ทันทีที่คำสั่งตกรางวัลประกาศลงมา ผู้แจ้งเบาะแสก็แห่กันมาราวฝูงผึ้ง ทว่าสามปีผ่านไปยังคงไม่มีสักข้อมูลที่เป็นความจริง ผู้คนจึงค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องนี้ไป จวบจนตอนที่หลี่เจาเกอในวัยสิบเจ็ดลี้ภัยมายืนอยู่เบื้องหน้าประตูเมืองหรงโจวจึงได้เห็นภาพเหมือนของตนเอง
ครั้นนางเห็นอักษรคำว่า ‘หลี่เจาเกอ’ สามตัวบนนั้น ความทรงจำที่เก็บลึกจนฝุ่นจับก็พลันฟื้นฟูคืนมา นางนึกได้แล้วว่าตนเองไม่ใช่หญิงชนบทบ้านป่า ไม่ใช่ชาวมณฑลเจี้ยนหนาน ยิ่งไม่ได้เรียกว่า ‘เจาเกอ’ แบบที่ใช้เรียกเด็กชาย ชื่อของนางคือ ‘หลี่เจาเกอ’ แบบที่เขียนบนประกาศนี้ต่างหาก
การรับรู้นี้โจมตีจนนางเรียกสติคืนมาไม่ได้อยู่เป็นนาน นางนิ่งเงียบขบคิดอยู่สามวัน ในที่สุดก็ดึงประกาศของราชสำนักแผ่นนั้นลงมาแล้วไปย่ำกลองหน้าประตูที่ว่าการ
สามปีมานี้ที่ว่าการเจอคนแบบนางมานักต่อนักจึงชาชินแต่แรก เจ้าเมืองหรงโจวตอบรับเพียงปากเปล่า แท้จริงไม่ได้เก็บใส่ใจก็บอกให้นางออกไปได้ นางสู้รออยู่หนึ่งปีจนกระทั่งปีถัดมาเปลี่ยนตัวเจ้าเมือง เจ้าเมืองคนใหม่เกรงจะถูกเทียนโฮ่วเอาผิดในภายหลังจึงหยั่งเชิงส่งข่าวนี้ไปที่ราชธานีตะวันออกลั่วหยาง หลี่เจาเกอจึงได้เข้าสู่สายตาผู้ที่อยู่ในนครลั่วหยางเสียที
ชาติก่อนในรัชศกหย่งฮุยปีที่ยี่สิบสี่ หลี่เจาเกอวัยสิบแปดได้คนของเจ้าเมืองหรงโจวคุ้มกันมาถึงนครลั่วหยางและได้พบกับเทียนโฮ่วบุคคลผู้เป็นตำนานท่านนั้น เทียนโฮ่วหลั่งน้ำตาทันทีที่เห็นหลี่เจาเกอ จากนั้นหลี่เจาเกอก็ได้คืนฐานะพระธิดา ได้รับตำแหน่งองค์หญิงอันติ้ง กินอากรจากที่ศักดินาพันครัวเรือน และในปีนั้นนั่นเองที่นางได้พบเจอเผยจี้อันในงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของนาง
ตั้งแต่นั้นนางก็ชมชอบเขาราวถูกมารครอบงำจิตใจ เพียงเพื่อจะแย่งชิงเขามาจากหลี่ฉังเล่อ นางไม่ลังเลที่จะกลายเป็นเขี้ยวเล็บของราชสำนัก ลงมือขจัดผู้เห็นต่างแทนเทียนโฮ่ว เมื่อก่อนนางรู้สึกมาตลอดว่าตนเองธรรมดาสามัญ แม้ต่อยตีชนะเสมอ แต่ก็ไม่ได้มีสิ่งใดพิเศษ จวบจนไปถึงนครลั่วหยางนางจึงค่อยๆ ค้นพบว่าตนเองดูเหมือนแตกต่างกับคนทั่วไป
ที่แท้ผู้คนนอกหมู่บ้านป่าดำ…ล้วนมีฝีมือการต่อสู้ไม่เอาไหนยิ่ง
หลี่เจาเกอล้มองครักษ์ในวังหลวงได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ภูตผีปีศาจที่ก่อกวนราชสำนักมาช้านานก็ไม่คณามือนาง เคล็ดจิตที่ตาเฒ่าโจวทิ้งไว้ให้ยิ่งฝึกฝนยิ่งล้ำลึก ขณะเดียวกันนางก็เดินถลำไปบนเส้นทางการเมืองสายนี้ไกลขึ้นทุกที…
