หญิงงามมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าหลี่เจาเกอไม่ได้พูดกับผู้อื่นจึงอุ้มพิณผีผายอบกายคำนับหลี่เจาเกอแล้วก้มหน้าเดินจากไป ไป๋เชียนเฮ่อจุปาก “น้องสาวคนงาม เรื่องนี้เจ้าทำไม่ถูกต้องนะ เจ้าจะกินอาหารก็กินไป ไฉนหาเหตุขับไล่นักดีดผีผาที่ข้าอุตส่าห์เรียกหามาเล่า”
หลี่เจาเกอคว้าตะเกียบคู่หนึ่งจากโต๊ะด้านข้าง เคาะบนโต๊ะเบาๆ ให้ปลายตะเกียบเสมอกัน ก่อนเลือกกินอาหารอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง “ชีวิตพวกนางไม่ง่ายดาย เพราะมีลูกค้าเสเพลเช่นเจ้าอยู่พวกนางจึงได้ถูกบังคับมาขายฝีมือ อีกอย่าง…”
หลี่เจาเกอคีบอาหารเข้าปากก่อนเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาดำที่ตัดพื้นขาวชัดเจนคู่นั้นกวาดมองไป๋เชียนเฮ่อเรียบๆ ปราดหนึ่ง “…อย่าเรียกข้าว่าน้องสาวคนงาม”
สีหน้าของนางเรียบสงบ ทว่าไป๋เชียนเฮ่อฟังออกถึงจิตสังหารอันชัดแจ้ง รอยยิ้มบนใบหน้าเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตากวาดผาดๆ ก็ค้นพบว่าหลี่เจาเกอคีบเฉพาะอาหารที่เขากินไปก่อนแล้ว
จุๆ อายุน้อยๆ ขี้ระแวงมิใช่เล่น นางมีที่มาอย่างไรกันแน่ พลังยุทธ์ในร่างนางเป็นวิชาที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังในยุทธภพ ซ้ำอายุก็อ่อนเยาว์มากเหลือเกิน
ไป๋เชียนเฮ่อผลิยิ้ม รินสุราให้หลี่เจาเกอหนึ่งจอก ทั้งวางตรงหน้านางกับมือเขาเอง “สุราจอกนี้ถือว่าพี่ชายขออภัยเจ้า วันนั้นสถานการณ์เร่งด่วน พี่ชายมีธุระสำคัญอย่างอื่นจึงจำต้องปลีกตัวมาก่อน น้องสาว ขออภัยเจ้าด้วย”
หลี่เจาเกอไม่ได้ติดใจแม้แต่น้อย นางโบกมือหนึ่งหนก่อนกล่าว “ไม่ต้องหรอก พวกเราแค่พบกันโดยบังเอิญ เดิมก็ควรแยกย้ายไปคนละทาง ไม่มีอันใดต้องขออภัย อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือ”
“น้องสาวองอาจนัก!” ไป๋เชียนเฮ่อตบโต๊ะ ยกจอกที่มีสุราปริ่มขอบ “ในชีวิตข้าไป๋เชียนเฮ่อนับถือผู้กล้าเป็นที่สุด จอกนี้ข้าขอคารวะเจ้า”
ไป๋เชียนเฮ่อพูดจบก็แหงนหน้าดื่มหมดจอกในรวดเดียว หลายปีที่ผ่านมานับว่าเขาโชกโชนในดงบุปผา แพรวพราวช่ำชอง ประกอบกับมีหน้าตาชวนมอง ในสนามรักจึงเป็นที่ชื่นชอบของสตรีไม่น้อย ทว่าน้องสาวคนงามที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้กลับไม่มีอาการหวั่นไหวใดๆ นางยังคงเย็นเยียบดั่งเกล็ดน้ำค้างและผงกศีรษะเบาๆ พลางกล่าว “ที่แท้เจ้าก็คือไป๋เชียนเฮ่อ”
