บทที่ 8 สกุลเผย
นครลั่วหยาง ยามราตรีดึกสงัด จันทรายะเยือกดุจเกล็ดน้ำค้าง ภายในจวนสกุลเผยที่ย่านซิวเหวินฟาง เงียบกริบ มีเพียงโคมสีแดงที่แขวนตามทางระเบียงแกว่งตัวล้อลมจนบังเกิดเสียง สาวใช้ที่เดินผ่านเป็นครั้งคราวล้วนเบามือเบาเท้า ในจวนอันใหญ่โตจึงได้ยินแต่เสียงลมเท่านั้น
วันนี้คือวันที่เจ็ดเดือนหนึ่ง เดิมทียังอยู่ในช่วงฉลองปีใหม่อันครึกครื้น ทว่าจวนสกุลเผยคล้ายตกอยู่ใต้พยับเมฆเพราะคุณชายใหญ่เผยจี้อันล้มป่วยเสียแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าส่งเสียงเอ็ดอึงในจวน ด้วยกลัวว่าจะรบกวนคุณชายใหญ่พักฟื้นและจะถูกฮูหยินใหญ่เผยผู้เป็นนายหญิงขายออกจากจวนไป
แม้กระทั่งบ่าวที่เกิดในจวนสกุลเผยยังกลัวเกรงเพียงนี้ บ่าวของสกุลอื่นที่มารับใช้ในสวนประจิมย่อมจะระมัดระวังเป็นเท่าตัว ขณะนี้เด็กรับใช้ในสวนประจิมผู้หนึ่งนั่งเฝ้ายามอยู่หน้าประตูเรือน เขาหาวหวอดต่อเนื่อง ฝืนข่มความง่วงงุนไว้ พอดีสาวใช้ในชุดปั้นปี้ สีเขียวผู้หนึ่งเดินตรงมาเห็นจึงเอ่ยเรียกเขาแล้วถามว่า “คุณชายของพวกเรายังไม่ตื่นเลยหรือ”
เด็กรับใช้นามว่าเจียวเหว่ยป้องปากหาวอีกหนก่อนตอบ “ใช่ ตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่ที่คุณชายล้มป่วยก็ไม่ดีขึ้นเลย หลายวันมานี้ทำอะไรล้วนดูซึมเซา แม้แต่ข้าพูดคุยด้วยก็ไม่มีท่าทีตอบสนอง”
สาวใช้ในชุดปั้นปี้สีเขียวผู้นี้มีนามว่าลวี่ฉี่ เดิมเป็นสาวใช้ของสกุลกู้ ต่อมากู้เผยซื่อ ฮูหยินของนางกลายเป็นม่าย พาบุตรชายกลับมาพำนักที่สกุลเดิม ลวี่ฉี่จึงติดตามมาที่จวนสกุลเผยด้วย
ตามหลักแล้วลวี่ฉี่ไม่พึงมีความขุ่นเคืองต่อสกุลเผย ต่อให้บรรพชนสกุลกู้มีชื่อเสียงสูงส่งเป็นที่นับถือสักเพียงใดก็ช่วยไม่ได้ที่มีทายาทบางตา พาให้ฐานะวงศ์ตระกูลเสื่อมถอยลง นายท่านผู้เฒ่ากู้ซั่งกับนายท่านกู้หยวนเสียชีวิตติดต่อกัน บัดนี้ทั้งตระกูลเหลือกู้หมิงเค่อเป็นทายาทบุรุษเพียงหนึ่งเดียว
