บทที่ 3
‘ผู้ชายทุกคนล้วนเป็นคนโง่’
ไม่มีถ้อยคำใดจะสามารถอธิบายความรู้สึกนึกคิดของหร่วนซือเสียนในเวลานี้ได้เหมาะสมเท่าประโยคนี้อีกแล้ว
เธอเก็บจดหมายกลับมาโดยจิตใต้สำนึก เค้นรอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้ออกมา อยากจะพูดสักสองประโยค แต่กลับพูดไม่ออกสักคำ
โชคดีที่ฟู่หมิงอวี่พูดประโยคนี้จบก็ไม่ได้มองเธออีก หรือกล่าวได้ว่าทำเหมือนตรงหน้าไม่มีคนคนนี้ยืนอยู่ เขายื่นมือไปปิดไฟสำหรับอ่านหนังสือ จากนั้นเอนที่นั่งลงก่อนหลับตาพักผ่อน
ผู้โดยสารโดยรอบเงียบสงบมาก มีเสียงพลิกหนังสือหรือเสียงแก้วน้ำกระทบกันเป็นครั้งคราวราวกับไม่มีใครสังเกตเห็นตรงนี้ แต่หร่วนซือเสียนรู้ว่าในเวลานี้มีสายตาจำนวนไม่น้อยจับจ้องมาที่เธอเหมือนกับกำลังรับชมความบันเทิงที่น่าสนุกสนาน
แต่ถึงอย่างนั้นผู้โดยสารที่นั่งชั้นหนึ่งของเที่ยวบินทางไกลตลอดทั้งปีเหล่านี้ก็ไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับแอร์โฮสเตสและผู้โดยสารมาก่อน
หร่วนซือเสียนกัดฟัน จากนั้นก็ถือเหยือกกาแฟหันกายเดินจากไป
เมื่อกลับมาถึงห้องจัดเตรียมอาหาร เธอก็วางเหยือกกาแฟลงอย่างแรง ทำให้เจียงจื่อเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ ตกอกตกใจ
“เป็นอะไรไป” เจียงจื่อเยวี่ยถาม
“ไม่มีอะไรค่ะ”
แม้ในใจหร่วนซือเสียนจะรู้สึกอัดอั้น แต่ก็ไม่กล้าพูดค่อนแคะเจ้านายต่อหน้าหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
ปกติแล้วแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเจียงจื่อเยวี่ยจะไม่เลวนัก แต่เพื่อนร่วมงานก็คือเพื่อนร่วมงาน คำพูดซุบซิบนินทาลับหลังไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นมีดที่ย้อนกลับมาทำลายเธอในวันใดวันหนึ่ง
เจียงจื่อเยวี่ยถามอีก “ใช่แล้ว ของของซือเสี่ยวเจิน…เธอส่งไปแล้วหรือยัง”
หร่วนซือเสียนมีจุดอ่อนอย่างหนึ่ง ในใจเธอสามารถซ่อนเรื่องราวต่างๆ ได้ แต่บนใบหน้ากลับซ่อนไว้ไม่อยู่ ถ้าในใจรู้สึกกระวนกระวายเพียงเล็กน้อย ไม่นานนักก็จะปรากฏเลือดฝาดสีแดงบนแก้มทั้งสองข้าง ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ อารมณ์ของเธอเห็นได้ชัดว่าไม่มั่นคงอย่างยิ่ง แววตาสามารถพ่นไฟได้ แต่แก้มที่แดงก่ำกลับดูเหมือนกำลังเขินอายอยู่
หญิงสาวตอบอย่างเย็นชา “ช่างเถอะค่ะ ไม่ส่งแล้ว” พอกล่าวจบเธอก็เบิกตากว้าง “พี่รู้เหรอคะ”
เจียงจื่อเยวี่ยยักไหล่ หันกายพิงตู้ “บ่ายวานนี้ซือเสี่ยวเจินมาหาฉัน”
สำหรับพวกหร่วนซือเสียนแล้ว เจียงจื่อเยวี่ยนับว่าอาวุโสกว่า เมื่อก่อนเธอเป็นคนที่ช่วยสอนเรื่องต่างๆ ให้ซือเสี่ยวเจิน และเพราะว่าเป็นหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ซือเสี่ยวเจินจึงรู้สึกว่าสามารถบอกทุกสิ่งทุกอย่างให้เธอฟังได้ ดังนั้นในตอนแรกจึงไปขอให้เจียงจื่อเยวี่ยช่วยก่อน แต่เธอกลับปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา
