ในโอกาสเช่นนี้…ตำแหน่งที่นั่งก็คือเครื่องสะท้อนถึงฐานะ ผู้ใดนั่งใกล้ฮ่องเต้ ผู้ใดลำดับที่นั่งอยู่หน้ากว่าผู้อื่น เท่านี้ก็มองออกได้ว่าช่วงนี้ผู้ใดทำตัวได้เข้าตาที่สุด ที่นั่งของหลี่เจาเกอนับว่าไม่เลว อยู่ไม่ไกลจากฮ่องเต้กับเทียนโฮ่ว ทั้งชิดราวกั้นติดกับฝั่งน้ำ มองเวทีแสดงได้อย่างสบาย ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกคนด้านหน้าบัง รอจนคนทั้งหมดนั่งตามลำดับเรียบร้อย การร่ายรำจึงเริ่มขึ้น
เหล่านักร่ายรำจากกองสังคีตสวมชุดใยกระดาษสีเขียว สวมหน้ากากสีขาว ปากท่องคำอธิษฐานต่อภูตผีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ทิศให้ปีที่จะมาถึงแคล้วคลาดปลอดภัย หลี่เจาเกอชมดูครู่หนึ่ง หางตาเหลือบผาดๆ พบว่าชายารัชทายาทเดินย่องกลับมาจากด้านนอก ยกชายกระโปรงนั่งลง อากัปกิริยาแผ่วเบายิ่ง ไม่ได้รบกวนฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วที่อยู่ด้านหน้า ทว่าไม่อาจรอดสายตาหลี่เจาเกอ
ชายารัชทายาทอำพรางสุดกำลัง กระนั้นยังคงมองออกว่าสีหน้าไม่สู้ดี ปิ่นบนศีรษะยุ่งเหยิงเล็กน้อย คล้ายเพิ่งบันดาลโทสะมา ฉุกคิดถึงหลูซันหลางที่ถูกถีบจนเหลือเพียงครึ่งชีวิต หลี่เจาเกอก็หัวเราะเบาๆ
เมื่อครู่คนสกุลหลูคงมาหาชายารัชทายาท หลี่เจาเกอไม่รู้หรอกว่าคนสกุลหลูบรรยายเรื่องราววันนี้อย่างไร แต่ดูจากสีหน้าชายารัชทายาทแล้วคงตีไข่ใส่สีให้หลี่เจาเกอไม่น้อย
ตามมุมมองของชายารัชทายาท น้องชายมาร่วมงานเลี้ยงในวังอย่างมีหน้ามีตา ปรากฏว่าพริบตาเดียวกลับกลายเป็นมีลมหายใจออกมากกว่าลมหายใจเข้า หากเป็นเพราะเรื่องใหญ่อันใดก็แล้วไปเถิด นี่ต้นเหตุกลับเป็นแค่สาวใช้นางหนึ่ง ผู้เป็นพี่สาวคนใดกันจะยอมรับได้ว่าน้องชายถูกทำร้ายจนกึ่งพิการเพียงเพราะลูบคลำสาวใช้ไปหนึ่งที
เกรงว่าชายารัชทายาทคงเคียดแค้นหลี่เจาเกอแทบตายแล้ว
หลี่เจาเกอไม่ได้ไยดีนัก นั่งตัวตรงอยู่หลังโต๊ะสำรับ กระโปรงแดงกองระพื้น ชายแขนเสื้อทับบนชายกระโปรง ทั้งดูภูมิฐานทั้งตระการตา ปิ่นระย้าบนมวยผมไม่สั่นไหวแม้สักนิด รูปโฉมงามสะกด ทว่าในดวงตาฉายความคมกริบเฉียบขาด แลมองจากระยะไกลประดุจดอกหมู่ตานแห่งแคว้น สะคราญเหนือบุปผาทั้งปวง
หญิงงามในงานนี้มีไม่น้อย บางคนมีเสน่ห์นุ่มนวลดั่งดอกท้อดอกหลี่ บางคนอ่อนช้อยดั่งดอกบัวขาว บางคนงามหวานดั่งดอกเบญจมาศป่า หลี่เจาเกอกลับคล้ายดอกหมู่ตาน ไม่ว่าผู้อื่นชอบนางหรือไม่ นางล้วนไม่ชายตาแลผู้ใด บานสะพรั่งลำพังอย่างงดงามและอหังการ
นี่ต่างหากท่วงทีซึ่งองค์หญิงแห่งแคว้นพึงมี เบ่งบานด้วยพลังอำนาจ ไม่จำเป็นต้องเหมือนสตรีอื่นที่ช่วงชิงความโปรดปรานจากผู้มีอำนาจด้วยการทำทีอ่อนหวานไร้เดียงสา เพราะ…นางเองก็คือผู้มีอำนาจ
