บทที่ 4
เมื่อลงจากเครื่องแล้ว หร่วนซือเสียนก็เปิดโทรศัพท์มือถือ เห็นข้อความวีแชตต่างๆ และสายที่ไม่ได้รับมากมายจนเหมือนใกล้จะล้นออกมา
หลังจากนั่งรถรับส่งพนักงานบนเครื่องบินมุ่งหน้าไปยังโรงแรมแล้ว หร่วนซือเสียนจึงมีเวลาและเริ่มตอบข้อความ
เจียงจื่อเยวี่ยยังคงเร็วกว่าหร่วนซือเสียน เธอส่งข้อความไปในกลุ่มแชตเพื่อนร่วมงานกลุ่มหนึ่ง บอกว่าถึงลอนดอนเรียบร้อยแล้ว และถามว่ามีเพื่อนร่วมงานที่ยังอยู่ในลอนดอนหรือไม่ และนัดออกไปเที่ยวด้วยกัน
กลุ่มแชตนี้เป็นกลุ่มที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเป็นการส่วนตัว มีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน กัปตัน นักบินผู้ช่วย ยังมีเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงและเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยอีกกลุ่มหนึ่ง
มีคนถามเจียงจื่อเยวี่ยว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินครั้งนี้มีใครบ้าง เจียงจื่อเยวี่ยบอกเป็นคนๆ แล้วถามกลับไป ‘ทำไม อยากจะแสดงความในใจเหรอ’
หร่วนซือเสียนมองบทสนทนาอันดุเดือดในกลุ่มแชตแวบหนึ่ง รู้ว่าเจียงจื่อเยวี่ยกำลังพูดถึงเธอ เพียงแต่คิ้วยังไม่ทันจะขมวด แชตส่วนตัวอีกสองแชตก็มีข้อความเข้ามา
อันหนึ่งคือกัปตันเยวี่ยซึ่งประจำการอยู่ที่ฐานลอนดอนในปีนี้ เชิญเธอไปทานอาหารค่ำ
อันหนึ่งคือสจ๊วตที่มาถึงลอนดอนเมื่อวาน เชิญเธอไปเที่ยวด้วยกันตอนบ่าย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาแสดงไมตรีต่อหร่วนซือเสียน และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่สองคนนี้เท่านั้น ไม่รู้ว่าทำไมหร่วนซือเสียนถึงรู้สึกว่าชะตาดอกท้อ ในปีนี้ของตัวเองดีเป็นพิเศษ คนที่ตามจีบมีไม่ขาดสายจนเธอจัดการไม่หวาดไม่ไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เธอถ่ายภาพลงปกนิตยสารของสายการบินเหิงซื่อฉบับเดือนมีนาคมปีนี้ ทุกสัปดาห์จะมีคนเพิ่มเพื่อนในวีแชตเธอผ่านช่องทางที่ไม่ชัดเจนอยู่หลายคน
หร่วนซือเสียนตอบปฏิเสธสองคนนี้ทันที บอกว่าวันนี้ตัวเองมีนัดแล้ว เมื่อส่งข้อความไป เจียงจื่อเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็มองโทรศัพท์เธออย่างเยาะหยันแวบหนึ่ง
“แม้แต่กัปตันเยวี่ยเธอก็ปฏิเสธเหรอ”
“…”
ความรู้สึกที่กัปตันเยวี่ยมีต่อหร่วนซือเสียน แม้ไม่บอกทุกคนต่างก็รู้กันหมด แต่คนที่มีสายตาเฉียบแหลมย่อมมองออกมากกว่าคนอื่นอยู่หลายส่วน
แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นเรื่องส่วนตัวอยู่ดี แต่เมื่อได้ยินคนพูดอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ อีกทั้งยังดูโทรศัพท์เธอโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นใครก็คงไม่พอใจกันทั้งนั้น
“วันนี้ฉันนัดเพื่อนที่ลอนดอนไว้แล้วค่ะ”
เจียงจื่อเยวี่ยไม่เชื่อคำพูดที่เธอกล่าว หรือไม่ก็คิดว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น หร่วนซือเสียนจึงเบ้ปากก้มหน้ามองโทรศัพท์
