จุติรัก พลิกชะตาร้าย
ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6
หลี่เจาเกอถือกระบี่ตั้งตรง คมกระบี่ฉายประกายยะเยียบดุจน้ำแข็ง เดิมทีกระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่สามัญธรรมดา แต่เมื่อมีปราณแท้ของนางเข้าหนุนก็พลันเปลี่ยนเป็นเรืองรัศมีชวนเหน็บหนาว คมกริบชนิดเส้นผมเพียงปลิวกระทบก็ขาดท่อน
ภูตสุนัขดำฟื้นตัวจากฤทธิ์ยาชาระดับหนึ่งแล้ว มันจำได้ว่านี่ก็คือคนที่เตะมันเมื่อครู่นี้ มันยอบตัวลง หอบห้าวในลำคอ ตั้งท่าจะโจมตีอย่างเห็นได้ชัด ขาหลังของมันยันพื้นถีบตัวขึ้นในฉับพลัน ประหนึ่งภูเขาหนึ่งลูกโถมเข้าใส่หลี่เจาเกอ แทบจะพร้อมกับที่มันขยับตัว หลี่เจาเกอเองก็กระโดดขึ้นจากพื้น คมกระบี่กวาดตามแนวนอน ฟันเถาวัลย์ที่ลอบประชิดมาหานางขาดเป็นชิ้นๆ
จริงดังที่นางคิดไว้ นอกจากภูตสุนัขดำตนนี้ยังมีภูตตนอื่นแฝงตัวอยู่ในความมืด คาดว่าคงจะเป็นภูตบุปผาปลายแถวสองตนที่เคยพบในชาติก่อน
ภูตบุปผาสองตนนั้นน่าจะเป็นพวกเดียวกับภูตสุนัขดำ พวกมันสองตนรับหน้าที่พัวพันเหยื่อไว้ให้ภูตสุนัขดำโจมตี ชาติก่อนตอนที่ชาวหมู่บ้านป่าดำลี้ภัยผ่านทางนี้ ไม่รู้เหตุใดจึงเหลือแค่ภูตบุปผาสองตน พลังอาคมของพวกมันต่ำต้อยยิ่ง เมื่อขาดภูตสุนัขดำไปจึงไม่ได้เรื่องได้ราว ถูกชาวบ้านจับกุมได้อย่างสบายๆ
ชาติก่อนภูตสุนัขดำหายไปที่ใดกันแน่ หรือ…มันถูกผู้ใดสังหารไปก่อนแล้ว?
ในใจหลี่เจาเกอคิดไปต่างๆ นานา ทว่านางไม่ทันได้ขบคิดลงลึกก็หันมาจดจ่อกับการต่อสู้ก่อน ภูตบุปผาที่อยู่ด้านหลังสองตนตระหนักได้ว่าถูกหลี่เจาเกอค้นพบเสียแล้วจึงไม่มัวซุ่มซ่อนเก็บงำ เปลี่ยนจากลอบกัดเป็นโจมตีอย่างเปิดเผย หลี่เจาเกอใช้หนึ่งต้านสาม ซ้ำต้องคอยหลบหลีกภูตสุนัขดำที่ดุร้าย ในด้านจำนวนตกเป็นรองอย่างชัดเจน ถึงกระนั้นการลงมือของนางกลับไม่เหมือนถูกจำกัดเลยสักนิด
ครั้นหลี่เจาเกอบรรจุปราณแท้ขุมหนึ่งโจมตีกลับไปตามเส้นเถาวัลย์ ภูตบุปผาที่ใช้เถาวัลย์ขัดแข้งขัดขานางอย่างต่อเนื่องก็หยุดเคลื่อนไหวทันตา หลังจัดการเถาวัลย์ที่เกะกะมือเท้าได้แล้วนางก็ทุ่มสมาธิต่อสู้กับภูตสุนัขดำ การรับมือกับภูตขนยาวจำพวกนี้โจมตีด้วยไฟเห็นผลชะงัดที่สุด แต่นางเกรงว่าจะทำให้เกิดไฟไหม้ป่าจึงเลิกล้มที่จะเอาชัยด้วยปัญญา เปลี่ยนใจคิดว่าจะใช้กำลังตีมันให้ตาย ไหนๆ สำหรับนางแล้วต่างกันแค่เผด็จศึกในฉับพลันกับเผด็จศึกช้าลงหน่อยเท่านั้นเอง
