ฉินเค่อคิดในใจว่ามิน่าเล่าเห็นทีชาติก่อนเทพดาราทันหลางถูกเล่นงานจนย่ำแย่ปานนั้นมิอาจโทษเสียทั้งหมดว่าเทพดาราทันหลางไม่ได้ความ เพียงแต่นางเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง…ไฉนเคยร่ำเรียนวิชาเซียนได้เล่า
ในใจฉินเค่อผุดข้อสันนิษฐานรางๆ แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่จากไปในทันที ทั้งยังเอ่ยถามประโยคหนึ่งอย่างหาได้ยาก “เจ้าตามข้ามาด้วยเหตุใดกัน”
“ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย” แต่เล็กหลี่เจาเกอถูกตาเฒ่าโจวโยนเข้าไปฝึกฝนในป่าดงเขาลึก ขณะนี้แม้ไล่ตามอย่างกินแรงแต่ก็ใช่ว่าไม่อาจตามทัน นางซักไซ้ต่ออย่างไม่ลดละ “รัชศกหย่งฮุยปีที่สิบแปด ที่ภูเขาผิงซาน…ท่านเคยปรากฏตัวใช่หรือไม่”
ฉินเค่อลองคำนวณเป็นเวลาในแดนมนุษย์…หลังจบชาติภพเดิม เวลาถูกย้อนสิบปีมาเริ่มใหม่ตอนนี้ที่รัชศกหย่งฮุยปีที่ยี่สิบสอง รัชศกหย่งฮุยปีที่สิบแปดคือสี่ปีก่อน นับรวมเวลาสิบสี่ปีก็จะเท่ากับสิบสี่วันก่อนในแดนสวรรค์ ตอนนั้นเขานำนายทัพพลทหารสวรรค์ลงมาจับกุมเซียนหมู่ตาน หากหลี่เจาเกอพำนักอยู่ที่ภูเขาผิงซาน นางจะพบเห็นเขาโดยบังเอิญก็เป็นไปได้อยู่
ฉินเค่อแม้อุปนิสัยเฉยชา ทว่าจะไม่ปฏิเสธข้อเท็จจริง จึงผงกศีรษะรับ “เป็นข้าเอง”
หลี่เจาเกอเบิกตาโตด้วยความตื่นตะลึง…เป็นเขาจริงๆ ด้วย!
รัชศกหย่งฮุยปีที่สิบแปด หลี่เจาเกอในวัยสิบสองยังไม่รู้เดียงสาและไม่ช่างใส่ใจ จึงไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าบุรุษสตรีมีอันใดแตกต่าง วันนั้นนางถูกตาเฒ่าโจวทิ้งให้ตัดฟืนอยู่บนเขา จู่ๆ สัมผัสได้ว่ามีไอหนาวซัดเข้ามาในป่า นางจึงกระโดดขึ้นไปดูบนยอดไม้ พบว่าเนินเขาฝั่งตรงข้ามมีคนผู้หนึ่งประดุจเซียนวิเศษในอาภรณ์ล้อลม รูปกายดั่งหยก ผิวผ่องปานน้ำแข็งยืนอยู่บนชั้นเมฆ ข้างใต้ของชั้นเมฆเห็นได้รางๆ ว่ายังมีเงาผู้อื่นถือกระบี่สวมเกราะขาวเคลื่อนตัวขึ้นๆ ลงๆ
การแลมองปราดเดียวนั้นจู่โจมจิตใจหลี่เจาเกอรุนแรงยิ่งยวด ครั้นเมฆหมอกพลิกม้วน ทุกสิ่งก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งเมื่อครู่เป็นเพียงภาพมายากลางขุนเขา แม้แต่หลี่เจาเกอเองก็ไม่รู้ว่าภาพที่นางเห็นเป็นความจริงหรือเป็นเพียงภาพมายา
นางไม่อาจเห็นรูปโฉมของผู้ที่ยืนบนชั้นเมฆได้ถนัดชัดเจน ทว่าสง่าราศีอันสูงศักดิ์น่ายำเกรงเคร่งขรึมดั่งองค์พระนั้นได้เวียนวนติดตรึงหัวใจนางนับตั้งแต่นั้น ดูเหมือนเริ่มตั้งแต่วันนั้นเองที่หลี่เจาเกอพลันรู้สึกได้ว่านางต่างกับพวกเด็กชายในหมู่บ้าน รวมถึงต่างกับตาเฒ่าโจว
นางเพิ่งตระหนักได้เป็นครั้งแรกว่านางคือเด็กหญิงผู้หนึ่ง