อย่าว่าแต่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองจึงไม่แยแสเลย แต่เรื่องนี้มันเหลวไหลเกินไปหน่อย ทำไมต้องเอามาผูกติดกับตัวเองด้วย
หร่วนซือเสียนเองก็เข้าใจดีจึงพยักหน้า “ฉันยังหาโอกาสไม่ได้เลยค่ะ”
โอกาสอะไรนั่นเป็นข้ออ้างทั้งนั้นแหละ คนก็นั่งอยู่ตรงนั้น ถ้าอยากส่งให้จริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องที่ทำได้ภายในอึดใจเดียวหรอกเหรอ
เจียงจื่อเยวี่ยเข้ามาใกล้แล้วถาม “เธอไม่กล้าหรือไง”
“ใช่ค่ะ ไม่กล้า” หร่วนซือเสียนเผยรอยยิ้มแปลกๆ ตรงมุมปาก “ฉันเกรงใจน่ะค่ะ”
ถ้าคนอื่นคิดว่าฉันส่งจดหมายรักจะทำยังไง
“จะเป็นไปได้ยังไง ไม่เห็นมีอะไรต้องเกรงใจเลย” เจียงจื่อเยวี่ยยกสเต๊กเนื้อวัวขึ้นมาสามชุด แล้วเดินผ่านหร่วนซือเสียนไป “ฉันจะไปส่งอาหารมื้อดึกให้ลูกเรือ ส่วนเธอ…อีกสักพักดับไฟแล้วก็เอาออกไปวางเงียบๆ เถอะ แค่นี้ก็ไม่มีใครรู้แล้ว”
เจียงจื่อเยวี่ยพูดแบบนี้ อารมณ์ของหร่วนซือเสียนก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนจะมีเหตุผล
เมื่อครู่นี้เห็นได้ชัดว่าฟู่หมิงอวี่เข้าใจเธอผิด คิดว่าเธอกำลังดึงดูดความสนใจจากเขาอยู่ เรื่องแบบนี้หร่วนซือเสียนจะอธิบายอย่างไร พูดไปคนอื่นก็อาจจะไม่เชื่อ มีแต่ต้องส่งจดหมายไปเท่านั้น เมื่อฟู่หมิงอวี่เห็นเนื้อหาในจดหมายแล้วก็จะรู้ว่าเขาเข้าใจผิดไปเอง
แต่เวลานี้เมื่อเห็นท่าทางเย่อหยิ่งถือตัวของฟู่หมิงอวี่แล้ว เขาต้องไม่รับของใดๆ ที่เธอส่งให้อย่างแน่นอน ดังนั้นรออีกสักพักหลังจากดับไฟและทุกคนหลับกันหมดแล้ว เธอก็จะนำจดหมายไปวางไว้บนที่นั่งของเขาโดยที่เทพและผีมิอาจล่วงรู้
พอเขาตื่นขึ้นมาเห็นเนื้อหาในจดหมายแล้ว ความจริงก็จะปรากฏออกมาเอง
โอเค
เมื่อหร่วนซือเสียนตัดสินใจแล้วก็รออย่างสงบ
ยี่สิบนาทีให้หลัง ไฟในห้องผู้โดยสารดับลงแล้ว ผู้โดยสารส่วนใหญ่ต่างเอนเก้าอี้ลงและสวมผ้าปิดตานอนหลับ มีผู้โดยสารสองคนเปิดไฟอ่านหนังสืออยู่ โดยรอบเงียบสงบจนได้ยินเสียงลมหายใจ
มีเพียงเด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งตรงที่นั่ง 7A กำลังเปิดไอแพดดูการ์ตูน ทั้งยังเปิดลำโพงด้วย
ทุกครั้งเมื่อถึงช่วงเวลานี้ เครื่องบินก็คล้ายกับหอพักขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และหร่วนซือเสียนก็มักรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคุณป้าผู้ดูแลหอพักอย่างไรอย่างนั้น
เธอเดินเบาๆ ไปที่ข้างกายเด็กชายคนนั้น และเตือนให้เขาสวมหูฟังดูการ์ตูน
เด็กน้อยส่งเสียงพึมพำออกมาสองสามคำ “ผมปวดหูครับ”
หร่วนซือเสียนนั่งยองๆ และพูดเบาๆ “หนูน้อย หนูเปิดลำโพงแบบนี้จะหนวกหูคนอื่นนะคะ”
เด็กน้อยยังคงไม่ยินยอม เขาชี้ไปที่ผู้ใหญ่ข้างๆ พลางกล่าว “พ่อผมไม่ได้ถูกเสียงดังรบกวนสักหน่อย”
หร่วนซือเสียนมองแวบหนึ่ง พ่อของเด็กน้อยสวมผ้าปิดตาและสวมที่อุดหูจึงไม่ได้ยินอยู่แล้ว ทั้งยังนอนหลับเหมือนหมูตาย เขาถูกเสียงดังรบกวนสิถึงจะแปลก