ไป๋เชียนเฮ่อเลิกคิ้วถาม “มีอันใด หรือว่าน้องสาวรู้จักข้า”
“จอมโจรย่องเบาไป๋เชียนเฮ่อ ใครบ้างไม่รู้จัก”
เกียรติศักดิ์ศรีของไป๋เชียนเฮ่อได้รับความพึงพอใจอันสูงสุด เขาอดไม่ได้ที่จะปัดลูกผม มือค้ำหน้าผากอย่างกลัดกลุ้มพลางเอ่ย “เฮ้อ…เป็นที่นิยมชมชอบเกินไปก็เป็นความผิดบาปประการหนึ่ง ข้าไม่ยักรู้เลยว่านามอันต่ำต้อยของข้าแพร่สะพัดไปถึงในป่าเขาแล้ว”
หลี่เจาเกอนิ่งงันชั่วครู่ก่อนเอ่ยแก้ “เจ้าคงเข้าใจผิดไป ข้ารู้จักเจ้าจากหมายจับของราชสำนักต่างหาก”
กองงานปราบปีศาจรับผิดชอบคดีที่ซับซ้อนโดยเฉพาะ นามของไป๋เชียนเฮ่อติดบัญชีดำของหลี่เจาเกออยู่นาน หากไม่ใช่เพราะในราชธานีตะวันออกผุดคดีไม่รู้จบรู้สิ้นทำให้นางไม่มีเวลาไปตามจับเขา ชาติก่อนเหนือหลุมศพของเขาก็น่าจะงอกงามเป็นพื้นที่ร่มครึ้มผืนหนึ่งแล้ว
ไป๋เชียนเฮ่อหัวเราะหึอย่างดูแคลน เอนพิงราวกั้นก่อนเอ่ยโดยไม่ยี่หระ “พวกตัวไร้ประโยชน์ในราชสำนัก ต่อให้ข้ายืนตรงหน้าพวกเขา แจ้งนามของข้าออกไป พวกเขามีปัญญาจับข้าได้หรือ”
หลี่เจาเกอนั่งมองเขาจากฝั่งตรงข้ามเงียบๆ
ไป๋เชียนเฮ่อไม่รู้สักนิดว่าเขาเคยเฉียดใกล้ความตายถึงขีดสุดแล้ว เขาก่นด่าตัวไร้ประโยชน์ในราชสำนักอย่างเคยจนจบ ค่อยหันมาเอ่ยกับหลี่เจาเกอ “น้องสาว ข้าถูกชะตากับเจ้า มิสู้มาเป็นสหายกัน เจ้ามีนามว่าอย่างไร”
หลี่เจาเกอต่างจากสตรีที่อยู่แต่ในเรือนชั้นใน ไม่มีข้อถือสาเรื่องนามจริงไม่อาจแพร่งพรายแก่บุรุษที่มิใช่สามี ทว่านามจริงขององค์หญิงอันติ้งเป็นที่รู้กันทั่วหล้าแล้ว ยามนี้ยังไม่ถึงจังหวะเวลาที่จะเผยฐานะ นางจึงต้องเลี่ยงไว้สักหน่อย “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้”
ไป๋เชียนเฮ่อเลิกคิ้ว เขารู้กาลเทศะจึงไม่ได้ซักไซ้ต่อ ทว่าพลันยื่นตัวมาใกล้แล้วถามถึงอีกเรื่องที่สนใจ “น้องสาว ตัวประหลาดสีดำนั่น…เจ้าฆ่ามันแล้วจริงๆ น่ะหรือ”
“ไม่ได้ฆ่า” หลี่เจาเกอตอบ “ภูตก็เป็นชีวิตหนึ่ง หากมันไม่อาจก่อกรรมทำเข็ญอีกก็ไม่ควรฆ่า ข้าเพียงแต่ทำให้มันบาดเจ็บหนัก กลับไปพักฟื้นน่าจะรอดได้ เพียงแต่ต่อไปมันจะเป็นได้แค่สุนัขธรรมดา”