เจียวเหว่ยใบหูชี้เด่ ปากร้องโอดโอย ขณะสองคนเอะอะอยู่ตรงนี้ ประตูห้องก็พลันเปิดจากด้านในดังแอ๊ด เจียวเหว่ยกับลวี่ฉี่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวต่างหันขวับไปโดยพร้อมเพรียง ครั้นมองเห็นเงาร่างของผู้ที่ยืนอยู่ตรงประตู สองคนก็เสียงหายในพริบตา ชั่วขณะนั้นไม่กล้ากระทั่งจะสูดหายใจ
ฉินเค่อที่เปลี่ยนมาสวมชุดของกู้หมิงเค่อปรายตามองสองคนด้านนอกนิ่งๆ “ร่างกายข้าดีขึ้นมากแล้ว ไม่มีอะไรหนักหนา อย่าได้ทำให้ผู้อื่นตกอกตกใจ”
สองคนเหม่อมองคุณชายของพวกตน ลวี่ฉี่เผยความตกตะลึงเกลื่อนใบหน้า ส่วนเจียวเหว่ยเบิกตาโตลืมไปเสียสนิทว่าใบหูของเขายังถูกลวี่ฉี่บิดดึงอยู่ ทั้งที่ไม่ได้เห็นคุณชายเต็มตาเพียงไม่กี่วัน ไฉนสองคนจึงรู้สึกว่าคุณชายคล้ายเปลี่ยนไปอย่างมาก
แค่เปลี่ยนไปเสียเมื่อไรเล่า เรียกว่ากลายเป็นคนละคนเลยดีกว่า คุณชายร่างกายอ่อนแอขี้โรคมาตั้งแต่เล็กจึงพูดจาด้วยน้ำเสียงนิ่มเบาเสมอ ไม่มีท่วงทีอันเย็นชาสยบผู้คนเช่นนี้เป็นอันขาด อีกอย่างรูปโฉมของคุณชายหมดจดหล่อเหลาก็จริงอยู่ ทว่าไม่ถึงขั้นสั่นสะท้านจิตวิญญาณเช่นนี้แน่
เมื่อก่อนนะ…หวนคิดมาถึงตรงนี้เจียวเหว่ยกับลวี่ฉี่พบว่าจู่ๆ ก็นึกไม่ออกแล้วว่าเมื่อก่อนคุณชายมีลักษณะเช่นไร สองคนค่อยๆ จมอยู่ในความลังเล ดูเหมือน…แต่ไรมาคุณชายก็มีรูปโฉมเช่นนี้ เสียงพูดเช่นนี้ และท่วงทีเช่นนี้
ฉินเค่อเพิ่งจะกลับมาจากป่าดำ เขาได้ลูกกลอนปราณฟ้าดินคืนมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องชะลอความเร็วอีก จึงมาถึงราชธานีตะวันออกได้ในชั่วอึดใจ ฉินเค่ออุตส่าห์สลัดพ้นหลี่เจาเกอและตั้งใจจะอยู่สงบๆ สักพัก กลับถูกเสียงเจี๊ยวจ๊าวข้างนอกก่อกวนจนหาความสงบไม่ได้ เขาอดกลั้นจนเหลืออดจึงจำต้องออกหน้ามายุติเสียงกวนใจของบ่าวเยาว์วัยทั้งสอง
เขาพูดจบเห็นสองคนนี้มองเขาตาค้าง ไม่มีความตระหนักที่จะเอ่ยรับผิดแม้แต่น้อย เขาจึงได้แต่พูดให้ชัดเจนขึ้นอีกหน่อย “ข้าจะพักผ่อนแล้ว พวกเจ้าถอยไปได้”
ในที่สุดลวี่ฉี่ก็เรียกสติคืนจากห้วงแห่งความตกตะลึง “แต่…คุณชายยังป่วยอยู่นะเจ้าคะ…”
ฉินเค่อรวบแขนเสื้อ ปรายตามองลวี่ฉี่เรียบๆ ปราดหนึ่ง ทั้งที่เขาไม่ได้เผยสีหน้าดุดันใดๆ พริบตานั้นลวี่ฉี่กลับถูกเขย่าขวัญจนเหงื่อเย็นแตกพลั่ก ไม่กล้าพูดต่อแม้ประโยคเดียว
ลวี่ฉี่กับเจียวเหว่ยก้มหน้าลงโดยไม่ต้องนัดแนะ พากันถอยจากไปอย่างเงียบเชียบ ฉินเค่อปิดประตูห้อง ได้ตักตวงความสงบสักครู่เสียที
