ฉินเค่อเตือนนางเสียงเย็น “ระวังคำพูดด้วย ในใต้หล้านี้เอ่ยคำว่า ‘จะเป็นฮ่องเต้’ ต้องรับโทษตัดศีรษะ”
หลี่เจาเกอกำลังจมอยู่ในห้วงอารมณ์ ครั้นได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ อารมณ์ของนางก็ถูกขัดจังหวะทันตา ในใจรู้สึกอับจนถ้อยคำไม่น้อย นางไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้มีรูปโฉมเช่นไร ทว่าดูจากรูปร่างกับนิ้วมือของเขาแล้วไม่ต้องสงสัยเลยว่าชวนมองยิ่งยวด คนที่ดีงามผู้หนึ่งไฉนพูดจาน่าเบื่อเช่นนี้เล่า
นางนึกว่าตนเองเป็นคนน่าเบื่อมากแล้ว ไม่นึกเลยว่าในใต้หล้าจะยังมีคนสนทนาไม่เป็นยิ่งกว่านางอยู่อีก
หลี่เจาเกอกล่าว “ข้าเพียงแต่ยกตัวอย่าง อยากค้นหาคำตอบว่าทำเช่นไรจึงจะเป็นทั้งบุตรสาวที่ดีและภรรยาที่ดี จากนั้นยังเป็นขุนนางที่ดีผู้หนึ่งได้…ช่างเถิด ภรรยาที่ดีกับขุนนางที่ดีเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน ขอเพียงเส้นทางราชการราบรื่น รุดหน้าก้าวกระโดด ยังจะต้องการชีวิตคู่ไปทำอันใด ความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดในชีวิตข้าก็คือหลงชมชอบบุรุษผู้หนึ่ง ซ้ำแต่งงานเป็นสามีภรรยากับเขา ทำร้ายทั้งตนเองและผู้อื่น สุดท้ายไม่ได้ตายดีจริงๆ เสียด้วย”
ฉินเค่อเอ่ยแก้นางอีกหน “เส้นทางราชการของเจ้าล้มเหลวเป็นเพราะประเมินความสามารถของตนเองผิดพลาด เกี่ยวอันใดกับสามีเล่า”
หลี่เจาเกอไม่ติดใจที่ฉินเค่อวิจารณ์นาง ทว่าที่เขาพูดจาแทนเผยจี้อันนั่นยอมรับไม่ได้ นางแค่นหัวเราะก่อนยกคิ้วกล่าว “ไม่เกี่ยวแล้วอย่างไร ข้าก็เห็นเขาขัดลูกนัยน์ตาอยู่ดี ก่อนหน้านี้เขาแทงข้าหนึ่งกระบี่ ข้าสนองคืนเขาหนึ่งฝ่ามือ นับว่าเสมอกัน แต่เรื่องที่เขาพาสตรีอื่นร่วมเตียง จงใจทำให้ข้าสะอิดสะเอียน ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเขาเลย ข้าผิดต่อเขาที่ตรงที่ใด เขาถือสิทธิ์อะไรทำเช่นนี้กับข้า”
ฉินเค่ออดไม่ได้ต้องย้อนนึกถึงภาพที่ได้เห็นจากคันฉ่องของเซียวหลิงก่อนหน้านี้ ดูเหมือนหลี่เจาเกอได้สังหารท่านตา ท่านลุง น้องสาวพร้อมเด็กที่ยังอยู่ในครรภ์ รวมถึงสตรีในดวงใจของเผยจี้อัน อีกทั้งมีส่วนโดยอ้อมทำให้ญาติผู้น้องสกุลเผย ญาติผู้พี่สกุลจ่างซุน กับท่านย่าของเผยจี้อันเสียชีวิต เผยจี้อันเคียดแค้นนาง โดยรวมก็เป็นสิ่งที่ปกติยิ่ง ทว่าต้องแยกกันเป็นเรื่องๆ เผยจี้อันจะเอาคืนหลี่เจาเกอก็ได้ แต่ไม่อาจมีสัมพันธ์กับสตรีอื่นขณะยังไม่หย่าขาดจากภรรยา ฉินเค่อหมายจะเลียบเคียงความคิดของคู่ต่อสู้จึงถามว่า “เช่นนั้นต่อไปเจ้าตั้งใจจะทำอย่างไรหรือ”
