หลังจากได้เผชิญผ่านชาติก่อน หลี่เจาเกอรู้ชัดกว่าใครว่าความปรารถนาดีนั้นมีค่าหายากเพียงใด นางจึงปรับสีหน้าให้นุ่มนวลขึ้น ผงกศีรษะยิ้มตอบ “ขอบใจมากนะ แต่ข้าเพิ่งกินอาหารไป กำลังจะเข้านอนแล้ว ข้าไม่รบกวนครอบครัวเจ้าฉลองพร้อมหน้าจะดีกว่า ฝากทักทายอาสะใภ้จ้าวแทนข้าด้วย”
นางปฏิเสธเสียแล้ว เสี่ยวหู่เปล่งเสียงดังอ๊ะหนึ่งหนคล้ายห่อเหี่ยวปนเสียดาย “ถ้าเจ้าอยู่คนเดียวแล้วกลัว ไปบ้านข้าได้ทุกเมื่อเลยนะ เกี๊ยวชามนี้เจ้าเก็บไว้ เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันไม่ต้องแบ่งเขาแบ่งเราชัดเจนเช่นนี้หรอก ข้าจะกลับไปก่อน เจ้ารีบเข้านอนเถอะ”
เสี่ยวหู่ยัดชามใส่มือหลี่เจาเกอโดยไม่เปิดโอกาสให้นางทักท้วง อันที่จริงแล้วหลี่เจาเกอสามารถหลบได้ ทว่าตอนสัมผัสถูกขอบชาม นางกลับยังคงไม่อาจหักใจผลักไส
ยากนักที่จะมีคนทำดีกับนาง ไว้ผ่านไปอีกไม่กี่ปีพวกเขาเอ่ยถึงนางอีกครั้งก็จะมีแต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ว เสี่ยวหู่เห็นหลี่เจาเกอรับไว้ ไม่รู้เพราะเหตุใดใบหน้าเขาจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง ต้องเอ่ยอย่างเร่งร้อน “ข้างนอกลมแรง เจ้ารีบกลับเข้าไปดีกว่า ข้าไปล่ะ!”
เสี่ยวหู่พูดพลางสาวเท้าจะวิ่งออกไป แต่หลี่เจาเกอกลับเอ่ยเรียกเขาไว้ “เสี่ยวหู่ พักก่อนข้าขึ้นเขาเห็นหน้าดินบางส่วนพลิกเปิด ละแวกนี้ไม่ปลอดภัยมาแต่ไหนแต่ไร ไม่แน่ว่าอีกสักพักมังกรดินอาจจะพลิกตัว เจ้าลองปรึกษาพ่อแม่เจ้า เลือกสักวันย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองเถอะ ในป่าเขาทำอะไรก็ไม่สะดวก ไม่สู้ไปทำมาหากินในเมือง เจ้ายังจะได้หาโอกาสเล่าเรียนด้วย”
เสี่ยวหู่คาดไม่ถึงว่าหลี่เจาเกอจะเรียกเขาไว้ เขาเกาท้ายทอยแกรกๆ มองนางอย่างขัดเขินก่อนเอ่ยปนยิ้ม “ตำรามีไว้ให้สุภาพชนเล่าเรียน ข้ามีเรี่ยวแรงล่าสัตว์ก็พอแล้ว จะเพ้อฝันในสิ่งที่คนตระกูลใหญ่เขาทำกันได้อย่างไร อีกอย่างเข้าเมืองจะต้องเดินทะลุใจกลางป่าดำ ไม่มีทางไปได้อยู่ดี”
ป่าดำคือผืนป่าที่โอบล้อมอยู่รอบนอกหมู่บ้าน ตลอดปีแสงตะวันส่องไม่ถึงพื้น ซ้ำต้นไม้ก็หนาทึบจนดูเป็นสีดำทะมึน แม้ในป่าเต็มไปด้วยพืชพันธุ์ แต่แท้ที่จริงกลับเป็นดินแดนอันกันดาร ปกคลุมด้วยอากาศชื้นที่ทำให้เจ็บป่วยได้ มีงูเงี้ยวเขี้ยวขอชุกชุมไม่พอ ที่ชวนสะพรึงยิ่งกว่าคือส่วนลึกของป่าทึบยังมีปีศาจอีก