ผิวหนังของภูตสุนัขดำถูกหลี่เจาเกอใช้ปราณกระบี่กรีดเปิดเป็นแผล ปรากฏเลือดออกทั้งซ้ายขวาข้างละสาย มันเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม แผดคำรามไม่หยุดพลางพุ่งตัวเข้าใส่นาง หลี่เจาเกองอตัวหลบพ้นการโถมโจมตี พร้อมกันนั้นก็กวาดเท้าผ่านใต้ร่างของภูตสุนัขดำ ใช้กระบี่ลากผ่านท้องของมันเป็นแผลยาวชุ่มเลือด นางนึกรังเกียจรังงอนตนเองอยู่ในใจไม่ได้หยุด…ไฉนพลังฝีมือของนางมีแค่เท่านี้เองเล่า ตอนนางอายุสิบหกมัวแต่ไปทำอะไรอยู่กันแน่
ส่วนท้องคือจุดเปราะบางที่สุดของสัตว์สี่เท้าส่วนใหญ่ ภูตสุนัขดำร้องเอ๋งอย่างเจ็บปวด ฟุบลงกับพื้นยากจะลุกขึ้นจู่โจมได้อีก หลี่เจาเกอหยุดอยู่ด้านหลังของมัน บิดข้อมือเล็กน้อยเพื่อสลัดเลือดบนตัวกระบี่ออกให้หมดจด จากนั้นก็ดีดร่างขึ้นจากพื้น สองมือกุมกระบี่ยาวเงื้อขึ้นสูง ทุ่มแรงโจมตีไปที่ส่วนคอของภูตสุนัขดำ
กระบวนท่านี้หมายเด็ดชีพจึงบรรจุพลังทั้งหมดเข้าสู่คมกระบี่โดยไม่ได้เก็บออมไว้อีก ทว่าขณะจะสัมผัสถูกเป้าหมาย ด้านข้างกลับพลันมีฝักกระบี่สีเงินยวงยื่นมาขวางการโจมตีของนางไว้อย่างแน่นหนา
อาวุธทั้งสองกระทบกันบังเกิดเสียงก้องกังวานปานโลหะกระแทกศิลา หลี่เจาเกอโจมตีหนนี้ด้วยพลังทั้งร่าง แรงปะทะมิใช่เบาๆ ทว่าฝักกระบี่อันนั้นกลับนิ่งสนิท นางตื่นตัวทันใด มองตามฝักกระบี่สีเงินนั้นขึ้นไปช้าๆ
ฝักกระบี่เรียวยาวงามประณีต ไม่รู้ทำด้วยโลหะชนิดใดจึงแผ่รัศมีอันเยือกเย็น ลวดลายเมฆมงคลกระหวัดอยู่บนฝักกระบี่ เวียนวนรอบล้อมอัญมณีสีฟ้าน้ำแข็งที่อยู่ใจกลาง ประหนึ่งสัญลักษณ์โบราณลี้ลับบางอย่าง มือยาวเรียวหนึ่งข้างกุมอยู่ข้างอัญมณีเม็ดนั้น อัญมณีดูเย็นเยียบ ทว่านิ้วมือของเขายังแลดูเย็นเยียบสูงค่ายิ่งกว่าอัญมณี
ถัดขึ้นไปอีกหลี่เจาเกอแลเห็นแขนเสื้อยาวสีขาว ชายแขนเสื้อเหลือบแสงวูบไหว เห็นคลับคล้ายเป็นลวดลายสีทองอ่อนรูปจยาเลี่ยง หวาเปี่ยว กับประกายดาว บุรุษที่สวมหน้ากากสีเงินเจ้าของฝักกระบี่ก็กำลังพินิจมองหลี่เจาเกออยู่เช่นกัน
