไปชี้คนสองสามคนตรงหน้า
“เรื่องที่พูดตอนประชุมครั้งก่อนลืมกันไปหมดแล้วเหรอ ผมจะบอกพวกคุณให้นะ ตั้งแต่วันนี้ไปประพฤติตัวดีๆ ให้ผมหน่อย หลังเลิกงานพวกคุณอยากทำอะไรก็ได้ตามสบาย แต่เวลางานวางตัวให้ดีๆ หน่อยก็แล้วกัน ถ้าหากยังทำเรื่องไร้สาระเหล่านี้อีกก็ไสหัวออกไปทั้งหมดนี่เลย!”
หร่วนซือเสียนขมวดคิ้วเล็กน้อย อีกสักครู่เธอต้องส่งจดหมายให้ฟู่หมิงอวี่บนเครื่องบิน
หวังเล่อคังคงไม่ได้เจาะจงถึงฉันหรอกนะ
คงไม่ใช่หรอกมั้ง เขาไม่น่าจะรู้นี่นา
ทว่าคนที่กำลังร้อนตัวมักจะรู้สึกว่าสายตาของคนอื่นล้วนมีนัยแอบแฝงเสมอ หร่วนซือเสียนเงยหน้าขึ้น อยากจะหาร่องรอยบางอย่างบนใบหน้าของหวังเล่อคัง แต่น่าเสียดายที่เห็นเพียงแผ่นหลังที่จากไปด้วยความโมโหเป็นฟืนเป็นไฟและประตูที่ยังคงสั่นไหวเล็กน้อยจากการถูกเหวี่ยงปิด แล้วทิ้งให้คนทั้งห้องประชุมสับสนงุนงง
“เหล่าต้าเป็นอะไรไปเหรอ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ วัยทองมาถึงแล้วมั้ง”
“ใครยั่วโมโหเขาเข้าแล้ว”
ทันใดนั้นก็มีคนได้สติขึ้นมา “เป็นเพราะวันนี้รองประธานฟู่อยู่บนเครื่องบินเที่ยวนี้ใช่หรือเปล่า”
“ไม่หรอกมั้ง วันนี้พวกเราก็แค่พูดกันเฉยๆ เอง เขาจะรู้ได้ยังไง”
“พอแล้ว” เจียงจื่อเยวี่ยในฐานะหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินพอจะรู้ว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พวกเธอเพิ่งพูดคุยล้อเล่นกัน “เตรียมตัวขึ้นเครื่อง”
สุดท้ายแล้วทุกคนก็ไม่กล้าฟันธงว่าทำไมหวังเล่อคังถึงโมโหและไม่กล้าพูดไร้สาระอีก เมื่ออยู่บนเครื่องบินทุกคนต่างประพฤติตัวอย่างอ่อนน้อมระมัดระวังเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีความรู้สึก
เมื่อกัปตันตรวจสอบรอบเครื่องบินเสร็จสิ้น ประตูขึ้นเครื่องบินก็เตรียมปล่อยให้ผู้โดยสารชั้นหนึ่งขึ้นมา แต่ก่อนหน้านั้นต้องต้อนรับผู้โดยสารคนพิเศษท่านหนึ่งก่อน
กัปตันนำกลุ่มลูกเรือ เจียงจื่อเยวี่ยนำกลุ่มพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินยืนอย่างเคารพนอบน้อมอยู่ที่ทางเข้าห้องผู้โดยสาร
เดิมทีหร่วนซือเสียนควรยืนอยู่แถวที่สอง แต่เธอตัวสูงที่สุด เมื่อยืนอยู่ในกลุ่มคนจึงสะดุดตาเกินไป ดังนั้นเลยต้องถอยลงไปยืนที่แถวสุดท้ายโดยอัตโนมัติ
ครึ่งนาทีต่อมาในที่สุดบุคคลท่านนั้นที่ทุกคนรอคอยก็ปรากฏตัวออกมาจากสะพานเทียบเครื่องบิน
เพียงชั่วพริบตาหร่วนซือเสียนก็รู้สึกว่าบรรยากาศโดยรอบมีการเปลี่ยนแปลง พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสองสามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
ความมืดในยามค่ำคืนก่อนรุ่งสางเข้มข้นดั่งหมึก มีเพียงแสงสว่างสีขาวเรืองรองเปล่งออกมาจากทางเดิน
ฟู่หมิงอวี่สาวเท้าก้าวเข้ามา ในมือถือโทรศัพท์กำลังคุยสายอยู่ จนกระทั่งใกล้ทางเข้าห้องผู้โดยสาร เขาก็มองเห็นกลุ่มคนแน่นขนัด แล้วขมวดหัวคิ้วอย่างแทบไม่เป็นที่สังเกตและวางสายทันที ด้านหลังของเขาตามมาด้วยชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกคนหนึ่ง น่าจะเป็นผู้ช่วยหรือไม่ก็เลขาฯ
เมื่อคนทั้งสองเดินเข้ามาในเครื่องบินก็กวาดตามองทุกคนปราดหนึ่ง ทำให้เครื่องบินที่กว้างขวางใหญ่โตเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศที่กดดันอย่างไม่สามารถอธิบายได้
หร่วนซือเสียนลอบสังเกตเขาอย่างละเอียด ในใจเต้นรัวราวกับตีกลอง ไม่อยากจะเชื่อซือเสี่ยวเจินเลยจริงๆ นึกไม่ถึงว่ารูมเมตของเธอจะเพ้อฝันไปชั่วขณะว่าคนคนนี้จะใจอ่อนลงได้ เห็นได้ชัดว่าบนร่างของเขาล้วนมีคำว่า ‘ฉันไร้หัวใจ’ สี่คำนี้เต็มไปทั่วทั้งตัว
กัปตันที่อายุค่อนข้างมากยิ้มแฉ่งพลางกล่าว “รองประธานฟู่ ยินดีต้อนรับสู่การโดยสารกับพวกเราครับ”
ฟู่หมิงอวี่ยื่นมือไปจับมือกับเขาแล้วกล่าว “ลำบากคุณแล้ว” ออกมาหนึ่งประโยค ก่อนมองไปยังกลุ่มพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่อยู่ด้านข้างอีกครั้ง ทันใดนั้นก็ปะทะเข้ากับสายตาพินิจพิเคราะห์ของหร่วนซือเสียนโดยไม่ทันตั้งตัว
สายตาทั้งสองคู่ประสานกัน หร่วนซือเสียนยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก็ละสายตาออกไปแล้ว หลังจากนั้นก็ก้าวเข้าไปยังห้องผู้โดยสารชั้นหนึ่งทันที
เขามองข้ามเธออย่างไม่ปกปิดเลยแม้แต่น้อย
หร่วนซือเสียนถึงขั้นรู้สึกว่าสายตาที่เห็นเมื่อครู่นี้เป็นเธอที่เข้าใจผิดไป