ในคืนแรกที่เข้าสู่บทบาท ฉินเค่อฆ่าเวลาไปกับการพลิกดูตำราสะสมของสกุลกู้ ค้นอ่านจดหมายลายมือกู้หมิงเค่อ แม้เขาสะกดพลังวัตรไว้ แต่ถึงอย่างไรฝีมือก็เป็นสุดยอดของราชสำนักสวรรค์ เขาไม่จำเป็นต้องพักผ่อนแบบมนุษย์นานแล้ว การไม่นอนหนึ่งคืนสำหรับเขาไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น แสงอรุณแรกเบิกฟ้า ปุยหิมะเริ่มปลิวโปรย ท่ามกลางเสียงปลุกเร้าก้องกังวานของกลองแจ้งโมงยาม ประตูวัง ประตูเมือง และประตูฟางทั่วนครลั่วหยางล้วนเปิดออก มีราษฎรที่จะไปตลาดไปค้าขายมารออยู่หน้าประตูฟางกันแต่แรก ตั้งแต่เสียงกลองสิ้นสุดเวลาห้ามออกนอกเคหสถานดังขึ้น พวกเขาก็เตรียมสัมภาระพร้อมสรรพ เคลื่อนตัวตามฝูงชนจนถึงประตูฟาง เบียดเสียดกันออกไปอย่างเชื่องช้า แล้วแยกย้ายเข้าสู่ถนนตรอกซอยที่เชื่อมต่อทั่วทิศในราชธานีตะวันออก
ภายในจวนสกุลเผย ฉินเค่อปิดตำราแล้ว เขาตั้งใจจะไปแสร้งนอนบนเตียงเสียหน่อย บทบาทของเขาในตอนนี้คือคุณชายอ่อนแอผู้หนึ่ง พฤติกรรมไม่หลับไม่นอนทั้งคืนก็ยังกระปรี้กระเปร่าอยู่เช่นนี้ไม่ค่อยสอดรับกับบทบาท
ผ่านไปสักพักเจียวเหว่ยก็มาถึงในอาการง่วงซึม จัดเก็บห้องไปป้องปากหาวไป
เมื่อคืนหลังจากได้เห็นคุณชาย ไม่รู้เพราะเหตุใดเจียวเหว่ยจึงนอนไม่หลับเลยทั้งคืน ขอเพียงเขาหลับตาก็จะเห็นภาพท่านเซียนในชุดขาวยิ่งกว่าหิมะแผ่รัศมีอันเย็นเยือกผู้หนึ่งมองเขาอย่างเฉยเมย เขาไม่ยักจำได้สักนิดว่านี่คือคุณชายของตน กลับรู้สึกอยู่ตลอดว่าตนได้พบเห็นเทพเซียนเข้าแล้ว
ท่านเซียนชวนมองน่ะชวนมองอยู่ ทว่าชวนผวาก็ชวนผวามากจริงๆ เจียวเหว่ยเผชิญใบหน้าดวงนั้นโดยไม่กล้ากระทั่งจะหอบหายใจ ด้วยเหตุนี้ตลอดคืนเจียวเหว่ยล้วนหลับไม่ได้เสียที วันนี้ตื่นมาจึงงัวเงียหาวไม่เลิก
เจียวเหว่ยเช็ดโต๊ะในอาการสะลึมสะลือ รอจนเช็ดโต๊ะเก้าอี้รับแขกเสร็จ แวะบิดผ้าขี้ริ้วในอ่างน้ำ เดินต่อไปสองก้าวก็มองเห็นคุณชายในชุดขาวนั่งพิงอยู่บนตั่งด้านหลังฉากไม้จันทน์ฉลุลาย กำลังพลิกตำราในอิริยาบถอันผ่อนคลาย แขนเสื้อยาวทบซ้อน ท่วงทีดูไม่มีอันใดพิเศษ ทว่ารอบกายราวมีไอเซียนรายล้อม
