“ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ เนื่องจากเครื่องบินของเราพบเจอกับกระแสอากาศที่แปรปรวนอย่างแรง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน ผู้โดยสารกรุณากลับไปยังที่นั่งของตน คาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย ห้องน้ำปิดให้บริการในเวลานี้ค่ะ”
ขณะนั้นเด็กน้อยที่นั่งอยู่ทางด้านนั้นก็ตกใจจนร้องไห้เสียงดัง พยายามดิ้นรนโผเข้าไปหาพ่อของตัวเองอย่างสุดกำลัง แต่พอพบว่าตัวเองรัดเข็มขัดนิรภัยไว้ก็เริ่มปลดออก
หร่วนซือเสียนร้องตะโกนทันที “หนูน้อย! อย่าปลดเข็มขัดนิรภัยออก! นี่เป็นแค่แรงสั่นสะเทือนจากกระแสลมเท่านั้น ไม่ต้องกลัวนะ!”
ทว่าเด็กน้อยไหนเลยจะเข้าใจคำพูดของหร่วนซือเสียน พ่อของเด็กน้อยเองก็เพิ่งถูกการสั่นสะเทือนปลุกให้ตื่นและลุกขึ้นมานั่งอย่างงุนงง เห็นได้ชัดว่ายังไม่เข้าใจว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่เธอไม่สามารถปล่อยให้เด็กน้อยปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วลุกออกจากที่นั่งได้จริงๆ ถ้าหากได้รับบาดเจ็บเพราะแรงกระแทกบนเครื่องบินแล้วจะยุ่งยาก
หร่วนซือเสียนไม่มีเวลาคิดให้รอบคอบ กำลังจะวิ่งไปกดร่างเด็กน้อยเอาไว้ ทว่าเธอเพิ่งปล่อยมือ เครื่องบินก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง ใต้เท้าของเธอไม่มั่นคง ทำให้ตัวเอนเอียง คนทั้งคนจึงล้มลงไป
และเธอล้มลงในอ้อมกอดของฟู่หมิงอวี่อย่างพอเหมาะพอดี
หร่วนซือเสียน “…”
เมื่อร่างกายสัมผัสกัน กลิ่นอายของเขาวนเวียนอยู่รอบกายหร่วนซือเสียน ร่างกายส่วนบนของเธอทั้งหมดแทบจะอิงแอบอยู่บนอกของเขา
ทันทีที่เงยหน้าขึ้นก็สบกับสายตาของฟู่หมิงอวี่ เขาเอียงศีรษะลงมาเล็กน้อย ไม่ได้ปกปิดแววหยอกล้อและเหยียดหยามในดวงตาเลยสักนิด หร่วนซือเสียนแปลความหมายได้ว่า ‘ผมจะดูว่าคุณจะอธิบายยังไง’
เวลานี้เธอใจเต้นแรงขึ้นด้วยความรู้สึกอับอาย คล้ายหัวใจกำลังจะกระโดดออกมาจากอกอยู่รอมร่อ สีแดงของเลือดฝาดบนใบหน้าลามไปถึงกกหู หญิงสาวได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดัง ‘ตึกๆๆ’ อย่างชัดเจน
นี่มันน่าอึดอัดเกินไปแล้ว
ฟู่หมิงอวี่เอ่ยปากขึ้นหลังจากเสียงหัวใจเต้น “เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า”
“…”
นอกจากความเงียบก็ยังคงเป็นความเงียบ
เหตุการณ์นี้ ถ้าฉันบอกว่าไม่เคยคิดจะเรียกร้องความสนใจจากคุณ คุณจะเชื่อไหม
ฉันเองก็ไม่เชื่อ
ในเวลานี้สถานการณ์ในเครื่องบินก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบ แต่ทั้งสองยังคงสบตากันอยู่อย่างนี้ คนหนึ่งหน้าแดงหูแดง อีกคนหนึ่งสงบเยือกเย็น แววตาไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
ผ่านไปเนิ่นนาน ฟู่หมิงอวี่ที่ไม่ได้รับคำตอบก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “คุณคิดจะนั่งอยู่บนตักของผมไปอีกนานเท่าไร”
