บทที่ 88 องค์หญิงอี้อัน
สองวันนี้ข่าวเกี่ยวกับรัชทายาทและเทียนโฮ่วแพร่สะพัดไปทั่ว ทุกแห่งในราชสำนักล้วนถกกันเรื่องรัชทายาทออกหน้าให้หลี่เจินบุตรีของเซียวซูเฟยจนยั่วโทสะเทียนโฮ่วและถูกนางก่นด่า
คำนินทาเฉกเช่นลูกหิมะที่ยิ่งกลิ้งยิ่งโต เทียนโฮ่วกดหัวบุตรีคนโตของฮ่องเต้ ไม่แต่งตั้งตำแหน่ง ไม่ให้แต่งงาน เรื่องนี้เป็นที่ครหาในหมู่ขุนนางราชสำนักแต่แรก เพียงแต่เมื่อก่อนไม่มีคนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ผู้คนจึงค่อยๆ ลืมเลือนไป บัดนี้ในเมื่อรัชทายาทออกหน้า เหล่าขุนนางย่อมไม่นิ่งดูดาย
ไม่ช้าทางฮ่องเต้ก็ทราบเรื่อง เทียนโฮ่วชิงชังบุตรธิดาของเซียวซูเฟย ทว่าสำหรับฮ่องเต้แล้วนี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์เช่นกัน ในอดีตพระองค์มีบุตรธิดากับเซียวซูเฟยถึงสองคน เห็นได้ว่าเคยโปรดปรานนางจากใจจริง
ยามนี้เทียนโฮ่วข่มเหงบุตรชายหญิงของพระองค์อย่างโจ่งแจ้ง พระองค์ย่อมไม่อาจแสร้งหูหนวกเป็นใบ้ต่อไป ปรากฏว่าขุนนางราชสำนักยังไม่ทันมาประท้วงต่อหน้าพระองค์ เทียนโฮ่วก็ชิงสยบผู้คนก่อน
เช้าตรู่เทียนโฮ่วเรียกประชุม บอกว่าเฉวียนต๋าองครักษ์หน่วยอี้เว่ย ประจำประตูหมิงเต๋อจงรักภักดี ห้าวหาญเที่ยงธรรม รูปโฉมองอาจ มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ชนชั้นสามัญ เทียนโฮ่วสอบถามได้ความว่าบรรพชนของเฉวียนต๋าก็เป็นตระกูลขุนนาง รุ่นปู่เคยเป็นผู้ว่าการมณฑลฉีโจวปลายราชวงศ์เหนือใต้ เทียนโฮ่วชื่นชมคนผู้นี้อย่างยิ่ง ประจวบกับเฉวียนต๋ายังไม่ได้แต่งงานจึงยกหลี่เจินบุตรีคนโตของฮ่องเต้แก่เฉวียนต๋า สั่งให้ฝ่ายราชเลขาธิการร่างพระราชโองการพระราชทานสมรสทันที ให้เข้าพิธีในเร็ววัน
หลี่เจินอยากออกเรือนนักไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเทียนโฮ่วก็ขอตอบสนองนาง ให้นางได้ออกเรือนไปกับองครักษ์เฝ้าประตูวังเสียเลย
เมื่อพระราชโองการฉบับนี้ออกมา คนมากมายล้วนไม่รู้ว่าควรแสดงท่าทีเช่นไรดี เทียนโฮ่วในฐานะมารดาใหญ่ของหลี่เจินย่อมมีสิทธิ์จัดการงานแต่ง เฉวียนต๋าเข้าหน่วยอี้เว่ยได้ ภูมิหลังของบรรพชนต้องไม่เลวแน่ แต่งองค์หญิงไม่นับว่าขาดคุณสมบัติ แต่…หากบอกว่าหลี่เจินได้แต่คู่กับองครักษ์เท่านั้น นั่นก็เป็นวาจาเหลวไหลแล้ว
ไม่พูดอื่นไกล เพียงพูดถึงหลี่ฉังเล่อบุตรีของเทียนโฮ่วเอง ว่าที่สามีเผยจี้อันเป็นบุตรสายตรงคนโตของตระกูลขุนนางใหญ่ มารดาเป็นบุตรีสายตรงของสกุลจ่างซุนที่เรืองอำนาจ ตัวเขาเองอยู่ในเมืองหลวงก็ได้รับสมญานามคุณชายหน้าหยก เฉวียนต๋าเปรียบกับเผยจี้อัน ไม่ว่าด้านภูมิหลังวงศ์ตระกูลหรือความสามารถส่วนตัวล้วนเทียบกันไม่ได้เลย