นายท่านผู้เฒ่ากู้ซั่งเคยประพันธ์ตำราไว้มากมาย ทว่าทรัพย์สินมิได้มั่งมี ครั้นมาถึงรุ่นของกู้หมิงเค่อยิ่งเหลือเรือนเก่าเพียงหลังเดียวกับที่นาอันน้อยนิด ผิดกับสกุลเดิมของกู้เผยซื่อฮูหยินของนายท่านกู้หยวนลูกสะใภ้ของนายท่านผู้เฒ่ากู้ซั่งที่ยิ่งวันยิ่งมีฐานะรุ่งเรือง ปัจจุบันมาถึงสมัยเกาจงฮ่องเต้ยิ่งพรั่งพร้อมด้วยลาภยศ บุตรหลานสกุลเผยตลอดจนหลานเขยล้วนเป็นขุนนางตำแหน่งสูง ภายหลังกู้หยวนป่วยตายไป กู้เผยซื่อจึงละทิ้งบ้านบรรพชนสกุลกู้หลังนั้น พากู้หมิงเค่อบุตรชายเข้าเมืองหลวงกลับมาพำนักถาวรที่สกุลเผย
สกุลเผยก็ให้การอุปการะโดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทน ไม่เพียงส่งเสียกู้หมิงเค่อเล่าเรียน ยังคอยซื้อหาหยูกยาให้ ยามปกติคุณชายสกุลเผยมีสิ่งใด คุณชายจากตระกูลเขยก็มีสิ่งนั้นเช่นกัน การปฏิบัติดูแลที่ดีเพียงนี้ลวี่ฉี่ไม่สมควรตัดพ้อจริงๆ ทว่ารสชาติของการอาศัยใต้ชายคาผู้อื่นมีแต่สัมผัสกับตัวจึงจะรับรู้ได้ ปกติอาจมองไม่ออก ตอนนี้เมื่อคุณชายใหญ่สกุลเผยล้มป่วย ทุกสิ่งก็ถูกเปิดโปงทันตา
ลวี่ฉี่มองดูสวนประจิมที่ไม่มีใครมาถามไถ่ไยดี นางสูดหายใจเข้าลึกๆ หลายหนก็ยังคงรู้สึกอัดอั้นตันใจแทบแย่ เผยจี้อันล้มป่วยเป็นเรื่องจริง ทว่าคุณชายของนางเล่าไม่ได้ล้มป่วยหรือไร บ่าวทั้งหมดในจวนสกุลเผยห่วงแต่เผยจี้อันนั้นแล้วไปเถิด ไฉนแม้กระทั่งฮูหยินของนางก็เอาแต่ไปดูทางนั้นไม่ได้แยแสคุณชายที่ป่วยมาห้าหกวันแล้วเลย เห็นกันอยู่ว่าคุณชายต่างหากคือบุตรแท้ๆ ของฮูหยิน
ลวี่ฉี่ยิ่งคิดยิ่งขุ่นเคือง นางหน้าบึ้งเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “พวกเขาไม่ใส่ใจ เจ้าก็ไม่ใส่ใจคุณชายด้วยหรือ หลายวันมานี้แม้แต่อาหารคุณชายก็แทบไม่แตะ เจ้ายังมีแก่ใจมานั่งสัปหงกอยู่ข้างนอกอีก”
เจียวเหว่ยอายุยังน้อย ถูกลวี่ฉี่ต่อว่าไปหนึ่งยกจึงทั้งหวาดกลัวทั้งน้อยใจ “แต่…ฮูหยินใหญ่เผยบอกว่าคุณชายของพวกเรากำลังป่วย ต้องพักฟื้นเงียบๆ…”
ลวี่ฉี่โกรธจนร้องถุยใส่เจียวเหว่ย เดินปรี่ขึ้นหน้ามาบิดหูเขา “คนอื่นพูดว่าอะไรเจ้าก็เชื่อฟังตามนั้น ตกลงเจ้าแซ่กู้หรือแซ่เผย ยังไม่รีบเข้าไปเฝ้าคุณชาย! สกุลกู้มีบุตรชายโทนติดกันมาสามรุ่น ถึงรุ่นของคุณชายก็คือผู้สืบสกุลที่เหลืออยู่หนึ่งเดียวแล้ว ต่อให้พวกเราต้องฝ่าฝืนเวลาห้ามออกนอกเคหสถานเพื่อไปเชิญหมอก็จะปล่อยให้เกิดเหตุพลาดพลั้งใดๆ ขึ้นกับคุณชายไม่ได้เด็ดขาด”