บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง
“ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโรงสู้ ประชันคู่เป็นปีศาจ”
รัชศกหยวนจยาปีที่หนึ่ง เดือนสิบสอง เพลงเด็กเพลงหนึ่งแพร่สะพัดไปทั่วตรอกถนนในราชธานีตะวันออก บรรดาเด็กน้อยปล่อยผม กำลังร้องเพลงนี้พลางเล่นสนุกกันอยู่บนถนน ผู้สัญจรสองข้างทางได้ยินแล้วล้วนไม่กล้าสนทนากัน เพียงกระชับเสื้อแน่น เร่งเดินผ่านไป บิดามารดาของเด็กน้อยรีบมาป้องปากบุตรธิดา ลากพากลับบ้านไปดุอบรม “ไม่ต้องการชีวิตแล้วสินะ เรื่องของท่านผู้นั้นพวกเจ้ากล้าเอ่ยถึงเชียวหรือ ขืนดื้อไม่เชื่อฟังอีกข้าจะปล่อยพวกเจ้าไว้หน้าประตูบ้าน ให้ปีศาจที่หลุดจากกองงานปราบปีศาจมาจับพวกเจ้าไปกินเสียเลย!”
เด็กน้อยไม่เข้าใจสักนิดว่าบทเพลงสื่อความนัยอันใด แต่ทันทีที่ได้ยินคำว่ากองงานปราบปีศาจ พวกเขาก็เสียขวัญจนร้องไห้โฮ ปลอบอย่างไรก็ไม่หาย
รัชศกหยวนจยาปีที่หนึ่งนี้ยังเป็นรัชศกฉุยก่งปีที่แปดด้วย ซึ่งก็คือปีที่แปดที่ฮ่องเต้หญิงอู่จ้าวครองราชย์ บัดนี้กิตติศัพท์อันเลวร้ายของกองงานปราบปีศาจดังกระฉ่อนทั่วแผ่นดินจรดสี่สมุทร ถึงขั้นหยุดเสียงร้องโยเยกลางดึกของเด็กน้อยได้ ผู้ที่อื้อฉาวไม่แพ้กันยังมีองค์หญิงอันติ้งหลี่เจาเกอ…ผู้บัญชาการแห่งกองงานปราบปีศาจซึ่งเล่นพรรคเล่นพวก ปั้นแต่งข้อหา ใส่ความทำให้เกิดคดีผิดพลาดไม่เป็นธรรมนับไม่ถ้วน ทำร้ายตระกูลที่มีชื่อเสียงบารมีให้บ้านแตกสาแหรกขาดไปไม่รู้กี่ตระกูลแล้ว
หลี่เจาเกอรู้ว่าผู้คนมากมายเกลียดแค้นนาง ในราชธานีตะวันออกไม่รู้มีผู้คนเท่าไรไหว้พระอ้อนวอนเทพเจ้า เฝ้าหวังทุกคืนวันให้นางตาย
น้องชายน้องสาวของนาง ลูกพี่ลูกน้องของนาง แม้กระทั่งสามีของนางต่างก็เฝ้าหวังให้วันนั้นมาถึง
น่าเสียดาย ท้ายที่สุดพวกเขาล้วนต้องผิดหวัง นางข้าหลวงสวมชุดชาววังสีแดงกำลังยอบกายอยู่เบื้องหน้าหลี่เจาเกอ เขียนคิ้ว ระบายดวงตา แต้มชาดบนริมฝีปากให้ สุดท้ายก็ยกสวมพระมาลาที่มีระย้าลูกปัดมุกอันวิจิตรตระการตาลงบนศีรษะหลี่เจาเกอแล้วคุกเข่าโดยพร้อมเพรียงกัน “ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี”
ทุกคนทั้งในและนอกตำหนักต้าเยี่ยต่างหมอบลงพื้น โน้มลำคอลงอย่างอ่อนน้อม ปากเปล่งเสียงดังว่า “ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี!”