ใบหน้าหลี่เจาเกอไร้ความรู้สึกทั้งที่ในใจตึงเครียดยิ่งยวด…บุรุษผู้นี้มาตั้งแต่เมื่อใดกัน ไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางไม่ทันรู้ตัวเลยสักนิด เมื่อครู่การโจมตีสุดกำลังของนางเขาเพียงยื่นฝักกระบี่มาก็รับไว้ได้แล้ว พลังฝีมือของเขาจะต้องเหนือชั้นกว่านางลิบลับ
หลี่เจาเกอไม่ได้รั้งกระบี่กลับคืน ยังคงประสานสายตากับอีกฝ่ายอย่างเย็นชาอยู่เช่นนั้นพลางถาม “เหตุใดท่านต้องขัดขวางข้าสังหารภูต”
“ไม่มีผู้ใดขัดขวางเจ้าสังหารภูต” ฉินเค่อไม่ได้ใส่ใจมือของนางที่กุมกระชับบนด้ามกระบี่ เขารั้งฝักกระบี่ประจำกายกลับคืนอย่างผ่อนคลายยิ่ง หันร่างมองไปทางภูตสุนัขดำ แต้มแสงสีเงินกำจายออกมาจากใจกลางฝ่ามือของเขา ไหลเข้าสู่ปากของภูตสุนัขดำช้าๆ ภูตสุนัขดำราวถูกพลังบางอย่างบีบเค้นลำคอไว้ก็ไม่ปาน ส่งผลให้ร่างของมันถูกยกลอยขึ้น ปากอ้ากว้างโดยไม่อาจควบคุม ขาทั้งสี่ได้แต่ดิ้นรนอย่างป่วยการ ไม่ช้าลูกกลอนสีขาวนวลสุกใสลูกหนึ่งก็ลอยออกมาจากลำคอของมัน เคลื่อนลงสู่ฝ่ามือของเขาอย่างมั่นคง ขณะเดียวกันร่างของภูตสุนัขดำก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นสุนัขดำธรรมดาตัวหนึ่งตกลงบนพื้นทันที
ตั้งแต่ครู่ก่อนหลี่เจาเกอก็รู้สึกว่าภูตสุนัขตนนี้ดูชอบกล มีผิวแกร่งกับพลังแก่กล้าเสียเปล่า กลับไม่มีระดับสติปัญญาที่สอดคล้องกัน ที่แท้มันไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นภูตจากการบำเพ็ญเพียรปกติ หากแต่ถูกลูกกลอนเซียนช่วยเร่งนี่เอง
ฉินเค่อเก็บลูกกลอนปราณฟ้าดินก่อนกล่าวกับหลี่เจาเกอ “เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าสังหารมันได้แล้ว”
สังหารภูตเขาไม่ยุ่งเกี่ยว ทว่าลูกกลอนปราณฟ้าดินเป็นสมบัติของราชสำนักสวรรค์จะถูกทำลายไปมิได้
หลี่เจาเกอมองสุนัขดำที่นอนลมหายใจรวยรินอยู่บนพื้นตัวนั้น ไหนเลยยังมีความคิดจะลงมือต่อ นางพลิกมือสอดกระบี่ยาวคืนฝัก ครั้นเห็นบุรุษตรงหน้าทำท่าจะจากไปแล้ว นางก็รีบไล่ตามไปถาม “ท่านเป็นผู้ใดกัน”
ฉินเค่อไม่ตอบ หลี่เจาเกอก็เดินตามไประยะหนึ่งก่อนถามอีกครา “เมื่อก่อนท่านเคยมาแถวนี้ใช่หรือไม่ ตอนนั้น…พวกข้ายังพำนักอยู่ที่ผิงซาน”