ในห้องไร้แสงสว่าง ทว่าเครื่องตกแต่งทุกชิ้นไม่อาจหลบรอดสายตาของฉินเค่อ เขากวาดมองร่องรอยที่เป็นของกู้หมิงเค่อเงียบๆ พลางหวนทบทวนข้อมูลที่เซียวหลิงมอบให้ก่อนเขาอำลาแดนสวรรค์มาฉบับนั้น
กู้หมิงเค่อ…ญาติผู้พี่ของเผยจี้อัน มีบิดานามว่ากู้หยวน ท่านปู่นามว่ากู้ซั่ง ทั้งสองล้วนเป็นผู้ประพันธ์วรรณกรรมและผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ที่มีความรู้ลึกซึ้งรอบด้าน กู้เผยซื่อมารดาของเขาคือบุตรีคนโตของสกุลเผย หรือก็คือป้าใหญ่ของเผยจี้อัน ครอบครัวของกู้หมิงเค่อกล่าวได้ว่าสืบทอดวงศ์ตระกูลด้วยตำราความรู้ มีเกียรติน่านับถือยิ่งยวด ท่านปู่กู้ซั่งเป็นผู้ควบคุมการชำระเรียบเรียงประวัติศาสตร์ทางการของหกราชวงศ์ปลายยุคราชวงศ์เหนือใต้ เป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ที่หาตัวจับได้ยาก กู้หยวนเองก็เป็นผู้ที่เปี่ยมความสามารถ มีชื่อเสียงทัดเทียมกับกู้ซั่งผู้เป็นบิดา ภายหลังกู้ซั่งถึงแก่กรรม กู้หยวนก็สานต่องานชำระเรียบเรียงประวัติศาสตร์ราชวงศ์สุย เพียงเสียดายที่คนสกุลกู้ได้รับสืบทอดร่างกายอันอ่อนแอมาจากบรรพชน กู้ซั่งกับกู้หยวนล้วนจากไปก่อนวัยอันควร กู้หมิงเค่อก็มิได้ดีไปกว่า เริ่มไอไม่หายตั้งแต่เพิ่งอายุสิบต้นๆ ชั่วนาตาปีไม่อาจห่างจากยา
การชำระเรียบเรียงตำราประวัติศาสตร์เป็นงานที่ยาวนานและลำบากยากแค้น เมื่อมาถึงรุ่นของกู้หมิงเค่อ สกุลกู้ขัดสนพอสมควรแล้ว ภายหลังกู้หยวนผู้เป็นบิดาล่วงลับไป กู้เผยซื่อผู้เป็นมารดาไม่อยากอยู่เฝ้าเรือนเก่าใช้ชีวิตอัตคัด ประกอบกับต้องหาหมอให้กู้หมิงเค่อ นางจึงพาเขากลับมาสกุลเดิมของนาง…สกุลเผยในราชธานีตะวันออกหรือก็คือจวนของเสนาบดีฝ่ายราชเลขาธิการ
กู้หมิงเค่อกับเผยจี้อันเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน สองคนอายุห่างกันเพียงหนึ่งปี ทว่าชะตาชีวิตกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง ชาติก่อนกู้หมิงเค่อชำระประวัติศาสตร์ราชวงศ์สุยตอนปลายจนเสร็จ บรรลุปณิธานที่ไม่ลุล่วงของบิดากับท่านปู่แล้วก็ลาโลกไปด้วยวัยเพียงยี่สิบปี ปีนั้นสกุลเผยยังไม่ถูกหอบม้วนเข้าสู่การแก่งแย่งในราชสำนัก เผยจี้อันยังคงองอาจฮึกเหิม เป็นคุณชายหน้าหยกผู้ลือเลื่องเมืองหลวง ส่วนหลี่เจาเกอก็ยังกลับมาไม่ถึงนครลั่วหยางด้วยซ้ำ
ตายไปก่อนหอสูงอย่างสกุลเผยจะพังครืน ในบางแง่มุมก็นับเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง