บทที่ 6 ภูเขาผิงซาน
ในเมื่อฉินเค่อรับปากเซียวหลิงไปแล้วก็จะทำตามที่ตกลงไว้แน่นอน ภายหลังออกจากวังซานชิง เขาจึงไม่ได้กลับวังอวี้ซวีแต่ตรงลงมายังแดนมนุษย์เลย
ก่อนจะไปสกุลเผย เขาต้องแก้ปัญหาตกค้างของเซียนหมู่ตานเสียก่อน เซียนหมู่ตานเคยเป็นหัวหน้าแห่งร้อยบุปผา รับหน้าที่เก็บรักษาสมบัติที่เกี่ยวข้องกับมวลบุปผชาติ ลูกกลอนปราณฟ้าดินก็เป็นหนึ่งในนั้น
เมื่อสิบสี่วันที่แล้วของแดนสวรรค์ ฉินเค่อลงมาแดนมนุษย์ด้วยตนเองเพื่อจับกุมเซียนหมู่ตานไปปิดคดี แต่นึกไม่ถึงว่านางพกลูกกลอนปราณฟ้าดินติดตัวลงมาด้วย ครั้นนางถูกจับกลับขึ้นไปถึงราชสำนักสวรรค์ ทหารสวรรค์ตรวจนับสมบัติในความดูแลของนางค่อยพบว่าลูกกลอนปราณฟ้าดินหายไปไม่รู้ร่องรอย
ลูกกลอนปราณฟ้าดินสามารถบำรุงปราณ รักษาฐานรากเพิ่มพูนพลังวัตร เป็นโอสถทิพย์อันดับหนึ่งที่เหล่าเซียนจะใช้เลื่อนขั้นพลัง จริงอยู่นี่ไม่อาจนับเป็นของวิเศษสำคัญอันใดนัก แต่ถึงอย่างไรก็เคยลงบันทึกไว้ในสมุดรายนามของวิเศษประจำราชสำนักสวรรค์ สะเพร่าทำหายไปจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เดิมทีฉินเค่อตั้งใจจะส่งทหารสวรรค์ลงไปค้นหาลูกกลอนปราณฟ้าดิน ทว่าต่อมาได้สนทนากับเซียวหลิงเรื่องช่วยสนับสนุนเทพดาราทันหลางเผชิญด่านเคราะห์ ฉินเค่อจึงไม่ได้ส่งผู้ใต้บังคับบัญชาลงไป เปลี่ยนใจจะไปด้วยตนเอง คิดว่าระหว่างทางไปสกุลเผยจะแวะไปเสาะหาลูกกลอนปราณฟ้าดินกลับคืนมา
เมื่อก่อนเซียนหมู่ตานกับหยางหวาใช้ชีวิตสันโดษที่ภูเขาผิงซาน ในเขตบ้านปลูกเรือนไม้ไว้สามหลัง หน้าเรือนมีคันนา หลังเรือนมีสระน้ำ นอกจากสองคนสามีภรรยาก็ยังเลี้ยงสุนัขดำกับพุ่มดอกไม้ป่า ใช้ชีวิตผ่อนคลายมีเสรี น่าเสียดายทุกสิ่งอันดีงามสะดุดหยุดลงเมื่อทหารสวรรค์มาถึง ฉินเค่อรู้ว่าเซียนหมู่ตานละเมิดกฎสวรรค์จึงลงมาแดนมนุษย์จับกุมนางกับหยางหวากลับไปขังคุกสวรรค์ด้วยตนเอง
หนึ่งวันในแดนสวรรค์เท่ากับหนึ่งปีในแดนมนุษย์ เหตุการณ์นับแต่จับกุมจนกระทั่งไต่สวนตัดสินเกิดขึ้นเพียงสิบสี่วัน ทว่าแดนมนุษย์ได้ผ่านพ้นไปสิบสี่ปีเต็มๆ หนนี้ฉินเค่อก็ลงมาภูเขาผิงซานเป็นที่แรก บัดนี้เรือนน้อยอันอบอุ่นในวันวานทรุดโทรมนานแล้ว เขากวาดตามองที่พักของอดีตเซียนหมู่ตานรอบหนึ่ง แต่ไม่ค้นพบร่องรอยของลูกกลอนปราณฟ้าดินแต่อย่างใด
ฉินเค่อยืนอยู่ในแปลงดอกไม้หน้าเรือนชั่วครู่ก็สัมผัสถึงกลิ่นอายบริสุทธิ์ของลูกกลอนเซียนได้บางเบากับกลิ่นอายของภูตอีกเล็กน้อย
