นับแต่ถูกเทียนโฮ่วเรียกตัวมา เฉวียนต๋าก็มึนงงโดยตลอด กระทั่งได้ยินเทียนโฮ่วเอ่ยนาม เขาจึงสะดุ้งสุดตัว คุกเข่าลงโดยจิตใต้สำนึก บังเกิดเสียงทุ้มทึบดังตุ้บ ได้ยินชัดเป็นพิเศษในโถงที่กว้างใหญ่ หลี่ฉังเล่อทนดูไม่ได้ต้องเบนสายตาด้วยความรังเกียจ
หยาบกระด้างเช่นนี้จะสมเป็นราชบุตรเขยได้อย่างไร หากให้หลี่ฉังเล่อแต่งกับคนพรรค์นี้ นางมิสู้ตายไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
หลี่เจินก้มหน้างุด นิ้วมือขยุ้มกระโปรงแน่น ผ่านไปชั่วครู่ค่อยยกมือเสมอหน้าผาก หมอบคำนับอย่างนอบน้อม “ลูกยินดี ขอบพระทัยเทียนโฮ่วเพคะ”
หลี่เจาเกอลอบถอนใจ เทียนโฮ่วแสดงชัดว่ากำลังหยามหมิ่นหลี่เจิน หลี่เจินฝืนกล้ำกลืนได้ นับว่าไม่ง่ายดาย เพียงแต่หัวจิตหัวใจแค่เท่านี้ยังคงห่างชั้นกับเทียนโฮ่วอีกไกล
เทียนโฮ่วนั่งสูงอยู่บนเก้าอี้หงส์ แย้มยิ้มเอ่ยว่า “เจ้ายินดีก็ดีแล้ว แม้การแต่งงานขึ้นอยู่กับคำสั่งของบิดามารดาและวาจาของแม่สื่อ แต่สุดท้ายก็ต้องให้พวกเจ้ายินยอมเองจึงจะได้ ข้าเสาะหาคู่ครองให้เจ้าในเวลากระชั้นชิดไปสักหน่อย จริงอยู่เฉวียนต๋าเป็นคนเก่งผู้หนึ่ง ทว่าหากเสาะหาเพิ่มอย่างละเอียดอาจจะพบตัวเลือกที่เหมาะสมยิ่งกว่าก็เป็นได้ ทีแรกข้ายังกังวลว่าเจ้าจะขัดเคืองจึงคิดว่าหากเจ้าไม่ยินดี เช่นนั้นก็ชะลอการแต่งงานออกไปชั่วคราว ค่อยๆ คัดสรรบุรุษที่ดีอีกสักหลายๆ คน ตอนนี้ในเมื่อเจ้าพึงใจเองก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว เลือกวันทำพิธีมงคลเถอะ”
เทียนโฮ่วกำลังใช้วาจาฆ่าคนอย่างแท้จริง ไม่เพียงเล่นงานหลี่เจิน แต่ยังต้องการฝังความแสลงใจไว้ให้สามีภรรยาคู่นี้ทั้งชีวิต แต่ไรมาเทียนโฮ่วไม่ใช่ผู้ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำ ไม่ว่าทำสิ่งใดล้วนเตรียมการมาเสมอ ขุนนางราชสำนักหมายจะกล่าวโทษว่านางเผด็จการไม่ใช่หรือไร นางก็จะให้หลี่เจินได้แต่งงาน หากหลี่เจินเห็นพ้อง เช่นนั้นธนูดอกนี้จะยิงได้นกถึงสามตัว อุดปากฮ่องเต้ ขุนนาง และรัชทายาทได้พร้อมกัน แต่หากหลี่เจินไม่เห็นพ้อง นางก็ยิ่งมีพื้นที่ให้สำแดงฝีมือ นางปล่อยหลี่เจินให้แต่งงานแล้ว เป็นหลี่เจินไม่ยินยอมเอง ในฐานะมารดาใหญ่ผู้ ‘หวงแหนบุตรี’ ย่อมต้องคัดกรองตัวเลือกราชบุตรเขยคนถัดไปอย่างถี่ถ้วน เฟ้นหาสักสามปีห้าปีก็ไม่ใช่ปัญหา ถึงตอนนั้นจริงๆ หลี่เจินอย่าคิดหวังว่าจะได้ไปจากเรือนเยี่ยถิงเลย
