คืนก่อนเดินทัพ ในจวนองค์หญิงเซิ่งหยวนแสงไฟสว่างไสว กู้หมิงเค่อนั่งตรวจดูแผนที่อยู่ในเรือนรอง หลี่เจาเกอผลักประตูเข้ามา เห็นเขานั่งอยู่ในนี้ก็เอ่ยถาม “ท่านช่างรู้จักหาความสงบ ไฉนวิ่งมาถึงที่นี่เล่า”
นี่คือที่พักของกู้หมิงเค่อก่อนจะย้ายไปเรือนหลัก ทิ้งว่างไว้นานมากแล้ว หลี่เจาเกอเดินตรงมาดู พบว่าเขาขนม้วนหนังสือกับแผนที่ที่วาดเสร็จตั้งแต่หลายวันก่อนนั้นมาด้วย จึงหยิบม้วนหนึ่งขึ้นมาถาม “วางไว้ในห้องหนังสืออยู่ดีๆ เหตุใดท่านต้องขนพวกนี้ออกมา”
“เรือนหลักคนเยอะเหลือเกิน ข้าอยู่ในห้องหนังสือถูกเสียงพวกนางกวนจนปวดหัว เลยออกมาหาสักที่ที่สงบๆ” กู้หมิงเค่อช้อนแขนเสื้อยาว จัดม้วนหนังสือไปรวมกันอยู่ด้านหนึ่งก่อนถาม “ท่านเล่า ไฉนจึงมาได้”
หลี่เจาเกอถอนใจ “พวกสาวใช้กำลังจัดสัมภาระ ข้าก็บอกแล้วว่าทุกอย่างจัดแบบเรียบง่าย แต่พวกนางกลับรู้สึกว่าชิ้นนี้เป็นของจำเป็น ชิ้นนั้นก็เป็นของจำเป็น ข้าไม่อยากจะฟังพวกนางโวยวายจึงออกมาหาท่านดีกว่า”
นางเอ่ยพลางเหลียวมองรอบๆ “ท่านหลบได้เก่งนัก ข้าหาตั้งหลายที่กว่าจะหามาถึงที่นี่”
กู้หมิงเค่อไม่ได้ตอบคำ กลับโน้มน้าวว่า “เป็นเพราะพวกนางหวังดีต่อท่าน เมื่อก่อนแม้ท่านออกจากเมืองเป็นประจำ แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ละแวกเมืองหลวง หนนี้กลับจะต้องร่วมทัพไปออกศึก ไปหนนี้ไม่รู้ต้องนานกี่เดือน พวกนางไม่วางใจก็เป็นวิสัยปกติ”
“ข้าเข้าใจ” หลี่เจาเกอผงกศีรษะ “แต่ข้าจะไม่เอาข้าวของที่พวกนางจัดเตรียมไปด้วยหรอก ตอนนี้ฟังพวกนางเตือนว่าของชิ้นใดจัดวางไว้ที่ใด ข้าก็รู้สึกผิดไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่ฟังเสียเลย พรุ่งนี้ตอนทิ้งข้าวของไว้จะได้ไม่รู้สึกละอายมากนัก”
กู้หมิงเค่อหัวเราะเบาๆ นี่เป็นสิ่งที่นางกระทำแน่ เขานึกภาพออกเลยว่าพรุ่งนี้หลังจากทัพใหญ่เคลื่อนพล พอพวกสาวใช้ค้นพบว่าสัมภาระที่จัดไว้ดิบดียังอยู่ครบถ้วนทุกชิ้นจะตกตะลึงมากเพียงใด เขากล่าว “จะมากจะน้อยก็เตรียมไปหน่อยเถิด หนนี้…เกรงว่าคงไม่สงบสุข”
“ข้ารู้” หลี่เจาเกอพิงโต๊ะ ระบายลมหายใจยาวเหยียด “เดิมทีข้าไม่จำเป็นต้องไปศึก แต่จู่ๆ แนวหน้ามีนักรบที่ฟันแทงไม่เข้าโผล่มา ซ้ำคนชักใยเหมือนกลัวว่าราชสำนักจะมองไม่ออกว่านักรบกลุ่มนี้ต่างจากทหารทั่วไปจึงยังให้นักรบกลุ่มนี้สวมหน้ากากด้วย คนชักใยที่หยางโจวผู้นั้นเตือนราชสำนักว่านี่ไม่ใช่ทัพกบฏธรรมดาก็เพื่อจะหาทางบีบให้ข้าไปหยางโจว ข้าตงิดใจว่าเป้าประสงค์ของคนผู้นั้นต้องไม่ใช่เล็กๆ”
กู้หมิงเค่อฟังจบไม่เอ่ยคำ นิ่งเงียบครู่หนึ่งค่อยพลันถาม “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าคนชักใยไม่ใช่หลี่สวี่”
“เขา?” หลี่เจาเกอหัวเราะเยาะเบาๆ “เขามีสมองเช่นนี้หรือ หากไม่ใช่มีผู้อื่นมาหนุนหลังเขา เกรงว่าเขาคงไม่กล้าแม้แต่จะต่อต้านฝ่าบาท”
ฮ่องเต้หญิงอู่จ้าวกล่าวได้ว่าเป็นฝันร้ายสำหรับบุตรธิดาทุกคนของเกาจงฮ่องเต้ เพียงเอ่ยถึงอู่จ้าว อย่าว่าแต่หลี่ไหวเลย แม้แต่หลี่สวี่กับหลี่เจินก็ตัวสั่นงันงก เมื่อนึกถึงหลี่เจิน หลี่เจาเกอก็เอ่ยว่า “หลี่สวี่ไปถึงหยางโจวแล้ว หลี่เจินก็น่าจะอยู่ที่นั่นเช่นกัน ส่วนชายาของหลี่สวี่กับราชบุตรเขยของหลี่เจินคงมีเคราะห์มากกว่าโชคแล้วใช่หรือไม่”
ในใจกู้หมิงเค่อมั่นใจอย่างยิ่ง ตามความเข้าใจที่เขามีต่อคนผู้นั้น ชายาอู๋อ๋องกับเฉวียนต๋าต้องมีอันเป็นไปแล้วแน่นอน ทว่าเปลือกนอกเขากลับยังคงปฏิเสธเรียบๆ เย็นๆ “ไม่เคยได้รับรายงานจากเมืองโซ่วโจวและเมืองหยวนโจว ข้าก็ไม่อาจรู้ได้”
หลี่เจาเกอเอนพิงโต๊ะ พิศมองเขาด้วยนัยน์ตางามดำขลับ “ท่านไม่รู้?”
กู้หมิงเค่อไม่ตอบ กลับย้อนถาม “ข้าจะรู้ได้จากที่ใดเล่า”
เขาไม่ยินดีจะยอมรับ นางก็ไม่แข็งขืน เพียงถอนใจก่อนมองผาดๆ ไปยังเปลวเทียนที่โลดเต้น “เป็นใครกันแน่ อีกไม่ช้าก็จะได้รู้แล้ว”