ผู้ร่วมงานเลี้ยงไม่มากก็น้อยต่างมองไปยังที่นั่งของนาง ทั่วร่างนางทั้งบนล่างแผ่กลิ่นอายที่บ่งชัดว่า ‘ยากตอแย’ พวกเขาอุทานในความงามของนาง ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าบังอาจล่วงเกิน
สหายขุนนางสังเกตเห็นท่าทางของกู้หมิงเค่อจึงรีบยื่นหน้ามาถามเย้า “รองตุลาการ องค์หญิงเซิ่งหยวนน่ามองมากสินะ”
กู้หมิงเค่อถอนสายตาคืนมา ก่อนตอบเรียบเฉย “ข้าไม่ได้มอง”
เขาไม่ได้กำลังมองรูปโฉมภายนอกของนาง หากแต่กำลังใช้พลังวิเศษตรวจสอบอาการบาดเจ็บของนางว่าหายแล้วใช่หรือไม่ กล่าวในแง่มุมนี้เขาไม่ได้มองนางอยู่จริงๆ
สหายขุนนางจุปาก เผยแววตาที่บ่งบอกว่า…ข้าเข้าใจน่ะ “ได้ๆ รองตุลาการใจคอหนักแน่นเปิดเผย ไม่เคยหวั่นไหวต่ออิสตรี ทว่าก็ไม่แปลกหรอก หญิงงามใครไม่ชอบมองบ้างเล่า ท่านไม่ได้เห็น ชาวถู่ปัวหลายคนนั้นตาค้างไปทีเดียว นี่สิความแกร่งสง่าของไข่มุกสกาวแห่งต้าถัง”
สหายขุนนางกล่าวจบเนิ่นนานยังคงไม่ได้ยินกู้หมิงเค่อเอ่ยคล้อยตาม ครั้นหันไปเหลือบมองแล้วเห็นกู้หมิงเค่อสีหน้าราบเรียบ ทว่าแววตาดูไม่ค่อยพอใจจึงนึกไปว่ากู้หมิงเค่อถูกเขาเปิดโปงความคิด กำลังเสียหน้าจนหัวเสีย เขาไม่เก็บมาใส่ใจ อุทานต่อไปว่า “น่าเสียดายไข่มุกสกาวแม้งดงาม แต่ก็ต้องมีชีวิตรอดไปเสพรับ ได้ยินว่าวันนี้คุณชายสามสกุลหลูแค่หยอกเอินสาวใช้ข้างกายองค์หญิงเซิ่งหยวนประโยคสองประโยคก็ถูกนางเตะกระดูกหัก จุๆ อารมณ์ร้ายเช่นนี้ ต่อไปใครจะไปกล้าเป็นราชบุตรเขยของนาง”
กู้หมิงเค่อไม่ได้เปล่งเสียง สหายขุนนางชินแล้วจึงมองไปทางเวทีเพื่อชมการร่ายรำ มุมมองของพวกเขาตรงนี้เฉียงไปบ้าง ต้องชะโงกออกไปครึ่งตัวถึงจะเห็นทั่วเวทีได้ชัดเจน ชมดูไปครู่เดียวก็ได้ยินเสียงพูดของกู้หมิงเค่อแว่วมา “ไม่เคารพขุนนางที่ราชสำนักแต่งตั้ง พึงโบย ในฐานะผู้บัญชาการแม้นางใช้กำลังในวังส่งผลกระทบไม่ดีนัก แต่ก็ไม่มีสิ่งใดให้ติเตียน”
สหายขุนนางอึ้งงัน หันกลับมาอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ “รองตุลาการ ท่านว่าอันใดนะ”
“ไม่มีอันใด” กู้หมิงเค่อปรายมองมาอย่างแสนเรียบเย็น พาให้สหายขุนนางรู้สึกถึงไอหนาวที่แผ่ลามทั่วกายในพริบตา ขณะตระหนกกระวนกระวายอยู่นั้น ได้ยินกู้หมิงเค่อเอ่ยเสริมว่า “วิจารณ์พระญาติพระวงศ์เท่ากับลบหลู่เบื้องสูง หนนี้ข้าจะถือว่าไม่ได้ยิน ต่อไป…อย่าได้วิจารณ์เรื่องส่วนตัวขององค์หญิงอีก”
สหายขุนนางตกใจจนพูดไม่ออก รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างแปลกๆ ทว่าเห็นใบหน้าด้านข้างที่แลดูสูงส่งเคร่งขรึมของรองตุลาการกู้ก็รู้สึกว่าตนเองกำลังเอาความคิดของคนต่ำทรามไปวัดจิตใจของวิญญูชน เขาเกามือแก้เก้อ คิดในใจว่าตนน่าจะคิดลึกไปเอง ตำหนิรองตุลาการกู้ผิดไปจึงยักไหล่อย่างห่อเหี่ยว ไม่เอ่ยถึงเรื่องของพวกองค์ชายองค์หญิงอีก ทอดสายตากลับไปที่เวทีดังเดิม