“…”
หร่วนซือเสียนรีบลุกขึ้นทันที สองมือไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน ได้แต่จัดผมเผ้าก่อนที่นิ้วมือจะปัดผ่านใบหน้าของตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ด้วยอุณหภูมิขนาดนี้ ถ้าเธอมีกระจกสักบานก็น่าจะเห็นใบหน้าอันแดงก่ำของตัวเองที่ราวกับผ่านการอบซาวน่ามาได้
“ฉัน…” หร่วนซือเสียนหลับตาลงแล้วตัดสินใจนำจดหมายฉบับนั้นวางไว้บนโต๊ะของเขา “นี่คือจดหมายที่เพื่อนร่วมงานของฉันฝากนำมาส่งให้คุณค่ะ ข้างในคือความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ ของเธอเกี่ยวกับโครงการโบยบิน”
หลังจากวางจดหมายลง หร่วนซือเสียนก็ไม่กล้ามองเขาอีก แล้วเดินจากไปทันที
เมื่อเดินเข้ามาในห้องพัก เจียงจื่อเยวี่ยก็เข้ามาถามทันที “หร่วนหร่วน เมื่อกี้นี้เธอ…”
เจียงจื่อเยวี่ยพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็หยุดลง แล้วตบไหล่หร่วนซือเสียน
“ไม่เป็นไรค่ะ แรงสั่นสะเทือนเมื่อกี้ทำให้ตกใจนิดหน่อย” หร่วนซือเสียนยืนสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อกี้เด็กน้อยตรงที่นั่ง 7A ตกใจจนร้องไห้ พี่ช่วยเอาน้ำผลไม้สักแก้วไปให้แทนฉันหน่อยสิคะ ฉันไปพักก่อนนะ”
เกือบสิบชั่วโมงหลังจากนั้น หร่วนซือเสียนก็เดินผ่านข้างกายฟู่หมิงอวี่นับครั้งไม่ถ้วน แต่ดีที่เขาหลับไปเกือบห้าชั่วโมง อีกห้าชั่วโมงที่เหลือก็ทำธุระของตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ได้มองมาที่เธอเลยแม้แต่แวบเดียว แต่ถึงกระนั้นทุกครั้งที่เดินผ่านข้างกายเขา เธอก็ยังคงกระสับกระส่ายไปทั้งตัวอยู่ดี และมักจะรู้สึกว่าวินาทีต่อมาเขาจะเงยหน้าขึ้นมามองอย่างเหน็บแนม แล้วพูดถ้อยคำที่ทำให้เธออับอายขายหน้า
แต่โชคดีที่สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้น
หลังจากนำเครื่องบินลงจอดและส่งผู้โดยสารทั้งหมดแล้ว หร่วนซือเสียนก็แทบจะลอกผิวหนัง ไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าการบินทางไกลแค่ครั้งเดียวจะเหนื่อยขนาดนี้
อย่างไรก็ตามเธอนวดไหล่และเดินกลับเข้าไปในห้องผู้โดยสารอีกครั้ง ตอนเดินผ่านที่นั่งของฟู่หมิงอวี่ก็เกือบจะเป็นลม
จดหมายฉบับนั้นยังคงวางอยู่บนโต๊ะโดยที่ปิดผนึกไว้เช่นเดิม
ทำไมหร่วนซือเสียนถึงมั่นใจว่ามันปิดผนึกไว้เช่นเดิมน่ะหรือ
เพราะว่าซือเสี่ยวเจินให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ภายนอกเสมอ จึงใช้ตราประทับครั่งผนึกปากซองจดหมายอย่างดี
หร่วนซือเสียนนับไม่ถูกแล้วว่าวันนี้ตัวเองสูดหายใจเข้าออกลึกๆ เป็นครั้งที่เท่าไร เธอหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมา
วันนี้เธอพบเจอกับเที่ยวบินที่วุ่นวายขนาดนี้ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นการแสดงเดี่ยวของเธอฝ่ายเดียวอย่างนั้นเหรอ!