นามของหลี่เจาเกอผู้บัญชาการกองงานปราบปีศาจลือลั่นทันทีที่เปิดตัว
แรกสุดนางเพียงสังหารปีศาจที่ก่อกรรมทำเข็ญกับผีร้ายที่มาคร่าชีวิตคน ต่อมาค่อยเปลี่ยนเป็นสืบเรื่องไสยเวทมนตร์ดำ สืบว่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักมีติดต่อนักพรตคบหาแม่ชีหรือไม่ ต่อมาอีกกองงานปราบปีศาจจึงกลายเป็นแหล่งข้อหาสารพัดประโยชน์ เทียนโฮ่วต้องการให้ผู้ใดตาย หลี่เจาเกอก็ไป ‘ปลิดชีพปีศาจขจัดความชั่วร้าย’ ที่จวนของผู้นั้น
ราชธานีตะวันออกเป็นดินแดนแห่งพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน ภูตผีสัญจรยามราตรี มีปีศาจจำนวนไม่น้อยแฝงกายอยู่ที่นี่ ทว่าต่อให้ภูตผีปีศาจน่ากลัวสักเพียงใด มีหรือจะเทียบได้กับผีร้ายในใจคน
หลี่เจาเกอเดินไปสู่ทางตันทีละน้อยๆ จนชะตาไม่อนุญาตให้นางหันกลับได้อีก นางหมายจะปกป้องตนเองก็มิอาจไม่สังหารคนมากยิ่งขึ้น สุดท้ายแม้แต่ผู้เป็นมารดาก็ยังสังหารแล้วตั้งตนเป็นฮ่องเต้เสียเอง
น่าเสียดายนางเค้นเล่ห์มาเล่นงานผู้อื่น ในชั่วเวลาก่อนจะขึ้นครองราชย์นางกลับต้องตายใต้คมกระบี่เผยจี้อัน
หลี่เจาเกอพลันได้สติคืนมา นางพินิจดรุณีน้อยในคันฉ่องอย่างละเอียดอีกครา ดรุณีน้อยในคันฉ่องมีคิ้วเรียวดั่งใบหลิว นัยน์ตาโตดุจเมล็ดซิ่ง ริมฝีปากแดงตัดกับผิวพรรณสีหิมะ ในดวงตาคู่นั้นแสนกระจ่างแสนหมดจด ไร้ร่องรอยของมรสุมชีวิต นางคว่ำคันฉ่องลงก่อนจะยืนขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
เคยยลขุนเขาสูงจะสงบใจอยู่เนินเตี้ยได้เช่นไร ชาตินี้…แน่นอนว่านางยังคงต้องการหวนสู่ลั่วหยาง
เพียงแต่ไม่ต้องรอเจ้าเมืองหรงโจวจัดคนส่งนางไปแล้ว เดิมหลี่เจาเกอวัยสิบหกไม่รู้จักเส้นทางไปราชธานีตะวันออก ทว่าผู้บัญชาการกองงานปราบปีศาจในอดีตผู้นี้รู้จัก
ราชธานีตะวันออกลั่วหยาง…นางจะไปด้วยตนเอง ฐานะองค์หญิงที่สูญเสียไป…นางก็จะคว้าคืนมาเอง ราชบัลลังก์ที่ชาติก่อนคลาดเพียงแค่เอื้อม…นางก็จะขอช่วงชิงด้วยฝีมือตน
ส่วนเผยจี้อัน…ที่ใดเย็นสบายก็จงไสหัวเจ้าไปที่นั่นเสีย หลี่เจาเกอเพียงนึกถึงชาติก่อนก็ฉุนเฉียวจนหัวใจตีบ มีแผ่นดินอันงดงามอยู่ในมือแท้ๆ นางไม่เป็นฮ่องเต้ของนางไปให้ดีๆ มัวจมปลักกับบุรุษผู้หนึ่งให้ได้อะไร
หลี่เจาเกอไม่มีความสามารถอื่น เว้นก็แต่พูดได้ทำได้ นางลั่นวาจาแล้วว่าจะไม่ชมชอบเผยจี้อันอีกก็จะไม่เหลียวหลังไปแลเขาสักแวบเด็ดขาด
ชาตินี้…สายตานางจะเป็นของบ้านเมืองอันไพศาลเท่านั้น