บทที่ 91 เอาคืน
ภายหลังหลี่เจาเกอกับโม่หลินหลางเดินจากมาไกล โม่หลินหลางก็ข่มใจไม่ไหว เอ่ยกับหลี่เจาเกอด้วยความรุ่มร้อน “องค์หญิง ขออภัยด้วย ข้าไม่ควรก่อเรื่องให้ท่าน…”
หลี่เจาเกอไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบก็ตัดบททันที “ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเสียหน่อย เหตุใดเจ้าต้องพูดขออภัย สมน้ำหน้าพวกเลวนั่นแล้ว เพราะไม่มีใครเล่นงานพวกเขา พวกเขาจึงได้คืบจะเอาศอกมากขึ้นทุกที เจ้าทำงานของเจ้าไปตามปกติ ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา ข้าอยากจะดูซิว่าจากนี้ไปใครยังกล้ามือไม้รุ่มร่ามอีก”
ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ โม่หลินหลางทั้งตกตะลึงทั้งสับสนอยู่บ้าง นางถูกตบตีด่าทอมาแต่เล็กจนโต บิดาผู้ให้กำเนิดด่าว่านางเป็นดาวไม้กวาด มารดาเลี้ยงด่าว่านางเป็นตัวผลาญเงิน คนบ้านใกล้เรือนเคียงหาว่านางแปลกแยกพิลึกคน ตลอดมานางตำหนิตนเองว่าเพราะนางชะตาอ่อนถูกสิ่งชั่วร้ายรังควานได้ง่ายจึงพลอยทำร้ายให้มารดาถึงแก่กรรม ต่อมานางส่งบิดาเข้าคุกด้วยมือตนเอง จริงอยู่ได้ล้างแค้นให้มารดาแล้ว แต่สกุลโม่ก็แตกฉานซ่านเซ็นเพราะนาง นางคิดว่านางอาจจะเกิดมาเป็นตัวเสนียดกระมังจึงได้นำหายนะมาให้คนรอบข้างไม่หยุดหย่อน
รวมถึงวันนี้ หากไม่ใช่เพราะนาง หลี่เจาเกอก็จะไม่เกิดเหตุขัดแย้งกับคนสกุลเดิมของชายารัชทายาท นางรู้สึกว่าตนเองอัปมงคล ถึงขั้นรู้สึกว่าตนเองไม่ควรมีใบหน้านี้ หากไม่ใช่เพราะใบหน้านี้ หลูซันหลางคงจะไม่เกิดอารมณ์ และหากไม่ใช่เพราะนางตื่นตูม เรื่องก็จะไม่บานปลายใหญ่โต ตอนแรกที่เขาลูบคลำใบหน้านาง นางควรจะอดทนไว้ใช่หรือไม่
ขณะในใจนางกำลังตำหนิตนเองพลันได้ยินหลี่เจาเกอพูดว่าไม่ใช่ความผิดของนาง นางจึงทึ่มทื่อไปทันที นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่มีคนบอกนางเช่นนี้…งดงามไม่ใช่ความผิดของเจ้า อ่อนแอไม่ใช่ความผิดของเจ้า คนที่ผิดคือพวกที่เห็นคนงามแล้วคิดไม่ซื่อ วางอำนาจข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า
ไป๋เชียนเฮ่อใช้วิชาตัวเบาทิ้งตัวลงข้างกายหลี่เจาเกอโดยไร้เสียง ก่อนถามด้วยเสียงที่กดให้เบาลง “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นหรือ”
ไป๋เชียนเฮ่อกับโม่หลินหลางแยกกันตรวจค้น เมื่อครู่ตอนโม่หลินหลางเกิดเหตุขัดแย้งกับหลูซันหลาง ไป๋เชียนเฮ่ออยู่อีกฟากของอุทยานพอดี โม่หลินหลางได้ยินเขาถามก็เม้มปากก้มหน้าเงียบ ในสถานการณ์เช่นนี้หลี่เจาเกอไม่อยากพูดมาก จึงตอบเพียงว่า “มีสุนัขไม่ดูตาม้าตาเรือ ถูกข้าสั่งสอนไปแล้ว เจ้าสุนัขนั่นเป็นน้องชายของชายารัชทายาท ประเดี๋ยวเริ่มงานเลี้ยงพวกเจ้าระวังตัวหน่อย อย่าเคลื่อนไหวตามลำพังอีก”
