บทที่ 2 เผชิญด่านเคราะห์
เมฆหมอกกระหวัดม้วน เสียงเสนาะเวียนวน เหนือม่านเมฆเก้าชั้นปรากฏประตูสวรรค์ทักษิณ ตั้งตระหง่านสงบนิ่ง เบื้องหลังมีหมู่ตำหนักเรืองประกายทองอร่ามแลดูศักดิ์สิทธิ์ภูมิฐานกระจายตัวสลับกัน เซียนหญิงเหาะเหินอยู่ท่ามกลางทางระเบียงอันลดเลี้ยว สัตว์มงคลวิหคมงคลตัดผ่านเป็นระยะ วาดแสงเงินแสงทองเป็นเส้นยาวๆ หนึ่งสายกลางชั้นเมฆ
ณ กึ่งกลางทิศเหนือของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า วังอวี้ซวีตั้งอยู่บนขั้นบันไดอันสูงลิบ ครองตำแหน่งสูงอย่างทระนง สงบเงียบน่ายำเกรง เซียนชั้นผู้น้อยที่เข้าเวรอยู่แลเห็นวังอวี้ซวีล้วนเปลี่ยนเส้นทางกันตั้งแต่ไกล ไม่กล้าเฉียดใกล้แม้สักนิด
ภายในวังอวี้ซวี เซียนหญิงชุดแดงผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น สภาพอับจนยิ่ง ด้านข้างของเซียนหญิงยังมีชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่ ดูท่าทางเป็นเพียงมนุษย์สามัญ เขาคุกเข่าบนพื้นอิฐหยกที่วาวใสปานคันฉ่องในวังอวี้ซวีด้วยใบหน้าอันขาวซีด ลมหายใจโหยแผ่ว ถูกไอหนาวแช่เย็นจนร่างสั่นสะท้านเป็นพักๆ
บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเหน็บหนาวเป็นทุนเดิม ซ้ำวังอวี้ซวียังอยู่จุดสูงสุดของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ย่อมจะยิ่งสูงยิ่งหนาว
เซียนหญิงชุดแดงมองดูชายหนุ่มข้างกาย ดวงตาของนางฉายความเศร้าสลด “ท่านพี่หยาง”
กระทั่งในเวลาเช่นนี้ชายหนุ่มนามหยางหวาก็ยังคงพยายามปลอบโยนภรรยาที่เขารักดั่งดวงใจ “หมู่ตาน อย่ากลัวไปเลย ไม่ว่าจะเป็นหรือตายพวกเราก็จะอยู่ด้วยกัน”
หยาดน้ำใสรื้นอยู่ในดวงตาของหมู่ตาน นางกำลังจะเอ่ยวาจา เบื้องบนของวังอวี้ซวีก็พลันมีพลังคุกคามขุมหนึ่งแผ่ลงมา ไอหนาวอันไร้รูปกวาดผ่านมาถึง พาให้เมฆหมอกของสวรรค์เก้าชั้นฟ้าพลิกตลบเป็นชั้นๆ ดุจเกลียวคลื่นในทันที
ประกายอันเจิดจ้าเย็นยะเยือกสาดมาจากบนแท่นสูง แยงตาจนแทบจะเบิกไม่ขึ้น หมู่ตานต้องโคจรพลังวัตรทั้งหมดจึงจะต้านทานไอหนาวอันแสนเข้มข้นและแสนรุนแรงจากแท่นสูงนั้นได้
หมู่ตานอาจฝืนต้านทาน ทว่าหยางหวาไม่ไหวแล้ว ขนคิ้วกับปลายผมของเขาพลันปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ริมฝีปากแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมเขียว หมู่ตานร้องเรียกเขาหนึ่งหนขณะหัวใจดิ่งฮวบ
ช่างสมเป็นองค์เทพเหนือเทพ ผู้ครองตำแหน่งเป่ยเฉินเทียนจุน ประจำฟ้าอุดร หัวหน้าแห่งหมู่เซียนที่ควบคุมการลงทัณฑ์ในราชสำนักสวรรค์ แค่สัมผัสพลังของเขา หมู่ตานก็ยากจะประคองตัวแล้ว หากลงไม้ลงมือกันจริงๆ แม้แต่กระบวนท่าเดียวของเป่ยเฉินเทียนจุนนางก็คงต้านไม่ไหวเลยกระมัง