หลี่เจาเกอจับจ้องคนในคันฉ่องแน่วนิ่ง…คิ้วเรียวเชิด จมูกสูงโด่ง นัยน์ตางามเฉียบ สวมชุดกุ่นเหมี่ยน แลดูงดงามดุดันทรงพลังน่ากลัวเกรง ต่อให้คนภายนอกโจษจันถึงนางย่ำแย่สักเพียงใดก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่านี่มิใช่ดวงหน้าอันสะคราญเป็นเลิศ
นางคือองค์หญิงอันติ้ง องค์หญิงผู้เติบใหญ่ท่ามกลางราษฎรสามัญ ชื่อเสียงฉาวโฉ่ มีชีวิตดั่งเรื่องขบขัน ทว่าตอนนี้หลี่เจาเกอผู้นี้เป็นฮ่องเต้หญิงองค์ใหม่แห่งต้าถังแล้ว
ต้าเซิ่งฮ่องเต้ อู่จ้าวสวรรคตเฉียบพลันเมื่อเดือนก่อน ก่อนนางสิ้นได้มอบบัลลังก์แก่พระธิดาองค์โตหลี่เจาเกอ หลี่เจาเกอจึงคล้อยตามลิขิตฟ้าขึ้นสืบทอดตำแหน่ง และวันนี้ก็คือวันพิธีครองราชย์
เหล่านางข้าหลวงหลุบตาลงกึ่งหนึ่ง ไม่กล้ามองหลี่เจาเกอแม้แต่น้อย นางข้าหลวงกองพิธีการฝ่ายในเดินซอยเท้าขึ้นหน้ามาคำนับอย่างเคร่งครัดก่อนกล่าวเสียงนบนอบ “ทูลฝ่าบาท ใกล้ถึงฤกษ์มงคลแล้ว ขอเชิญเสด็จตำหนักหานหยวนเพคะ”
หลี่เจาเกอผงกศีรษะเล็กน้อย พาให้ลูกปัดมุกสิบสองสายกระทบกันแผ่วเบาบังเกิดเสียงรื่นหู นางไม่ต้องให้บ่าวมาประคองก็ลุกขึ้นจากเบาะด้วยตนเองได้อย่างมั่นคง เพิ่งจะยืนเรียบร้อยนางข้าหลวงอีกคนก็เดินตรงมาอย่างเร่งร้อน ใบหน้าเผือดขาว แววตาหลุกหลิกไม่กล้าเผชิญหน้าหลี่เจาเกอ นางหวาดหวั่นมากเสียจนร่างสั่นเทิ้มเล็กน้อย
นางไม่จำเป็นต้องปริปาก หลี่เจาเกอก็เข้าใจได้ “สวามีเราคงมีคำพูดฝากมากระมัง พิธีกำลังจะเริ่ม เขามีคำพูดใดรอจบพิธีก็ค่อยว่ากัน”
“มิใช่เพคะ” นางข้าหลวงตอบตัวสั่นงันงก “ราชบุตรเขยทรงมิได้สวมชุดมงคล ทั้งตรัสว่าต้องการจะพบฝ่าบาท”
ไม่ยอมสวมเลยหรือนี่ หลี่เจาเกอเสียดายอยู่บ้าง เป็นสามีภรรยากันมาหกปี แยกกันอยู่คนละที่ ซ้ำยังแตกหักเป็นศัตรู ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ภายหลังขึ้นครองราชย์นางก็ยังคงคิดจะแต่งตั้งเผยจี้อันเป็นคู่ครองหนึ่งเดียวของนาง
ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดลือกันเซ็งแซ่ว่าหลี่เจาเกอหมกมุ่นราคะชนิดไม่บันยะบันยัง มีชายบำเรอนับไม่ถ้วน แต่หลี่เจาเกอรู้แก่ใจว่านางมีเพียงเขาเท่านั้น