เจียวเหว่ยกำผ้าขี้ริ้วที่มีคราบสกปรก ไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปดีหรือไม่ ครั้นก้มหน้ามองมือหยาบกร้านก็บังเกิดความรู้สึกเป็นหนแรกว่าตนช่างต่ำต้อยด้อยค่า เขาวางผ้าขี้ริ้วกลับไปบนถาดสำริด เช็ดมือเป็นดิบดีค่อยเดินเข้าไปอย่างเบามือเบาเท้า “คุณชายขอรับ เดือนหนึ่งยังคงมีอากาศหนาวเข้มข้น ท่านสุขภาพมิสู้ดี อย่าหักโหมอ่านตำรานักจะเสียสุขภาพเอาได้”
คุณชายบนตั่งมิได้เงยหน้า เพียงผงกศีรษะเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่ออก “ได้ ข้ารู้แล้ว”
คุณชายพูดจบก็ไม่มีคำพูดอื่นใด ทว่าเจียวเหว่ยมิอาจอยู่ว่าง เมื่อก่อนอาศัยว่าตนอายุน้อยมักแสร้งทำโง่งมไม่รู้ไม่ชี้ต่อหน้าคุณชาย วันนี้ไม่รู้เหตุใดเขาอยู่ต่อหน้าคุณชายกลับไม่กล้าเหิมเกริมอีก รีบค้อมคำนับแล้วเดินเขย่งปลายเท้าจากไปอย่างเงียบเชียบ
เจียวเหว่ยยกอ่างน้ำเดินมุ่งไปนอกเรือน เดินไปก็ฉงนไป เมื่อก่อนไม่ยักรู้สึกเลยว่าคุณชายของเขาน่ามองเพียงนี้ วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นหนอ ในใจเขามัวแต่คิดนู่นนี่ ไม่ได้ระวังทางข้างหน้า ตอนจะออกจากประตูลานจึงเกือบชนถูกร่างคนผู้หนึ่ง
“บังอาจ!” เจียวเหว่ยยังไม่ทันจะตอบสนองก็ถูกพละกำลังจากฝั่งตรงข้ามผลักใส่ ทำเอาฝีเท้าเขาซวนเซหลายก้าวก่อนล้มลงพื้นทั้งคนทั้งอ่าง
เดือนหนึ่งหิมะน้ำแข็งยังไม่ละลาย พื้นดินแน่นแข็งยิ่งยวด พออ่างสำริดกระแทกพื้นจึงเกิดเสียงเคร้งดังสนั่น ในลานเรือนอันสงบเงียบให้ความรู้สึกบาดหูเป็นพิเศษ นอกประตูลานมีบุรุษสวมเสื้อคลุมกันลมสีครามผู้หนึ่งมาพร้อมกับผู้ติดตาม สองคิ้วของเขาค่อยๆ ขมวดมุ่นพลางเอ่ยตำหนิ “กำเริบนัก ญาติผู้พี่ข้าพักฟื้นอยู่ข้างใน พวกเจ้าส่งเสียงเอ็ดตะโรได้หรือ”
ขณะที่ผู้ติดตามโดยรอบรีบค้อมกายขอขมา เจียวเหว่ยก็ตะกายพรวดขึ้นจากพื้น แม้บั้นท้ายจะล้มกระแทกจนรวดร้าว ทว่าขณะนี้เขาคล้ายคนที่ไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น ยังคงยิ้มละไมทักทายผู้มาเยือน “คุณชายใหญ่เผย ท่านมาแล้ว สองวันนี้อาการป่วยของท่านหายดีแล้วหรือขอรับ”
เผยจี้อันผงกศีรษะนิดๆ ใบหน้าของเขาขาวเกลี้ยงเกลาดุจหยก สีสันบนริมฝีปากอ่อนจาง แลดูยังให้ความรู้สึกซีดเซียวเช่นผู้ที่เพิ่งหายจากป่วยหนัก เผยจี้อันเอียงศีรษะไอหนึ่งหน ก่อนถามด้วยสุ้มเสียงที่ยังคงแหบแห้ง “พี่กู้เล่า”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน พฤศจิกายน 2567)