หลี่เจาเกอได้สัมผัสความโหดร้ายของเทียนโฮ่วจึงลอบหลุบตา ไม่ชายสายตาไปทางหลี่เจินแม้น้อยนิด ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากระบวนท่านี้ของเทียนโฮ่วมีพลานุภาพเหี้ยมเฉียบสยบผู้คน นางกำนัลขันทีต่างเงียบปานจักจั่นในวันหนาว หลี่ฉังเล่อกับหลี่ไหวรู้ว่ามารดามีโทสะ ไหนเลยจะกล้าเปล่งเสียงใดๆ หลี่ซั่นใบหน้าซีดเผือด ก้มหน้าไม่เอ่ยคำ ชายารัชทายาทยืนอยู่หลังหลี่ซั่น เสียขวัญจนหนาวไปทั้งร่างอย่างห้ามไม่อยู่ ขณะฟังเทียนโฮ่วบนแท่นสูงใช้เสียงอันนุ่มนวลปนรอยยิ้มนั้นเป็นอาวุธ แล่เนื้อเถือหนังหลี่เจินไปทีละมีดๆ
แม้แต่ฮ่องเต้บนแท่นสูงก็มองบุตรีกับบุตรเขยที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างโดยไม่สะทกสะท้าน พระองค์ไม่ได้พบหลี่เจินมาเจ็ดแปดปีแล้ว บัดนี้มีหลี่เจาเกอกับหลี่ฉังเล่อเป็นตัวเปรียบเทียบอยู่ก่อน พระองค์ดูหลี่เจินอย่างไรก็ดูคล้ายคนแปลกหน้าผู้หนึ่ง จึงเอ่ยปากพูดเพียงว่า “ในเมื่อเทียนโฮ่วประทานสมรสแก่พวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าก็คำนับขอบคุณเถิด วันหน้าใช้ชีวิตร่วมกันให้ดีๆ อย่าได้ผิดต่อน้ำใจของเทียนโฮ่ว”
อย่าได้ผิดต่อน้ำใจของเทียนโฮ่ว? หลี่เจินฟังแล้วแสนจะเสียดแทงใจ แต่เปลือกนอกยังคงหลุบคิ้วขานรับโดยดี เทียนโฮ่วต่อบทสนทนาเนิบๆ “อี้อันอายุมากแล้ว ไม่เพียงตนเองร้อนใจ ขุนนางข้างนอกต่างก็ร้อนใจกับการแต่งงานของอี้อัน ตามความเห็นของข้า…เลือกวันมิสู้วันสะดวก สั่งสำนักดาราศาสตร์คำนวณหาวันมงคลที่ใกล้ที่สุด ให้อี้อันเร่งเข้าพิธีเถิด อี้อันออกเรือนในฐานะองค์หญิงชั้นกงจู่ เกียรติที่พึงมีห้ามขาดตกบกพร่อง ไม่ให้ผู้อื่นพูดได้ว่าข้าลำเอียงรักแต่บุตรีที่ตนเองให้กำเนิด ข้าจำได้ว่าภูมิลำเนาของเฉวียนต๋าอยู่ที่อำเภอเลวี่ยหยางเมืองเทียนสุ่ย เช่นนั้นก็ยกอำเภอเลวี่ยหยางเป็นที่ศักดินาของอี้อันแล้วกัน เป็นการสานวาสนาของพวกเจ้าสามีภรรยาพอดี”
หลี่เจาเกอฟังไปก็รู้สึกว่าความเจ้าคิดเจ้าแค้นของเทียนโฮ่วช่างสุดยอดยิ่งนัก ที่ศักดินาของหลี่เจาเกอคือเมืองจิ้นโจวแหล่งกำเนิดราชวงศ์ ของหลี่ฉังเล่อก็เป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ องค์หญิงอื่นต่อให้ไม่เป็นที่โปรดปรานก็ล้วนได้แบ่งพื้นที่ไปหนึ่งเมือง หลี่เจินกลับดีแท้ ได้แบ่งพื้นที่ไปเพียงหนึ่งอำเภอ นี่ใช่องค์หญิงชั้นกงจู่ที่ใดกัน เทียบกับเซี่ยนจู่บุตรีของจวิ้นอ๋อง ยังไม่ได้เลย