ชาติก่อนหลี่เจาเกอเชื่อถือคำกล่าวเหล่านี้เช่นกัน แม้นางจะโค่นล้มสัตว์ร้ายได้อย่างสบาย แต่ก็ไม่กล้าเดินเข้าส่วนลึกของป่า คนในหมู่บ้านถูกคำลือโคมลอยนี้กักกั้นมาหลายปี หากมิใช่ปีหน้าเกิดแผ่นดินไหว หมู่บ้านป่าดำถูกทำลายจนจำต้องลี้ภัยตัดทะลุใจกลางป่าดำออกไป คนในหมู่บ้านจะถูกหลอกอีกนานเท่าใดก็ยังไม่รู้เลย
หลี่เจาเกอกล่าว “ในป่าดำไม่มีปีศาจหรอก แค่ภูตเล็กๆ ไม่กี่ตนเล่นลูกไม้ทำลึกลับ ขอเพียงมีคนมากก็ไม่ต้องหวั่นเกรงพวกมันเลยสักนิด”
เสี่ยวหู่ได้ยินถ้อยคำของนางก็หน้าย่นกว่าเดิม “เจาเกอ เจ้าไปฟังคำพูดพวกนี้มาจากที่ใด เจ้าจะอาศัยว่าตนเองเก่งวิชายุทธ์แล้วลำพองทะนงตนไม่ได้เชียว เจ้าคิดเช่นนี้จะทำให้ตนเองต้องเอาชีวิตไปทิ้งนะ”
เสี่ยวหู่นึกว่าหลี่เจาเกออวดฝีมือถือดีจึงเกลี้ยกล่อมด้วยถ้อยคำอันลึกซึ้งจริงใจ หมายให้นางกระทำการบนหลักความเป็นจริง อย่าได้คิดไกลเกินตัว หลี่เจาเกอจนใจ ชาติก่อนนางเคยเห็นเองกับตา ย่อมรู้ว่าเรื่องปีศาจในป่าดำเป็นคำลวงทั้งสิ้น มีแค่ภูตบุปผาปลายแถวไม่กี่ตนคอยแกล้งคนก็เท่านั้น เพียงแต่นางไม่อาจอธิบายให้เสี่ยวหู่ฟัง จึงได้แต่ยอมรับเงียบๆ ไม่โต้แย้งใดๆ อีก
เสี่ยวหู่เห็นหลี่เจาเกอไม่พูดจา นึกว่านางรับฟังแล้วจึงพรูลมหายใจยาวก่อนเอ่ยสำทับ “ต่อไปห้ามเจ้าพูดเหลวไหลเช่นนี้อีก มีคนเคยเห็นมากับตา ปีศาจในป่าดำน่ะน่าสะพรึงมากๆ เขมือบคนเป็นๆ ได้เลยนะ! เจ้าอย่าได้คิดจะบุกเดี่ยวเข้าป่าดำโดยเด็ดขาด!”
หลี่เจาเกอขานรับเบาๆ คำหนึ่ง ทั้งที่คิดในใจว่า…ข้าตั้งใจจะทำเช่นนี้อยู่พอดี เสี่ยวหู่กำชับกำชาจบ พบว่าไม่มีสิ่งอื่นใดจะพูดคุยได้แล้วจริงๆ จึงลังเลชั่วครู่ก่อนเปรยหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อนล่ะนะ”
หลี่เจาเกอพลันสอบถาม “ปีนี้คือปีอะไรหรือ”
เสี่ยวหู่งงงัน ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดนางจึงถามคำถามเช่นนี้ “ปีนี้คือรัชศกหย่งฮุยปีที่ยี่สิบสองอย่างไรล่ะ วันนี้ก็คือวันแรกของปีใหม่ เจาเกอ เจ้าเป็นอะไรไปกันแน่ เหตุใดวันนี้ดูแปลกๆ”
ตรงกับที่นางคาดเดาจริงเสียด้วย ปีนี้คือรัชศกหย่งฮุยปีที่ยี่สิบสอง นางอายุสิบหกปี ปีนี้เกาจงฮ่องเต้ยังไม่สวรรคต เทียนโฮ่วยังคงวางตัวเป็นฮองเฮาผู้ภูมิฐานเพียบพร้อมด้วยจรรยาของสตรี ไม่ได้เผยวี่แววที่จะก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้แต่อย่างใด กองงานปราบปีศาจยังไม่ได้จัดตั้งขึ้น องค์หญิงอันติ้งที่พลัดหายไปก็ยังไม่ได้กลับนครลั่วหยาง