บทที่ 3 เกิดใหม่
เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตรีคือทิวเขาสิบหลี่ ที่ทอดยาวสูงต่ำวกวนไม่ขาดตอน มันถูกปกคลุมด้วยป่าไม้แน่นขนัด ดุจดังสัตว์ร่างยักษ์ที่หมอบซุ่มอยู่ตัวหนึ่ง แฝงกายดูอันตราย
ในป่าเขาต่างจากในตัวเมือง พอตกค่ำก็ไร้สุ้มเสียง คงเหลือแต่ดวงไฟเป็นแต้มๆ ไม่กี่ดวงกระจายตัวที่เชิงเขาฟากหนึ่ง ตรงนั้นคือหมู่บ้านป่าดำ…หมู่บ้านหนึ่งเดียวที่ตั้งอยู่ทางฟากนี้ของทิวเขาสิบหลี่
นอกหมู่บ้านป่าดำถูกโอบล้อมด้วยผืนป่าที่มืดทึมจนไม่เห็นจุดสิ้นสุด ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่าหมู่บ้านป่าดำ ในหมู่บ้านมีคนอยู่ไม่มาก อาศัยการล่าสัตว์ยังชีพ เสบียงอาหารกับเสื้อผ้าสามารถพึ่งพาตนเอง หากมีสิ่งใดที่ทำออกมาเองไม่ได้จริงๆ อย่างเช่นน้ำมันตะเกียง ก็ได้แต่ไปซื้อหาในตัวตำบลที่ใกล้ที่สุด เข้าตำบลจะต้องตัดผ่านป่าดำซึ่งอันตรายยิ่งยวด ดังนั้นการจุดตะเกียงยามค่ำคืนจึงเป็นเรื่องที่แสนฟุ้งเฟ้ออย่างหนึ่งในหมู่บ้านนี้
มุมตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่บ้านป่าดำ บริเวณที่ชิดชายป่าที่สุดมีบ้านเล็กๆ อันโดดเดี่ยวตั้งอยู่หลังหนึ่ง ลานบ้านไม่ใหญ่นัก กำแพงลานก็ปุปะเสริมตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย มองออกว่าความเป็นอยู่ไม่ใช่ผู้มีอันจะกินแต่อย่างใด ยามนี้ห้องหลักของบ้านปิดหน้าต่างอยู่ ในห้องมืดมิดไม่มีสุ้มเสียงแม้แต่น้อย
คืนนี้ไร้จันทร์ น้ำมันในตะเกียงบนโต๊ะเหือดแห้งไปแต่แรก ในห้องยากจะมองเห็นวัตถุได้ หลี่เจาเกอนอนอยู่บนเตียง เรียวคิ้วย่นเข้าหากันแน่น ขนตาสั่นแรง จู่ๆ ร่างทั้งร่างของนางก็สะท้านเฮือก ลืมตาขึ้นโดยพลัน
หลี่เจาเกอหอบหายใจคำโต นางเบิกตาจ้องอยู่เป็นนานกว่าจะตระหนักได้ว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ นางลุกขึ้นช้าๆ ดวงตากวาดไปรอบทิศพลางลอบระแวดระวัง
นี่คือที่ใดกัน นางถูกผู้อื่นคุมขังแล้วหรือ
หลี่เจาเกอโคจรปราณแท้คุ้มกายโดยสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อโคจรนางก็ตระหนกจนตัวโยนและรีบโคจรรอบใหญ่ พบว่าทั่วกายไม่มีอาการบาดเจ็บ ทว่าปราณแท้กลับหายไป
ที่จริงไม่อาจกล่าวว่าหายไป กล่าวได้เพียงว่าอ่อนกำลังอย่างยิ่ง หลี่เจาเกอยื่นมือดู พบว่านิ้วมือของนางเรียวลง บนนั้นยังมีแผลถลอกเล็กน้อยจากการผ่าฟืน ไม่ใช่มือหลังได้รับการบำรุงอย่างดีทว่าก็ฆ่าคนไปนับไม่ถ้วนคู่นั้น หลี่เจาเกอรีบก้าวลงพื้น เสาะหาจนพบคันฉ่อง บนคันฉ่องสำริดขัดหยาบพร่ามัวบานนั้นนางมองเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยทว่าอ่อนเยาว์ดวงหนึ่ง