ถึงอย่างไรเซียนหมู่ตานก็เป็นหัวหน้าแห่งร้อยบุปผา มีนางคอยรดน้ำดูแลทุกวัน ไม่ช้าบุปผชาติย่อมบังเกิดสติปัญญาจนเลื่อนขั้นเป็นภูต ฉินเค่อสังเกตพบว่าสุนัขดำในลานตัวนั้นหายไปเช่นกัน คาดว่าลูกกลอนปราณฟ้าดินคงถูกภูตเล็กๆ เหล่านี้เอาไป
ภูตรวมไปถึงปีศาจระดับต่ำไม่อาจสลายลูกกลอนเซียนได้ ฉินเค่อจึงไม่กลัวว่าพวกมันจะทำอันใดกับลูกกลอนเซียน เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ต้องอ้อมเส้นทาง เพิ่มความวุ่นวายแก่เขาอยู่บ้าง
ฉินเค่อตามกลิ่นอายของลูกกลอนเซียน มุ่งสู่ส่วนลึกของทิวเขาไปตลอดทาง สำหรับฉินเค่อแล้วสัตว์ร้ายกับภูตในทิวเขาไม่ต่างกับไร้ตัวตน ต่อให้เขาสะกดพลังวัตรเหลือเพียงหนึ่งในสิบส่วนก็มิใช่ผู้ที่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ บนแดนมนุษย์จะท้าทายได้
ฉินเค่อเสาะพบลูกกลอนปราณฟ้าดินในไม่ช้า ทว่านอกจากภูตสุนัขดำตนนั้นกลับยังมีสตรีอยู่อีกผู้หนึ่ง
บังเอิญแท้ เป็นคนรู้จักพอดี
ประเดี๋ยวฉินเค่อยังต้องไปทำภารกิจที่สกุลเผย เขาลงมาแดนมนุษย์หนนี้ก็เพื่อจะช่วยสนับสนุนเผยจี้อันเผชิญด่านเคราะห์ รวมถึงคุ้มครองเผยจี้อันไม่ให้ถูกเงื้อมมืออำมหิตของหลี่เจาเกอทำร้าย ด้วยฐานะที่เขาจะสวมใช้บนแดนมนุษย์ย่อมเลี่ยงไม่พ้นต้องพบปะหลี่เจาเกอในวันหน้า หากเขาถูกจำได้ตั้งแต่ที่นี่ เกรงว่าจะยุ่งยากไม่น้อย
เขาจึงได้แต่เสกหน้ากากให้ตนเองอันหนึ่งก่อนจะสกัดหลี่เจาเกอไม่ให้โจมตีภูตสุนัขดำ สตรีนางนี้ช่างมีไอสังหารรุนแรงเสียจริง
เดิมนางจะปลิดชีพภูตที่เป็นภัยต่อมนุษย์ ฉินเค่อไม่มีความเห็นแย้งใดๆ ทว่าหากหนึ่งกระบี่นั้นของนางฟันลงไปทำให้ลูกกลอนปราณฟ้าดินย่อยยับก็จะเป็นความเสียหายของแดนสวรรค์
ดังนั้นฉินเค่อจึงขวางหลี่เจาเกอไว้ ตั้งใจว่าริบลูกกลอนปราณฟ้าดินเสร็จก็จะจากไป แต่ไรมาเขาไม่เคยยุ่มย่ามธุระกงการของผู้อื่น หลี่เจาเกอจะกำจัดภูตเป็นเรื่องของนาง เขาจะริบลูกกลอนเซียนกลับคืนเป็นเรื่องของราชสำนักสวรรค์ รอจนเขาริบของกลับมาเรียบร้อย นางพอใจจะลงมือกับมันเช่นไรก็สุดแต่ใจนาง
เขาไม่คาดคิดเลยว่าหลี่เจาเกอที่เมื่อครู่ท่าทางยังดุดันกลับไม่เอาชีวิตภูตแล้ว แต่มุ่งมั่นตามหลังเขามา สลัดอย่างไรก็สลัดไม่หลุด เขาตระหนักได้ว่านางไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ ดูจากท่าร่างของนางเห็นได้ชัดว่าต้องเคยฝึกวิชาเซียนมา