“ฉันสงสัยว่าเหตุผลที่เธอไม่มีแฟนมาโดยตลอดเป็นเพราะเธอตาสูงเกินไปใช่หรือเปล่า”
“ไม่ใช่…ตอนนี้ฉันแค่ยังไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ค่ะ”
เจียงจื่อเยวี่ยเลิกคิ้วพลางส่ายหน้าเบาๆ “มองไปทั่วทั้งสายการบินเหิงซื่อ กัปตันเยวี่ยหล่อเหลาเอาการ เพิ่งอายุยี่สิบเก้า ค่าตอบแทนหนึ่งล้านต่อปี มีกี่คนในแผนกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของพวกเราที่จ้องมองกันตาปริบๆ แต่สุดท้ายเธอก็ยังไม่ชอบ”
หร่วนซือเสียนหันข้างมองเจียงจื่อเยวี่ยแวบหนึ่ง สังเกตสีหน้าท่าทางของเธออยู่ในสายตา
หรือว่าเจียงจื่อเยวี่ยจะมีใจให้กัปตันเยวี่ย
กัปตันเยวี่ยยอดเยี่ยมก็จริง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ยังรักอิสระ ทั้งยังอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างบริษัทสายการบินที่มีกลุ่มคลื่นแอร์โฮสเตสหน้าตาดีลูกแล้วลูกเล่าเข้ามาอย่างต่อเนื่องราวกับฝ่ายใน ความรวดเร็วในการเปลี่ยนแฟนสาวของเขาเทียบได้กับนางแบบเปลี่ยนเสื้อผ้า เพียงพริบตาก็เปลี่ยนคนใหม่เสียแล้ว
“ไม่ได้ความหมายว่าไม่ชอบค่ะ” หร่วนซือเสียนกระซิบเสียงเบา “แค่ไม่ใช่คนประเภทที่ฉันชอบเท่านั้นเอง”
มีเสียงเหอะดังขึ้นเบาๆ จากคนข้างๆ ซึ่งแฝงไปด้วยการเหน็บแนมและมองเห็นทุกสิ่งอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดี หร่วนซือเสียนรู้สึกว่าเธอกับเจียงจื่อเยวี่ยยังไม่ถึงขั้นที่สามารถพูดคุยความในใจกันได้ จึงไม่ได้สนใจอีก เลื่อนวีแชตต่อไปจนถึงด้านล่าง และพบว่าเมื่อสี่ชั่วโมงที่แล้วซือเสี่ยวเจินส่งข้อความมาถามถึงความคืบหน้าหลายข้อความ
หร่วนซือเสียนตอบกลับไปหกคำ ‘ไม่ได้ส่งไป หมดหวัง’
ซือเสี่ยวเจินไม่ได้ตอบกลับ เนื่องจากตอนนี้เธออยู่บนเที่ยวบินที่บินไปยังนิวยอร์กแล้ว
หลังจากถึงโรงแรม หร่วนซือเสียนและเจียงจื่อเยวี่ยพักที่ห้องสแตนดาร์ดห้องเดียวกัน ตอนนี้ที่ลอนดอนเป็นเวลาสิบโมงครึ่ง เจียงจื่อเยวี่ยเช็ดเครื่องสำอางออกและเตรียมตัวนอน หร่วนซือเสียนไม่มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับเวลาใหม่เหมือนเธอ จึงกลัวว่าหากตัวเองนอนในเวลานี้แล้ว เที่ยวบินขากลับในตอนเช้าของอีกสองวันถัดไปเธอจะง่วงจนสภาพจิตใจไม่ปกติ ดังนั้นจึงนัดเจอเพื่อนในตอนกลางวันเสียเลย
“ใช่แล้ว หร่วนหร่วน วันนี้บนเครื่องบินเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ” เจียงจื่อเยวี่ยจัดวางแผ่นมาส์กหน้าบนหน้า ปากเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ “ฉันเห็นเธอนั่งตักของรองประธานฟู่”
หร่วนซือเสียนที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าชะงักไปครู่หนึ่ง “…”
เจียงจื่อเยวี่ย พี่อย่าพูดคำว่า ‘ตัก’ ออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำแบบนี้ได้ไหม
“ตักอะไรกันคะ ก็แค่เครื่องสั่นสะเทือนจนยืนไม่มั่นคงน่ะค่ะ”
เจียงจื่อเยวี่ยยิ้ม เนื่องจากแผ่นมาส์กหน้าหนามากพอจึงเก็บซ่อนสีหน้าของเธอไว้ได้