หากเมื่อครู่โม่หลินหลางมีไป๋เชียนเฮ่ออยู่ข้างกาย ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ไป๋เชียนเฮ่อฟังแล้วหน้าเปลี่ยนสีทันที “อะไรนะ”
โม่หลินหลางรีบดึงไป๋เชียนเฮ่อไว้พลางส่ายศีรษะสุดชีวิต “หมดเรื่องแล้ว นี่อยู่ในวังนะ อย่าได้ก่อเรื่อง ต่อไปข้าระวังมากหน่อยเป็นอันใช้ได้”
ไป๋เชียนเฮ่อมีประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชน เห็นเช่นนี้มีหรือจะเดาไม่ออกว่าเมื่อครู่เกิดอันใดขึ้น แต่เห็นแก่หน้าหลี่เจาเกอเขาจึงฝืนข่มความโกรธลงไป แต่ในใจเริ่มขบคิดแล้วว่าจะลอบเอาคืนอย่างไรดี
ชื่อเสียงเทพขโมยของเขาไม่ใช่ได้มาเปล่าๆ เวรยามที่ตระกูลชนชั้นสูงภาคภูมิใจนักหนา ในสายตาเขาไม่ต่างจากไร้ตัวตน เขาไม่ได้ถูกคุณธรรมอันใดผูกมัดเสียหน่อย หากอยากเล่นงานคนผู้หนึ่งจริงๆ รับรองว่าทำให้บ้านอีกฝ่ายอยู่ไม่เป็นสุขจนชั่วชีวิตได้แน่นอน
หลี่เจาเกอมองดูสีท้องฟ้าแวบหนึ่งก่อนกล่าว “งานเลี้ยงจะเริ่มต้นแล้ว ไปกันเถิด”
ฮ่องเต้จัดเลี้ยงคณะทูตถู่ปัวที่วังซั่งหยาง ประจวบกับวันนี้คือวันที่สิบสี่เดือนเจ็ด พระองค์จึงให้จัดเตรียมระบำไจกู ไว้ด้วย ครั้นสีท้องฟ้าเริ่มมืดเล็กน้อย เหล่านางกำนัลก็มาที่ริมตลิ่งลอยโคมลงทะเลสาบ พาให้ระลอกน้ำระยิบระยับ ผู้ร่วมงานพากันนั่งประจำที่ในศาลาริมน้ำท่ามกลางโคมดารดาษ
วันที่สิบห้าเดือนเจ็ดคือเทศกาลจงหยวน เดือนเจ็ดยังถูกราษฎรเรียกว่าเดือนผี ตามคำกล่าวของสำนักเต๋า…ซ้ำแนวทางเดิม เจ็ดวันเริ่มฟื้น เหมาะเดินหน้าต่อ ‘เจ็ด’ ถูกมองเป็นเลขแห่งการฟื้นคืน พลังธาตุหยางเสื่อมสูญไปเจ็ดวันจะฟื้นคืนมาใหม่ วันที่สิบสี่เดือนเจ็ดยิ่งเป็นวันเลขเจ็ดคู่ วันนี้ราษฎรจึงเผากระดาษเซ่นไหว้บรรพชน ในวังก็มีการจัดพิธีเซ่นไหว้เช่นกัน
ไจกูคือการทำทานอาหารเจแก่ผีไร้ญาติวิญญาณเร่ร่อนเพื่อขอให้หนึ่งปีนี้ราบรื่นร่มเย็นเป็นสุข ระบำไจกูที่ฮ่องเต้ให้จัดแสดงนั้นเป็นระบำเซ่นไหว้ ต้องร่ายรำในสถานที่ที่มีพลังธาตุอินเข้มข้น พระองค์จึงละทิ้งโถงพิธีอันหรูหรา นำพาผู้คนมาจัดเลี้ยงที่ศาลาริมน้ำ
ศาลาที่จะทำการร่ายรำหลังนั้นอยู่กึ่งกลางสุด โอบล้อมด้วยน้ำทะเลสาบ มีศาลาริมน้ำขนาดต่างๆ รายรอบทั้งสี่ทิศไปตามสภาพพื้นที่ เชื่อมต่อถึงกันด้วยทางระเบียง แขกเหรื่อจะนั่งอยู่ในศาลาริมฝั่งน้ำ ชมการร่ายรำข้ามห้วงน้ำใส ศาลาหลักซึ่งตรงกับเวทีแสดงและตกแต่งวิจิตรโอฬารก็คือตำแหน่งที่นั่งของฮ่องเต้ เทียนโฮ่ว และทูตถู่ปัว ที่นั่งแขกอื่นด้านหลังของฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วจะจัดลำดับไปตามอำนาจและความโปรดปรานที่ได้รับ รอจนศาลาหลักนั่งเต็ม ค่อยไล่ลำดับไปถึงศาลาสองฟากที่รองลงไป