หลี่เจาเกอประหลาดใจ ลูบใบหน้าของตนเองอย่างไม่อาจเชื่อ ตอนนี้นางเหลียวมองรอบทิศอีกคราและค่อยๆ ระลึกได้ว่านี่คือหมู่บ้านป่าดำ คือสถานที่ที่นางอาศัยอยู่กับตาเฒ่าโจวก่อนจะได้ไปราชธานีตะวันออกคืนสู่ฐานะองค์หญิง
หลี่เจาเกอรู้สึกเหลือเชื่อ นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ก่อนตายนางทะลวงถึงขอบขั้นเลิศล้ำแล้วจึงรู้ชัดว่าหนึ่งกระบี่ของเผยจี้อันแทงทะลุหัวใจ ไม่มีทางที่นางจะรอดมาได้เป็นอันขาด ทว่าชั่วขณะนี้นางยืนอยู่บนพื้นอย่างจริงแท้ ร่างกายบางลง วงหน้าเรียวลง แม้แต่วรยุทธ์ก็ถอยกลับสู่เมื่อครั้งเยาว์วัย
มีคำอธิบายได้เพียงอย่างเดียว นั่นคือนางกลับมามีชีวิตอีกครั้งโดยไม่รู้สาเหตุ ทั้งได้เกิดใหม่ในวัยดรุณีน้อย ประมาณดูจากปราณแท้ในร่าง ตอนนี้นางน่าจะอายุเพียงสิบห้าสิบหก
หลี่เจาเกอยึดจับโต๊ะแล้วนั่งลงบนตั่งช้าๆ ตะลึงจ้องคนในคันฉ่อง คิดอย่างสะท้อนใจอยู่บ้าง…ที่แท้ก็อายุสิบหกเท่านั้น
ชาติก่อนตอนอายุสิบหก นางยังไม่รู้เลยว่าตนเองเป็นองค์หญิง นึกเพียงว่าตนเองเป็นเด็กบ้านป่า ฐานะไม่รู้แน่ บิดามารดาไม่รู้ชัด วิ่งกระโดกกระเดกอยู่ในป่าเขา วันทั้งวัน ‘ไปมาหาสู่’ กับสัตว์ป่าแมลงมีพิษในป่าดำ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองชื่อใด จำได้เพียงรางๆ ว่าตอนที่ยังเล็กมีคนเรียกข้างหูนางว่า ‘เจาเกอ’ นางก็นึกไปว่าคือ ‘เจาเกอ’*
ตาเฒ่าโจวไม่เคยเอ่ยถึงประวัติของนาง นางรู้ว่าตนเองไม่ใช่บุตรหลานของเขาจึงไม่เคยสอบถาม เมื่อตอนยังเล็กมีเด็กคนอื่นหัวเราะเยาะว่านางไม่มีบิดามารดา หลังจากถูกนางต่อยตีไปหนึ่งยกก็ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะนางอีก
นางเติบโตมาแบบหยาบกระด้างเหมือนเด็กชาย ตั้งแต่เล็กหาบน้ำผ่าฟืน ก่อไฟหุงหาอาหาร ถูกตาเฒ่าโจวเคี่ยวกรำจนหยาบกร้านเป็นพิเศษ แต่จะว่าไปก็แปลก นางไม่เคยได้ฝึกยุทธ์จริงจัง ทว่าตั้งแต่แปดขวบกลับมีฝีมือต่อยตีจนเด็กทั้งหมู่บ้านไม่กล้าตอบโต้ สิบขวบก็ติดตามผู้ใหญ่เข้าป่าล่าสัตว์ได้ สิบสองขวบเริ่มขึ้นเขาได้โดยลำพังแล้ว
ควรรู้ว่าแม้แต่ผู้ชำนาญการมือเก่าที่ล่าสัตว์มาสิบกว่าปีก็ยังไม่กล้าขึ้นทิวเขาสิบหลี่คนเดียว ทว่าหลี่เจาเกอกลับถูกตาเฒ่าโจวโยนขึ้นเขาไปตัดฟืนตั้งแต่อายุน้อยๆ ทีแรกสุดนางตกลงมาหน้าบวมจมูกเขียว ต่อมาจึงค่อยๆ เคยชินไปเอง