เทียนโฮ่วเลือกเฟ้นคัดสรรเผยจี้อันให้บุตรีของตนเอง แต่กลับชี้นิ้วส่งๆ เลือกองครักษ์หน้าประตูให้บุตรีของเซียวซูเฟย หากบอกว่าเทียนโฮ่วไม่ได้เจตนาระบายแค้น อย่าว่าแต่ขุนนางใหญ่เลย แม้แต่หลี่เจาเกอเองก็ไม่เชื่อ
ทว่าความเหนือชั้นของเทียนโฮ่วอยู่ตรงที่…ผู้คนรู้ทั้งรู้ว่านางใช้อำนาจโดยมิชอบ แต่กลับหาประเด็นโจมตีไม่พบทั้งสิ้น ถึงอย่างไรเฉวียนต๋าก็เพียงฐานะไม่สูงเท่าราชบุตรเขยอื่นเท่านั้น แต่งองค์หญิงใช่ว่าทำไม่ได้
เทียนโฮ่วคลี่คลายวิกฤตที่ตนจะถูกกล่าวโทษลงได้อย่างง่ายดาย ทั้งทำให้สายเซียวซูเฟยกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและยังเป็นการสั่งสอนรัชทายาทอย่างหนักหน่วง เรียกได้ว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกถึงสามตัว ตอนหลี่เจาเกอเข้าไปถึงวังชั้นในมีหลายคนยืนอยู่ในตำหนักเหวินเฉิงแล้ว ฮ่องเต้ รัชทายาทกับชายา หลี่ฉังเล่อ หลี่ไหว รวมถึงหลี่เจินล้วนอยู่ที่นั่น
หลี่เจาเกอแสดงท่าทีให้บ่าวหน้าตำหนักไม่ต้องรายงาน จากนั้นก็ก้าวเข้าประตูไปยืนข้างผนังเงียบๆ ฟังเทียนโฮ่วเอ่ยกับหลี่เจินปนยิ้มละไม “แต่แรกมาข้าก็ห่วงพะวงเรื่องสำคัญชั่วชีวิตของเจ้า ทว่าจนใจนัก พักก่อนราชสำนักงานยุ่งจนเจียดเวลาไม่ได้เรื่อยมา วันนี้คนอยู่กันครบพอดี ข้าจะกำหนดเรื่องมงคลกับชื่อตำแหน่งของเจ้าต่อหน้าทุกคนเสียเลย คนเราสำคัญที่สุดก็คือสงบเสงี่ยมรู้จักประมาณตน เจ้าอาวุโสที่สุดในหมู่บุตรีของฝ่าบาท ยิ่งพึงตระหนักในหลักเหตุผลข้อนี้ ข้าจะประทานชื่อตำแหน่งแก่เจ้าว่าอี้อันแล้วกัน”
ชื่อตำแหน่งนี้เต็มไปด้วยการประชดประชันโดยแท้ อักษร ‘อี้-คุณธรรม’ คือคำประชดว่าหลี่เจินเสี้ยมสอนรัชทายาท ไร้คุณธรรมไม่ภักดี อักษร ‘อัน-สงบ’ คือคำประชดว่าหลี่เจินคิดการเพ้อฝัน ไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัว
หลี่เจินคุกเข่าอยู่กลางโถงตำหนัก หลุบตาโขกศีรษะให้เทียนโฮ่ว “ขอบพระทัยเทียนโฮ่วเพคะ”
“เจ้าเป็นบุตรีข้า กล่าวขอบคุณอะไรกับข้าเล่า” เทียนโฮ่วคลี่ยิ้มน้อยๆ มองไปทางหลี่เจิน “ก่อนนี้ข้าหักใจให้เจ้าออกเรือนไปไม่ได้ มัวคิดว่าจะรั้งเจ้าไว้อีกสักปีสองปี เกือบละเลยไปว่าบุตรีเติบใหญ่ไม่เหมาะจะรั้งไว้ รั้งไปรั้งมาจะกลายเป็นเคืองแค้นกันได้ ช่างเถิด บุตรีโตแล้วอย่างไรก็ต้องจากบ้านไป ข้าเห็นว่าเฉวียนต๋ารูปโฉมองอาจสมกับเจ้ายิ่งนัก จึงเรียกเจ้ามาสอบถามความเห็น หลี่เจิน ให้เฉวียนต๋าเป็นราชบุตรเขยของเจ้า เจ้ายินดีหรือไม่”