บทที่ 5
หร่วนซือเสียนลงจากเรือยอชต์ด้วยเบ้าตาแดงก่ำ
แม้เธอจะไม่ได้เกิดจากครอบครัวที่มีอิทธิพล และไม่นับว่าเป็นลูกรักของสวรรค์ แต่ก็เป็นดาวโรงเรียนตั้งแต่เด็กจนโต มีคนมาจีบไม่เคยขาด ข่าวซุบซิบนินทาก็มีบ้างเป็นครั้งคราว ทว่าไม่เคยมีใครทำให้เธออับอายขายหน้าขนาดนี้มาก่อน
อะไรคือ ‘ให้โอกาสคุณ’ อะไรคือ ‘บังเอิญจริงๆ’
มองฉันเป็นคนแบบไหนไปแล้ว
ถ้าหากเวลานั้นฟู่หมิงอวี่ไม่ได้หมุนกายเดินจากไปทันที ถ้าหากไม่ได้กังวลว่านี่เป็นงานเลี้ยงของเจ้านายเปี้ยนเสวียน ถ้าหากไม่ใช่ว่าคนที่รายล้อมอยู่โดยรอบล้วนเป็นชาวต่างชาติ หร่วนซือเสียนคงเอาไวน์ในมือสาดใส่ใบหน้าเขาตรงนั้นอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่ตอนนี้ทุกอย่างล้วนเป็นแค่ความคิด พลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดไปเสียแล้ว หร่วนซือเสียนรู้ตัวดีว่าจะไม่มีคำอธิบายใดๆ ให้กับคนโง่อย่างฟู่หมิงอวี่อีก
ไป!
ไปเดี๋ยวนี้!
หร่วนซือเสียนทนต่อการไม่ได้รับความเป็นธรรมแบบนี้ไม่ไหวแล้ว เธอตัดสินใจออกจากสายการบินเหิงซื่อ ออกจากขอบเขตอำนาจของฟู่หมิงอวี่ ไม่อยู่ภายใต้บริษัทของเขาและทำงานต่อไปเหมือนคนโง่อีก
ภายในโรงแรมติดตั้งคอมพิวเตอร์ไว้ให้แขกที่มาพักใช้บริการ หร่วนซือเสียนเปิดโปรแกรม Word ก่อนจะเริ่มเขียนใบลาออก ระหว่างนั้นซือเสี่ยวเจินก็โทรมา หร่วนซือเสียนจึงผ่าหัวคลุมหน้า* ต่อว่าไปยกหนึ่ง
“เธอยังจะถามอีกเหรอ! เพราะเรื่องนี้ทำให้ฉันขายหน้าไปหมดแล้ว ฉันไม่ทำแล้ว ฉันจะลาออกตอนนี้!”
อารมณ์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟของหร่วนซือเสียนแผดเผาซือเสี่ยวเจินจนวิงเวียนศีรษะ ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด เพียงครู่เดียวซือเสี่ยวเจินก็ส่งเสียงสะอึกสะอื้นออกมา
“ธะ…เธอเป็นอะไรไปเหรอ ฉันจะบอกเธอว่าไม่ต้องส่งจดหมายแล้ว ฉันมีทางออกแล้ว”
หร่วนซือเสียนเท้าหน้าผาก ผมถูกทึ้งจนยุ่งเหยิง เมื่อเหลือบตามองคำว่า ‘ใบลาออก’ สามคำใหญ่ๆ บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ในที่สุดก็ใจเย็นลง
เธอไม่ควรระบายความโกรธใส่ซือเสี่ยวเจิน
ขณะที่กำลังอยู่ในสาย หร่วนซือเสียนไม่ได้สนใจว่าทางออกที่ซือเสี่ยวเจินพูดถึงคืออะไร ในสมองเต็มไปด้วยฟู่หมิงอวี่ เธอตบที่หน้าอก พยายามบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันนี้กับซือเสี่ยวเจินอย่างใจเย็น และยังต่อว่าฟู่หมิงอวี่อย่างรุนแรงอีกสิบนาที โดยใช้คำหยาบคายทั้งหมดที่ในสมองจะสามารถนึกขึ้นได้
ซือเสี่ยวเจินฟังจบ ผ่านไปนานก็ยังไม่ได้สติกลับมา
“เขา…ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ท่าจะบ้าซะล่ะมั้ง!”
ซือเสี่ยวเจินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “เขาอาจจะเจอผู้หญิงประเภทนี้มากเกินไป เลยเข้าใจเธอผิดไปด้วย…”
“แล้วฉันควรถูกทำไม่ดีด้วยงั้นเหรอ ฉันไม่สน ฉันจะลาออก ตอนนี้แค่นึกถึงเขาฉันก็หายใจไม่ออกแล้ว!”
บรรยากาศทางฝ่ายซือเสี่ยวเจินกดดันอย่างยิ่ง ผ่านไปนานเธอจึงกล่าวขึ้นมา “ฉันจะลาออกกับเธอด้วย วันนี้ลุงของฉันโทรมาหาฉัน บอกว่าทาง COMAC…”
จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นหูดังขึ้น หร่วนซือเสียนหันหน้าไปมองก็เห็นเจียงจื่อเยวี่ยยืนอยู่ข้างหลังเธอ แรกเริ่มเจียงจื่อเยวี่ยมองเธออย่างตกตะลึง พออยู่ๆ เสียงเรียกเข้าดังขึ้นมากะทันหัน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นประหม่าอย่างช่วยไม่ได้ และก้มหน้ากดโทรศัพท์ทันที
ทว่าเป็นเพียงความลุกลี้ลุกลนในชั่วพริบตาเท่านั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของเจียงจื่อเยวี่ยก็กลับมาเป็นปกติ
“เอ่อ…” เจียงจื่อเยวี่ยกล่าว “ฉันเพิ่งเปิดประตู เธอไม่ได้ยินน่ะ”
ความหมายก็คือคำพูดที่หร่วนซือเสียนพูดกับซือเสี่ยวเจินเมื่อครู่นี้ เธอได้ยินหมดแล้ว
“กลับไปค่อยพูดกัน”
หร่วนซือเสียนวางสาย หันหน้ากลับมามองเจียงจื่อเยวี่ย ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
เจียงจื่อเยวี่ยคล้ายจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้างเช่นกัน เธอก้มหน้าก้มตาเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ ออกมาก็จัดของของตัวเองโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หร่วนซือเสียนคิดว่าถึงอย่างไรเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องที่เธอจะลาออกคงปิดไว้ไม่อยู่ จึงไม่ได้สนใจเท่าไร
แต่ในที่สุดเจียงจื่อเยวี่ยก็อดรนทนไม่ไหว พับเสื้อผ้าไปพลางพูดไปพลางอยู่บนเตียง “เธอจะลาออกจริงๆ เหรอ อย่าเพิ่งวู่วาม คิดพิจารณาอีกที”
ดูเหมือนว่าจะพูดด้วยความจริงใจ แต่หร่วนซือเสียนกลับฟังอารมณ์ในน้ำเสียงไม่ออกสักเท่าไร เหมือนเป็นแค่ประโยคเหนี่ยวรั้งแบบตายตัว เพียงแค่พูดๆ ไปเท่านั้น
ดังนั้นหร่วนซือเสียนจึงแค่ส่ายหน้า บอกว่าตัวเองคิดดีแล้ว และก็เป็นอย่างที่คิด เจียงจื่อเยวี่ยไม่ได้ถามอะไรมากมายอีก เธอจึงเขียนใบลาออกต่อ โคมไฟข้างโต๊ะสว่างจนถึงเวลาตีสอง