ตัวประหลาดถูกหนึ่งเท้าเตะกระเด็น หลี่เจาเกออาศัยแรงสะท้อนดีดตัวไปแตะลำต้นไม้เบาๆ ก็พลิกร่างเหินขึ้นสู่ยอดไม้ “มันคือสุนัขตัวหนึ่ง ต้องก่อกวนการดมกลิ่นของมัน”
ไป๋เชียนเฮ่อยืนอยู่ด้านหลัง เขาสูดหายใจแรงๆ สองรอบค่อยตอบสนองได้ว่านางกำลังพูดอันใด เขาไม่รู้ว่าเหตุใดสตรีผู้นี้จึงจำแนกออกว่ามันเป็นสุนัข เช่นเดียวกับที่เขาไม่รู้ว่าเหตุใดนางหลบซ่อนบนต้นไม้แล้วไม่ถูกค้นพบ เขาไม่ได้ซักถามให้มากความ รีบควักแป้งหอมออกมาหนึ่งห่อ สำแดงพลังตัวเบาทะยานวนพลางสาดแป้งหอมลงในป่า
สุนัขตัวนี้ไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นภูตจากการบำเพ็ญเพียรปกติ แม้ขนาดรูปร่างกับพละกำลังจะเพิ่มพูนอย่างมาก ทว่ายังคงไว้ซึ่งสัญชาตญาณดั้งเดิมของสัตว์ ในความมืดมันมองไม่ชัดว่าเหยื่อทั้งสองซ่อนอยู่ที่ใด เมื่อจมูกถูกแป้งหอมรบกวน การดมกลิ่นที่มันใช้อาศัยหากินก็ใช้การไม่ได้อีก ภูตสุนัขดำจึงโกรธงุ่นง่านขึ้นทุกที ยอบตัวตะกุยพื้น เปล่งเสียงกรอดๆ ในลำคอ
ไป๋เชียนเฮ่อซ่อนกายบนต้นไม้ ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย จนตอนนี้หัวใจเขายังเต้นโครมครามไม่ยอมหยุด เนิ่นนานไม่อาจสงบลงเสียที ท่ามกลางความเงียบสงัดเขาสังเกตเห็นใบไม้ฝั่งตรงข้ามขยับไหว หัวเกาทัณฑ์ที่ทอประกายเยียบเย็นดอกหนึ่งโผล่ออกมา ก่อนพุ่งฉิวไปหาภูตสุนัขดำโดยพลัน
ฝีมือธนูของอีกฝ่ายแม่นยำยิ่งยวด เกาทัณฑ์เจาะผ่านกลุ่มขนดกยาวหนักอึ้งเข้าสู่หลังคอของภูตสุนัขดำโดยไม่คลาดเคลื่อน ภูตสุนัขดำแผดร้องลั่น พุ่งชนสะเปะสะปะอยู่ด้านล่าง หมายขับไล่เหยื่อที่ซ่อนตัวอยู่ให้ออกมา ทว่ามันอาละวาดได้ไม่นานนัก ฤทธิ์ของยาชาก็กำเริบ การเคลื่อนไหวของภูตสุนัขดำผ่อนช้าลง จากนั้นก็ทรุดลงกับพื้นดังโครม
ไม่ต้องให้หลี่เจาเกอบอก ไป๋เชียนเฮ่อก็รีบกระโดดลงมาจากต้นไม้ มุ่งหน้าเผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิต เขามีวิชาตัวเบาเยี่ยมยอด กระโจนร่างไม่กี่หนก็พ้นระยะการโจมตีของภูตสุนัขดำ ตอนนี้เขาค่อยพบว่าคนด้านหลังไม่ได้ติดตามมา เขาเหลียวกลับไปเห็นดรุณีน้อยชุดเขียวผู้นั้นยืนอยู่บนพื้น ในมือกุมกระบี่ นิ่งจ้องไปทางภูตสุนัขดำ
ไป๋เชียนเฮ่อวางใจไม่ลงจึงเอ่ยข้ามผืนป่าไปว่า “ขอบคุณแม่นางยิ่งนักที่ช่วยเหลือ แม่นางน้อย เจ้าตัวประหลาดนี่ไม่ใช่สัตว์ป่าทั่วไป พวกเรากำราบมันไม่ได้หรอก ฉวยตอนนี้มันไม่อาจขยับชั่วคราว รีบหนีกันดีกว่า”