ก็เพราะการแลมองปราดเดียวนี้ จิตใต้สำนึกของหลี่เจาเกอจึงเอนเอียงชื่นชอบผู้ที่มีรูปโฉมราศีดุจเทพเซียนเรื่อยมา แม้แต่ตอนเลือกคู่ครองก็ยากจะเลี่ยงได้ การที่นางเห็นเผยจี้อันต้องตาแต่แรกพบ ตลอดแปดปีนับจากนั้นชมชอบเขาราวต้องคุณไสยก็เกี่ยวเนื่องแน่นแฟ้นกับเหตุการณ์วัยสิบสองที่ได้ยลยอดบุรุษหนึ่งแวบนั้น
ภายหลังหลี่เจาเกอได้เกิดใหม่ เดิมทีตั้งใจจะละวางความยึดมั่นถือมั่นนี้แล้ว นึกไม่ถึงเลยกลับได้มาพานพบบุรุษในชาติก่อนผู้นั้นที่นี่
ในใจหลี่เจาเกอสะทกสะท้อนไม่สิ้นสุด หากว่าชาติก่อนนางได้พบเขาเช่นนี้อีกครา นางมีหรือจะยังอาวรณ์ไม่ยอมลืมเลือนเผยจี้อัน ทว่าหลี่เจาเกอตรองดูอีกที ชาติก่อนนางในวัยสิบหกไม่มีฝีมือจะตะลุยผ่านใจกลางป่าดำโดยลำพังเสียหน่อย ต่อให้เขาปรากฏตัวที่นี่เช่นเดียวกันนี้ นางก็ไม่มีวาสนาจะได้พบพาน
เห็นทีว่าทุกสิ่งล้วนอยู่ใต้อำนาจของเหตุต้นผลกรรม
หลี่เจาเกอคิดตกแล้วก็ไม่ยึดติดกับเรื่องไม่ดีในชาติก่อนอีก เนื่องจากชาติก่อนเขาคือแสงจันทร์ขาวผู้ตรึงใจนางแม้ปรากฏกายเพียงแวบ ขณะนางเอ่ยวาจาจึงเกรงอกเกรงใจเขามากขึ้นโดยไม่รู้ตัว “วันนั้นท่านหายไปไวยิ่งนัก ข้านึกว่าตนเองฝันไปหรือเกิดภาพมายาขึ้นเสียอีก ข้าไม่ได้จำผิดจริงๆ เสียด้วย ตาเฒ่าที่น่าตายนั่นหลอกข้าอีกแล้ว”
ฉินเค่อถามหน้านิ่ง “ในเมื่อเจ้าพำนักอยู่ภูเขาผิงซาน เหตุใดตอนนี้มาอยู่ที่นี่เล่า”
“อ๋อ เพราะพวกข้าย้ายบ้านน่ะสิ” หลี่เจาเกอนึกถึงเรื่องในวัยสิบสอง น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลโดยไม่ได้จงใจ “วันนั้นข้ากลับบ้านไปอย่างตื่นเต้น บอกตาเฒ่าโจวว่าข้าน่าจะได้เจอเซียนวิเศษเข้าแล้ว ตาเฒ่าโจวกลับหาว่าสมองข้ามีปัญหาจนเกิดภาพมายา นอกจากจะห้ามไม่ให้ข้าคิดต่อไป ยังพาข้าย้ายบ้านในคืนนั้นเลย”
โจว? หางคิ้วของฉินเค่อภายใต้หน้ากากขยับเบาๆ เขานิ่งมองหลี่เจาเกอก่อนถามเสียงเยือกเย็น “ผู้ที่เลี้ยงดูเจ้ามา…แซ่โจว?”
ต่อให้หลี่เจาเกอมีความรู้สึกที่ดีต่อแสงจันทร์ขาวในชาติก่อนก็ไม่ถึงขั้นสิ้นความระวังตื่นตัว แววตาของนางค่อยๆ แหลมคมขึ้น มองประเมินฉินเค่อก่อนย้อนถาม “ท่านถามเรื่องนี้เพื่ออันใด”
ผิดจากที่หลี่เจาเกอคาดไว้ อีกฝ่ายไม่ได้ซักถามต่อ ซ้ำหัวเราะเบาๆ “ไม่มีอันใดหรอก”
หลี่เจาเกอไม่ยอมเอ่ยตอบ ทว่าฉินเค่อกลับได้รับคำตอบแล้ว มิน่าเล่า…ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
เป็นโจวฉางเกิงนี่เอง ไม่แปลกเลยที่ทั่วแดนสวรรค์กางแหฟ้าตาข่ายดิน มาตั้งหลายปีล้วนเสาะไม่พบเขา ที่แท้เขาก็ลงมาซ่อนตัวในแดนมนุษย์ อันที่จริงฉินเค่อควรจะคิดออกเร็วกว่านี้ โจวฉางเกิงเป็นคนในยุทธภพที่บำเพ็ญสำเร็จ พูดให้ชวนฟังหน่อยคือยังมีอุปนิสัยผ่าเผยแบบชาวยุทธ์ พูดอย่างไม่ชวนฟังนั่นเรียกว่าประพฤติเยี่ยงโจร รำคาญกฎสวรรค์ที่ผูกมัดก็แอบหนีกลับแดนมนุษย์เสียเลย ความจริงฉินเค่อควรจะเดาได้นานแล้ว