เซียวซูเฟยบอกว่าชาติหน้าจะขอเกิดเป็นแมวมาล้างแค้นเทียนโฮ่ว ขืนคนในวังยังเลี้ยงแมว ไม่ใช่ติว่าตนเองอายุยืนไปหรือไร ต่อมาฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วย้ายราชธานีมานครลั่วหยาง พำนักหลายปีเข้าเรื่องราวของอดีตหวังฮองเฮากับเซียวซูเฟยก็ค่อยๆ เลือนรางลง ทว่าข้อห้ามเลี้ยงแมวในวังยังคงสืบทอดต่อมา
หลี่เจาเกอไม่ยี่หระกับคำกล่าวเรื่องภูตผีปีศาจเหล่านี้ แต่ในเมื่อเทียนโฮ่วไม่อยากเห็นแมว หลี่เจาเกอก็ไม่มีความจำเป็นต้องขัดใจเทียนโฮ่ว นางมองไปทางพงหญ้าก่อนเอ่ย “ไปหาส้มมาจำนวนหนึ่ง รมด้วยกลิ่นเปลือกส้ม แมวจรก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้แล้ว”
พวกสาวใช้ขานรับ รีบไปหาส้มที่โรงครัว หลี่เจาเกอปล่อยมู่ลี่ลง หันกลับมาเห็นม้วนเอกสารก็เริ่มยุ่งยากใจอีกครา
นางถอนใจยาว หลับตาขบคิดช้าๆ “วันที่สามสิบเดือนสอง วันที่สิบสองเดือนสาม วันที่ยี่สิบสี่เดือนสาม…ที่แท้มีอะไรเกี่ยวข้องกันนะ”
สาวใช้เข้ามาเปลี่ยนน้ำชา ได้ยินเสียงหลี่เจาเกอจึงกล่าวว่า “องค์หญิงเพคะ ทรงหาความเกี่ยวข้องของวันเหล่านี้อยู่หรือ นั่นง่ายดายยิ่ง วันเหล่านี้ล้วนห่างกันสิบสองวัน”
หลี่เจาเกอลืมตาทันใด สาวใช้ถูกสายตาของเจ้านายมองจนสะดุ้ง พูดจาติดขัด “องค์หญิง หม่อมฉันพูดผิดไปหรือ…”
หลี่เจาเกอจ้องอีกฝ่ายอยู่เป็นนานคล้ายครุ่นคิดอันใดอยู่ “นี่ก็เป็นวิธีคิดอย่างหนึ่ง หรือจะเกี่ยวข้องกับสิบสอง?”
สาวใช้ถือกาน้ำร้อน คุกเข่าอยู่ข้างตั่งในอาการตัวสั่น ไม่รู้จะทำเช่นไรดี จวบจนหลี่เจาเกอดึงสติคืนมา โบกมือบอกสาวใช้ที่ตกใจแทบแย่นั้นว่า “หมดเรื่องแล้ว เจ้าออกไปได้ เดี๋ยวก่อน หยิบปฏิทินมา”
เช้าวันรุ่งขึ้น สีท้องฟ้าเพิ่งฉาบแสงอรุณอ่อนๆ ขุนนางเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ทยอยเข้าประตูที่ทำการแล้ว ขณะพวกเขากล่าวทักทายกันยามเช้าก็พลันเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งเดินปราดเข้ามา ถามแสกหน้าว่า “กู้หมิงเค่อเล่า”
บรรดาขุนนางเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่อึ้งงันไปชั่วครู่ จากนั้นขุนนางผู้หนึ่งจึงชี้มือตอบ “รองตุลาการอยู่ที่เรือนฉงกวงพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เจาเกอไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกชายชุดเดินรี่ไปยังเรือนฉงกวงทันที คนศาลต้าหลี่ตะลึงมองเงาหลังของนางพลางถามกันไปมา “องค์หญิงเซิ่งหยวนทรงเป็นอะไรน่ะ เหตุใดเสด็จมาหารองตุลาการตั้งแต่เช้าตรู่”
“ไม่รู้สิ เมื่อวานกองงานปราบปีศาจเพิ่งแย่งคดีของศาลต้าหลี่ไป รองตุลาการอารมณ์เย็น ไม่ได้ถือสาหาความ ไฉนวันนี้องค์หญิงเซิ่งหยวนยังเสด็จมาหาเรื่องกันอีก”
หลี่เจาเกอสาวเท้าวิ่งมาถึงหน้าเรือนประจำตำแหน่งรองตุลาการ แล้วผลักเปิดประตูโถงด้วยฝ่ามือเดียว “กู้หมิงเค่อ!”
