บทที่ 7 ค่าเดินทาง
เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็จะไม่พบเจออันตราย หลี่เจาเกอคิดมาถึงตรงนี้จึงไม่ย้อนกลับไปเอาความกับภูตเล็กๆ เหล่านั้น มุ่งหน้าเดินทางของนางต่อ
หนทางช่วงต่อมาล้วนสงบปลอดภัย หลี่เจาเกอบุกป่าฝ่าดงอีกสี่วัน ในที่สุดก็ออกจากเขตป่าดำมาเห็นแสงตะวันอำไพที่เบื้องนอกเสียที
หลี่เจาเกออดไม่ได้ที่จะหันกายกลับไปจรดมองป่าดำอยู่เนิ่นนาน ในผืนป่าเงียบเชียบ ทั้งที่เป็นยามเที่ยงวันภายในนั้นก็ยังคงไม่เห็นแสงแดด มีเพียงแต้มแสงเล็ดลอดลงมาบนพื้นหญ้า โลกด้านนอกอบอุ่นสว่างไสว ในป่าทึบสงัดไร้สรรพเสียง ความแตกต่างอันเด่นชัดเพียงนี้เกือบจะทำให้หลี่เจาเกอแคลงใจว่าทุกสิ่งที่ผ่านมาเป็นความฝัน
ตัดทะลุป่าดำเป็นความฝัน เจอภูตสุนัขดำเป็นความฝัน พบพานท่านเซียนที่เคยเห็นในวัยสิบสอง…ก็เป็นความฝัน
ทว่าเมื่อหลี่เจาเกอลูบซองเกาทัณฑ์ ตำแหน่งว่างในซองบอกนางว่าไม่ใช่ นางได้ออกจากหมู่บ้านในภูเขาที่ใช้ชีวิตมาแต่เล็กจนโตและได้พบกับท่านเซียนผู้นั้นแล้วจริงๆ
หลี่เจาเกอคล้ายตัดสินใจได้เด็ดขาด มองป่าดำเป็นหนสุดท้ายแล้วหมุนกายอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เดินมุ่งหน้าไปโดยไม่เหลียวหลังอีก วันวานที่ละทิ้งนางไปคือสิ่งที่ไม่อาจเหนี่ยวรั้ง วันนี้ที่ปั่นป่วนใจนางมีเพียงความกลัดกลุ้มในปัจจุบัน เส้นทางของนาง…อยู่ที่เบื้องหน้า
ตำบลหนานหลินตั้งอิงป่าเขา ด้านหน้ามีสายน้ำโอบล้อม เนื่องด้วยทำเลที่ตั้งอันโดดเด่นนี่เองจึงกลายเป็นตำบลที่เจริญเฟื่องฟูที่สุดในละแวกนี้ พ่อค้าที่ขึ้นเหนือล่องใต้ตลอดจนชาวยุทธ์ที่คิดจะไปเสี่ยงดวงในป่าดำล้วนแวะพักกันที่ตำบลหนานหลิน
ขณะนี้ไป๋เชียนเฮ่อนั่งอยู่บนหอสุราในตัวตำบล มือข้างหนึ่งถือสุราเซาชุน ส่วนมืออีกข้างวางบนหน้าตัก เคาะจังหวะตามเพลงพิณผีผา อย่างสำราญใจ เขาออกมาจากป่าดำเมื่อหนึ่งวันก่อน จากนั้นก็รีบเปิดห้องพักที่ดีที่สุด นอนคลุมโปงไปหนึ่งวันหนึ่งคืน จวบจนตอนนี้จึงเปลี่ยนมาสวมชุดสะอาดสะอ้าน สั่งสุราอาหารอย่างดีมาหนึ่งโต๊ะ พร้อมด้วยสาวงามดีดพิณผีผาเสริมบรรยากาศ เขาค่อยรู้สึกว่าตนเองกลับมามีชีวิตอีกครั้งเสียที
เขาเอนพิงราวกั้นมองดูชั้นล่างในอิริยาบถอันเกียจคร้าน คิดในใจว่านี่ต่างหากชีวิตที่คนเราพึงมี ขี้ขลาดก็ขี้ขลาดสิ ป่าดำแดนภูตผีปีศาจพรรค์นั้นไม่ได้บุกตะลุยก็หาเป็นไรไม่
ไป๋เชียนเฮ่อลือนามมาช้านาน ทั่วหล้าเสมือนดั่งบ้าน แต่ไรมาไม่เคยอยู่ในกรอบ ไม่นานก่อนหน้านี้เขาพนันกับผู้อื่นว่าจะบุกเดี่ยวเข้าป่าดำ หากชนะล่ะก็ อีกฝ่ายจะจ่ายค่าสุราก้อนโตให้เขา เดิมไป๋เชียนเฮ่อคิดว่าคนเราเกิดมาทั้งทีก็ควรกล้าได้กล้าเสีย เสี่ยงชีวิตเพื่อค่าสุราดีจะเป็นไรไปเล่า ทว่าภายหลังไปเดินวนในป่าดำมารอบหนึ่ง เขาพลันรู้สึกว่าชีวิตยังคงสำคัญกว่า เงินก้อนนั้นไม่เอาก็ไม่เป็นไร
เพียงแต่ถึงอย่างไรก็ยังเสียดายอยู่บ้าง ขณะไป๋เชียนเฮ่อนั่งอยู่บนหอสุรานึกห่อเหี่ยวอยู่นั้น สายตาเขาพลันผนึกค้าง สังเกตพบดรุณีน้อยผู้หนึ่งกำลังเดินผ่านชั้นล่างของหอสุรา เขาขยี้ตาจนแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ตาฝาดแล้วรีบโบกมือเรียก “น้องสาว น้องสาว! ถูกต้องแล้ว ข้าเอง”
หลี่เจาเกอได้ยินเสียงคุ้นๆ จึงชะลอฝีเท้า เห็นไป๋เชียนเฮ่อเกาะราวกั้น ฉีกยิ้มเรี่ยราดทักทายนางอยู่ “น้องสาว เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือนี่ โอ๊ะ วันนั้นฟ้ามืดเห็นไม่ชัดเจน นึกไม่ถึงว่าน้องสาวงดงามปานนี้ น้องสาวคนงาม พี่ขอเชิญเจ้าขึ้นมาร่วมดื่มสักจอกเป็นเช่นไร”
หลี่เจาเกอมองเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก รายก่อนที่กล้าเรียกนางว่า ‘น้องสาวคนงาม’ กลายเป็นปุ๋ยจนหญ้าเหนือหลุมศพงอกสูงสามฉื่อแล้ว หากมิใช่เพราะนางมาเกิดใหม่ ตอนนี้ไป๋เชียนเฮ่อก็ยังไปถอนหญ้าให้หลุมศพของคนผู้นั้นได้
เพียงแต่อาหารที่ได้กินดื่มเปล่าๆ ไม่ฉวยไว้ก็น่าเสียดายอยู่ หลี่เจาเกอจึงเดินหน้านิ่งเข้าหอสุรา ขึ้นบันไดไปนั่งตรงข้ามกับไป๋เชียนเฮ่อ ทั้งบอกหญิงงามผู้บรรเลงพิณผีผาว่า “รบกวนเพิ่มชามตะเกียบมาอีกชุดหนึ่ง ขอบคุณ”