“บังเอิญจัง คุณยังคงมาทัน”
หนีถงนึกไม่ถึงว่าตัวเองยังไม่ทันเอ่ยปาก คนข้างๆ กลับเอ่ยปากขึ้นมาก่อนเสียแล้ว
น่าสนใจเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นก็มาที่สายการบินเหิงซื่อ ภายใต้สถานการณ์ที่เร่งรีบขนาดนั้นกลับไม่ยอมให้เธอมาด้วย ทำให้เธอต้องสูดควันท่อไอเสียเข้าไปเต็มปอด
หนีถงโกรธจัด คำพูดที่กล่าวออกมาจึงแปลกๆ อยู่บ้าง “อ้าว บังเอิญจัง คุณก็มาที่สายการบินเหิงซื่อเหมือนกันเหรอ”
หร่วนซือเสียนยิ้มและพยักหน้า “อืม ฉันมารายงานตัวที่ฝ่ายบุคคล”
หนีถงเลิกคิ้ว พิจารณาหร่วนซือเสียนอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
ท่าทางไม่ไว้หน้าใครตอนที่ขึ้นรถ ถ้าไม่รู้ยังนึกว่าเป็นภรรยาของท่านประธานซะอีก
เมื่อประตูลิฟต์เปิด หนีถงกำลังจะเข้าไป หร่วนซือเสียนกลับชิงนำหน้าเข้าไปก่อนหนึ่งก้าว
หนีถงอารมณ์เสียแล้วจริงๆ เธอยิ้มอย่างโมโหอยู่หน้าประตูลิฟต์ด้วยท่าทางแข็งทื่อ
“เพิ่งเรียนจบเหรอ”
ครั้งนี้หร่วนซือเสียนพยักหน้าหงึกๆ
หนีถงหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไป “ฉันว่าแล้ว”
คนมาใหม่ที่ไม่รู้กาลเทศะก็จะเป็นแบบนี้
ทั้งสองยืนอยู่กันคนละด้านของลิฟต์ คนหนึ่งกดฝ่ายบุคคลชั้นสิบสี่ คนหนึ่งกดไปที่ชั้นห้องประชุม
หร่วนซือเสียนก้มหน้ามองโทรศัพท์ ขณะที่หนีถงกอดอกมองเธอ
“นำบินหรือยัง”
“ยังค่ะ”
หนีถงรู้อยู่แล้วแต่ก็ยังจงใจถาม
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่เพิ่งเข้ามาจะต้องผ่านช่วงเวลาในการนำบินช่วงหนึ่ง และพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอาวุโสที่นำบินก็จะมีฐานะเป็นอาจารย์ ต่อไปไม่ว่าตำแหน่งจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ย่อมต้องเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันอยู่อย่างนั้น
และยิ่งไปกว่านั้นหนีถงยังเป็นหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
“แม้ว่าเหตุการณ์ที่คอนโดฯ จะไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไร แต่ฉันเป็นคนใจกว้าง มีเรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องพูดกับเธอสักหน่อย” เมื่อเห็นหร่วนซือเสียนไม่สนใจ หนีถงจึงเดินไปตรงหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับเธอ “อาชีพของพวกเราให้ความสำคัญกับระดับอาวุโส ต่อไปเธอต้องเข้าสู่ขั้นตอนการนำบิน ควรทำให้ตาสว่างสักหน่อย หลังจากนี้จะได้รู้ว่าอะไรควรไม่ควร รู้มารยาทระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง รุ่นพี่ก็คือรุ่นพี่ อย่าคิดช่วงชิงที่จะเป็นที่หนึ่ง แล้วก็กลัวการเป็นที่โหล่ไปเสียทุกครั้ง จะทำให้อาจารย์ไม่มีความสุขเปล่าๆ” จากนั้นหนีถงก็ชี้ไปที่ประตูลิฟต์ “อยู่ในลิฟต์ก็แล้วไปเถอะ แต่หลังจากขึ้นเครื่องเธอต้องการแย่งชิงเพื่อจะเป็นที่หนึ่ง จะให้อาจารย์มองเธอยังไง จะให้หัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินมองเธอยังไง”
หร่วนซือเสียนเงยหน้าและสบตากับหนีถงครู่หนึ่ง ขณะที่ในใจของหนีถงกลับรู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
มองอะไร
แต่ไม่รอให้หนีถงเกิดโทสะ หร่วนซือเสียนกลับหัวเราะคิกออกมา
หนีถงใช้เวลาอยู่นานถึงค่อยเข้าใจ
การหัวเราะแบบนี้ของเธอ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังมองเด็กน้อยที่ไอคิวต่ำอย่างไรอย่างนั้น
หนีถงถอนหายใจ ในใจคิดว่าตนคงพูดไม่ชัดเจน คนคนนี้จึงฟังไม่เข้าใจ
“ต่อไปต้องร่วมงานกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นมาทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการสักหน่อยเถอะ” หนีถงยื่นมือออกมาพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “หัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแผนกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่สี่ หนีถง”
หร่วนซือเสียนไม่ขยับ สายตามองกวาดตั้งแต่ใบหน้าของหนีถงจนถึงมือของเธอ ท่าทีเฉยชา ไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น หลังจากนั้นถึงค่อยๆ ยกมือขึ้นมาจับ
“นักบิน ACJ31 ฝูงบินที่หก หร่วนซือเสียน”
มือของหนีถงสั่นไปครู่หนึ่ง เธอมองด้วยความอึ้งเหมือนกับไม่เชื่อคำพูดที่หร่วนซือเสียนกล่าวออกมา
เสียงลิฟต์ดัง ‘ติ๊ง’ หนึ่งที ถึงชั้นสิบสี่แล้ว
หร่วนซือเสียนดึงมือตัวเองออกแล้วเดินออกไป แต่ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง เธอก็หันหน้ากลับมากล่าว
“ใช่แล้ว ต่อไปถ้าเธอบินกับเที่ยวบินของฉัน ทางที่ดีอย่าดื่มแอลกอฮอล์ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนถึงเวลาทำงาน ฉันทนไม่ได้จริงๆ ที่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจะมาสายเพราะตื่นไม่ไหว”