ประตูโถงกระแทกกับผนังบังเกิดเสียงปังดังสนั่น กู้หมิงเค่อกำลังเขียนอักษร เสียงดังเพียงนี้ยากนักที่นิ้วมือของเขาจะไม่สั่นแม้แต่น้อย
ข้อมือเขาตั้งตรงยกค้างอยู่ ปากถามโดยไม่เงยหน้า “เป็นอะไรไป”
หลี่เจาเกอไม่รู้สึกสักนิดว่าอยู่ในถิ่นของผู้อื่นต้องสำรวม นางเดินฉับๆ เข้าไปในโถง นั่งพรวดแล้วโพล่งว่า “ข้ารู้แล้วสามคดีนี้มีความเกี่ยวพันอะไรกัน”
กู้หมิงเค่อถามหน้านิ่ง “ท่านหมายถึงคดีที่จวนของหานกั๋วฟูเหรินเมื่อวานหรือ คดีนี้โอนย้ายไปที่กองงานปราบปีศาจแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับศาลต้าหลี่ ท่านมาหาข้าเพื่อพูดอันใดเล่า”
หลี่เจาเกอเชิดคิ้ว ความอดทนค่อยๆ ถูกใช้หมดสิ้น “ท่านจะฟังหรือไม่ฟัง”
กู้หมิงเค่อวางพู่กันลง จัดแต่งแขนเสื้อก่อนตอบ “ว่ามาสิ”
หลี่เจาเกอรีบปลุกพลังเล่าสิ่งที่นางค้นพบ “ที่แท้…สามคดีนี้มีความลับอีกอย่าง ผู้ตายทั้งสามคนดูคล้ายไม่มีความเกี่ยวพันกันเลย ความจริงวันตายของพวกนางล้วนห่างกันสิบสองวัน เมื่อวานข้าตรวจปฏิทินแล้ว ค้นพบว่าสามวันนี้ล้วนเป็นวันจื่อ”
นางกล่าวจบก็มองเขาอย่างเฝ้ารอ เขาสบตานาง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามว่า “ท่านคิดมาทั้งคืน คิดออกแค่เรื่องนี้?”
หลี่เจาเกอสีหน้าไม่ชอบใจ “ท่านรู้แต่แรกแล้ว?”
“เรื่องที่เด่นชัดเพียงนี้ข้านึกว่าท่านเดาออกตั้งแต่ได้ยินวันที่เสียอีก” กู้หมิงเค่อถอนใจ “วันหน้าหมั่นอ่านตำรา ฟังพวกเรื่องเลอะเทอะให้น้อย”
หลี่เจาเกอชะงักไปพริบตาเดียวก็ถูกกระตุ้นโทสะ ลุกพรวดอย่างโกรธเกรี้ยว ไม่อยากกระทั่งจะพูดกับกู้หมิงเค่ออีก น่าแค้นนัก ดูถูกใครน่ะ นางจะไขคดีนี้ให้เขาดูให้ได้!
เจ้าหน้าที่จากด้านนอกวิ่งเหยาะมาเพื่อแจ้งข่าวแก่กู้หมิงเค่อ ตอนใกล้ถึงโถงพลันเห็นองค์หญิงเซิ่งหยวนออกมาในอาการดุดัน เขาจึงสะดุ้งโหยง หยุดฝีเท้าทันใด ทว่ายังคงหวิดจะชนถูกตัวนาง โชคดีนางถอยหลังหนึ่งก้าวหลบเขาได้ทันท่วงที เขาเพิ่งจะยืนได้มั่นคงก็รีบกล่าวขอขมานาง “องค์หญิงทรงอภัยด้วย กระหม่อมไม่รู้ว่าประทับอยู่ในโถง”
เขาใจสั่นขวัญผวากลัวจะล่วงเกินองค์หญิงที่ตอแยไม่ได้ผู้นี้เข้า ทว่านางยังไม่ได้พูดอันใดเลย กลับเป็นรองตุลาการกู้ออกจากโถงมามองเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าทำอันใด ไยจึงแตกตื่น”
เจ้าหน้าที่ถูกสายตาของรองตุลาการกู้ทำให้หนาวสั่น ก่อนดึงสติคืนมา รีบทำความเคารพก่อนตอบ “เรียนรองตุลาการ ทูลองค์หญิง ในวังเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
ความจริงหลี่เจาเกอไม่ได้ถือสาที่เจ้าหน้าที่ล่วงเกิน แต่พอนางได้ยินถ้อยคำนี้ก็เลิกคิ้วถาม “เกิดอะไรขึ้น”
“เทียนโฮ่วจะพระราชทานคู่ครองแก่องค์หญิงอี้อัน กำหนดเป็นองครักษ์ประตูวังนามเฉวียนต๋า”
นัยน์ตาของหลี่เจาเกอสั่นไหวนิดๆ ถามทั้งที่รู้แก่ใจ “องค์หญิงอี้อันเป็นผู้ใดกัน”
“บุตรีของเซียวซูเฟยพ่ะย่ะค่ะ”