อย่าว่าแต่นางเลย ทอดตาไปทั่วราชสำนักสวรรค์ ผู้ที่ประมือกับเป่ยเฉินเทียนจุนแค่งอนิ้วมือก็นับได้ถ้วน และในจำนวนนี้ผู้ที่เอาชนะเขาได้เกรงว่าคงไม่มี
หมู่ตานนึกถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกชั่วครู่ จิตใจก็หนักอึ้งเป็นเท่าทวี ไม่รอให้นางคิดเสร็จว่าจะทำเช่นไร เสียงอันกังวานลี้ลับยากจับต้องก็ดังมาจากแท่นบัญชาเซียนอันสูงลิ่ว “เซียนหมู่ตาน เจ้าลักลอบลงไปแดนมนุษย์ ฝ่าฝืนกฎสวรรค์ใช้ชีวิตเป็นสามีภรรยากับมนุษย์ เจ้ารู้ผิดหรือไม่”
หมู่ตานคอตกอย่างไร้แรง ขานตอบเสียงฝืดเฝื่อน “ข้าน้อยรู้ผิดเจ้าค่ะ”
“ลอบมีสัมพันธ์ฉันบุรุษสตรีกับมนุษย์เป็นความผิดอุกฉกรรจ์ เจ้ามีความลำบากใจอันใดหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ” เซียนหมู่ตานเพ่งมองเงาสะท้อนบนแผ่นอิฐปูพื้นพลางขานตอบเสียงอ่อย นางรู้ว่าเป่ยเฉินเทียนจุนไม่เคยไว้หน้าใครเที่ยงธรรมเป็นที่สุด นางถูกเขาไต่สวนด้วยตนเอง วันนี้คงไม่มีวิธีจบลงด้วยดีแล้ว ในห้วงเวลาสุดท้ายของชีวิตจึงออกแรงหันไปมองหยางหวา น้ำตาคลอหน่วยเอ่ยปนสะอื้น “ทว่า…ข้าน้อยไม่เสียใจภายหลัง วันเวลาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าปีแล้วปีเล่าไร้ความแปรเปลี่ยนใดๆ ไหนเลยจะเหมือนมนุษย์ปุถุชนที่ได้รักอย่างสุดจิตสุดใจสักครา ต่อให้สูญสิ้นพลังเซียนก็คุ้มค่า ข้าน้อยรู้ตัวว่าละเมิดกฎสวรรค์ ไม่มีถ้อยคำจะแก้ต่าง เต็มใจรับโทษทัณฑ์ แต่การได้เป็นสามีภรรยากับท่านพี่หยาง ตราบจนชั่วกาลข้าน้อยก็จะไม่เสียใจภายหลัง”
“ดี” บุรุษบนแท่นสูงผงกศีรษะนิดๆ ก่อนกล่าว “มีสติแจ่มใส มิใช่ถูกผู้อื่นเสี้ยมสอนล่อลวง ทั้งไม่มีความคิดจะกลับตัวกลับใจแม้แต่น้อย ตามกฎสวรรค์พึงเพิ่มโทษอีกหนึ่งขั้น”
หมู่ตานฟังคำวินิจฉัยแต่ละข้อ ใบหน้าก็เผือดขาวลงทีละส่วน สุดท้ายไม่เหลือสีเลือดแม้เศษเสี้ยว นางหมายจะคลานเข่าขึ้นหน้าไปวอนขอความเมตตา ทว่าสองมือของนางถูกมัดไพล่หลัง เพียงขยับตัวเล็กน้อยก็เสียหลักล้มอย่างอนาถบนอิฐหยกอันเย็นเฉียบแข็งแกร่ง หมู่ตานไม่สนใจแขนที่กระแทกเจ็บ เงยหน้ามองบุรุษเบื้องบนด้วยสายตาวิงวอน “เป่ยเฉินเทียนจุน ข้าน้อยรู้ตัวว่ากระทำผิดไม่อาจอภัย มิกล้าขอร้องให้เทียนจุนละเว้น เพียงขอร้องให้เทียนจุนเห็นแก่ที่ข้าน้อยรับใช้ราชสำนักสวรรค์มาพันปี ช่วงเวลาที่มวลบุปผาออกดอกไม่เคยล่าช้าแม้สักครั้ง ได้โปรดไว้ชีวิตท่านพี่หยางด้วยเถิด!”