หลี่เจาเกอกล่าวโดยไม่ได้หันหน้าไป “มีภูตสุนัขตัวใหญ่เช่นนี้ออกหากินอยู่ในป่า หากคนในหมู่บ้านผ่านมาเจอเข้าไม่อันตรายอย่างยิ่งหรือ เจ้าไปก่อนเถอะ ข้าจะสะสางเส้นทางตรงนี้สักหน่อย”
ไป๋เชียนเฮ่อตะลึงจนอ้าปากกว้าง สะสางสักหน่อย? แม่นางน้อยผู้นี้ดูอ่อนเยาว์ อย่างมากก็อายุสิบห้าสิบหกปี ไฉนวาจาคุยโตจนน่าตกใจเช่นนี้เล่า ไหนๆ ก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่บังเอิญมาเจอกัน ไป๋เชียนเฮ่อหวงแหนชีวิต จึงประสานมือคารวะก่อนเอ่ยทิ้งท้าย “แม่นางระวังตัวด้วย สู้ไม่ไหวจริงๆ ก็ให้หนี พี่ชายคนนี้ยังมีธุระอื่น ต้องขอตัวล่วงหน้าไปก่อน”
จบคำไป๋เชียนเฮ่อก็เผ่นแน่บไปไกลโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง กลัวแต่ว่าชักช้าไปจะถูกตัวประหลาดตามพัวพันเอาได้ หลี่เจาเกอไม่ได้ไยดีตีนแมวผู้นี้ นางกุมกระบี่ตวัดเบาๆ หนึ่งครา บรรจุปราณแท้ที่มีอยู่ไม่มากเข้าสู่ตัวกระบี่
เมื่อใดที่สัตว์บ้านหรือสัตว์ป่ากลายเป็นภูตผีปีศาจ เมื่อนั้นเส้นขน ผิวหนัง รวมถึงกระดูกเส้นเอ็นก็จะเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งจนฟันแทงไม่เข้า อาวุธทั่วไปฟาดฟันกระทบร่างล้วนไม่อาจทำร้ายพวกมันได้แม้แต่น้อย
มีแต่วิชาอาคมจึงจะพิชิตวิชาอาคมด้วยกันได้ จัดการกับภูตผีปีศาจด้วยวรยุทธ์ของคนธรรมดาย่อมไม่สำเร็จ ต้องใช้วิชาสำหรับกำราบภูตผีปีศาจ
หลี่เจาเกอเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดปราณแท้ของนางจึงกำราบภูตผีปีศาจได้ ทั้งยังร้ายกาจกว่านักพรตที่ฝึกตนมาหลายปีด้วยซ้ำ อันที่จริงนางสงสัยว่าสิ่งที่ตนเองฝึกฝนอยู่ไม่ใช่วรยุทธ์แต่อย่างใด ทว่าชาติก่อนจนถึงชาตินี้นางไม่เคยได้พบตาเฒ่าโจวอีก ข้อสงสัยนี้จึงไม่มีหนทางพิสูจน์ยืนยัน
เพียงแต่…สืบหาคำตอบเหล่านี้ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ใด หลี่เจาเกอจำได้แจ่มชัดว่าชาติก่อนไม่มีภูตสุนัขขนดำตนนี้เสียหน่อย ตอนนางกับคนในหมู่บ้านตัดทะลุป่าดำเจอแต่ภูตบุปผาปลายแถวสองตนที่เล่นเล่ห์ลับๆ ล่อๆ ภูตที่เลื่อนขั้นมาจากพืชล้วนมีฝีมืออ่อนด้อย ชาติก่อนแค่ชาวบ้านกำยำเรี่ยวแรงดีไม่กี่คนก็สยบภูตบุปผาลงได้ โดยรวมแล้วเส้นทางออกจากป่าต่อจากนั้นก็ไม่พบเจออันตรายอีก
เหตุใดชาตินี้จึงมีภูตสุนัขดำตัวโตเช่นนี้ได้เล่า หลี่เจาเกอขบไม่แตก ทว่าก็ไม่เป็นไรเอาเป็นว่ามีภูตผีปีศาจก็กำจัดทิ้งไปเสีย
ส่วนเจ้านักย่องเบาที่กลัวจนหนีหายไปผู้นั้น นางไม่ได้เก็บอยู่ในสายตาสักนิดเดียว แต่ไรมานางต่อยตีก็ไม่เคยต้องให้ผู้อื่นช่วยเหลือ ตั้งแต่แรกเริ่มนางไม่เคยคาดหวังเขาอยู่แล้ว