“หนึ่งกระบี่สะบั้นสัมพันธ์ นับแต่นี้เป็นศัตรูทางการเมือง” หลี่เจาเกอกล่าวอย่างเย็นชา “เขาพอใจจะไปหาสตรีนางใดก็เชิญ ส่วนข้าชีวิตนี้ไม่คิดจะแต่งงาน ข้ากับเขาจบสิ้นกันไปแล้ว”
ฟังจบแน่นอนว่าฉินเค่อโล่งใจ นางยินยอมวางมือย่อมดีเป็นที่สุด ขอเพียงนางไม่ดึงดันจะช่วงชิงเผยจี้อันอีก เงื่อนตายนี้ก็คลายออกครึ่งหนึ่งแล้ว ฉินเค่อเองย่อมบรรลุภารกิจกลับแดนสวรรค์ได้เร็วขึ้น ราชสำนักสวรรค์ยังมีคดีอีกมากรออยู่ เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่แดนมนุษย์นานนัก
เรือนผมสีน้ำหมึกของฉินเค่อดุจธารน้ำตก แขนเสื้อยาวโบกสะบัดตามลมดังพึ่บพั่บดั่งเซียนวิเศษกำลังจะเหินปะทะลม เขาผินหน้ามาเล็กน้อยเอ่ยกับหลี่เจาเกอว่า “ร้อยปีให้หลังโฉมงามล้วนแปรเป็นซากกระดูก อารมณ์รักเป็นเพียงมายา เจ้าละวางความยึดมั่นถือมั่นได้ในเร็ววันจะเป็นผลดีต่อทั้งตัวเจ้าและผู้อื่น”
หลี่เจาเกอเลิกคิ้ว เสียงพูดของคนผู้นี้ยังหนุ่มมากแท้ๆ ไฉนน้ำเสียงถึงเฉยเมยเพียงนี้ ไม่คล้ายคนหนุ่มในวัยนี้เลย กลับคล้ายบรรพชิตผู้มองทะลุทางโลกเสียมากกว่า
หลี่เจาเกอคลี่ยิ้ม จงใจถามหยั่งเชิง “เหตุใดท่านพูดว่าร้อยปีให้หลังล้วนแปรเป็นซากกระดูก หรือ…ท่านมีชีวิตเกินร้อยปีแล้ว?”
ฉินเค่อไม่ได้ตอบอีก เขาได้รับข้อมูลที่ต้องการ ไม่จำเป็นต้องละเล่นเป็นเพื่อนหลี่เจาเกอต่อ รอบกายเขาบังเกิดกระแสลมอันบริสุทธิ์พัดม้วน พาให้เรือนผมยาวของเขาร่ายรำไปทั่วทิศ พรางหน้ากากจนเผยเพียงรำไรท่ามกลางเรือนผมดำขลับ หลี่เจาเกอตระหนักได้ว่าเขากำลังจะหายตัวไปอีกครา ในใจหดเกร็งรีบถามเสียงรัว “ท่านเป็นผู้ใดกันแน่ ท่านเป็นเซียนวิเศษจริงๆ น่ะหรือ”
หลี่เจาเกอไม่อาจรอจนได้คำตอบ ลมกระโชกหอบหนึ่งซัดมา ทำเอายืนทรงกายไม่มั่นคง อดไม่ได้ต้องถอยหลังสองก้าว ยกมือป้องตา รอจนนางลดมือลงเบื้องหน้าก็ไม่มีผู้ใดอยู่อีก
ป่าทึบยังคงลุ่มลึกเงียบสงัดมืดมิดไม่เห็นปลายทาง บนพื้นตรงหน้าสะอาดเรียบร้อย ไหนเลยจะมีร่องรอยของลมกระโชกแม้สักนิด
เขาจากไปเสียแล้ว
สองไหล่ของหลี่เจาเกอลู่ตกลงอย่างไร้แรง เขาหายตัวไปอีกแล้วเฉกเช่นขณะนางวัยสิบสองหนนั้น กาลเวลาสิบสี่ปีนางเกิดดับแล้วสองครา ทว่า…แม้แต่เขามีนามใดนางก็ยังไม่รู้เลย
บนโลกนี้…มีเซียนวิเศษอยู่จริงหรือไม่นะ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 พ.ย. 67