ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ
ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ
บทที่ 9 ขอความช่วยเหลือจากจวนฝู่กั๋วกง
วันถัดมาจวนฝู่กั๋วกงส่งแม่นมคนหนึ่งมายังจวนอัครเสนาบดีอวิ๋น แม่นมผู้นั้นมายังเรือนฉี่หลัวอย่างพินอบพิเทา มอบสิ่งของที่ฮูหยินใหญ่ของจวนตนกำชับไว้ส่งให้อวิ๋นเชียนเมิ่งต่อหน้า
อวิ๋นเชียนเมิ่งให้แม่นมหมี่วางของไว้บนโต๊ะ ส่วนตนเองกลับเปิดตลับไม้ออก มองดูสมุดบันทึกหลายเล่มที่อยู่ด้านใน แล้วจึงพยักหน้าบอกให้มู่ชุนเก็บเอาไว้ รีบลุกขึ้นยิ้มบางๆ พลางกล่าว “รบกวนแม่นมแล้ว นี่รางวัลของเจ้า”
แม่นมหมี่ได้ยินก็รีบเดินเข้าไปยัดซองแดงที่เตรียมเอาไว้แล้วใส่มือแม่นมผู้นั้นทันที
ทว่าก่อนมาที่นี่แม่นมผู้นั้นก็ได้รับคำสั่งจากจี้ซูอวี่ว่าห้ามรับรางวัลจากคุณหนูอวิ๋นเด็ดขาด จึงยิ้มพร้อมกับปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “ก่อนมาฮูหยินใหญ่ได้กำชับบ่าวว่าห้ามรับของกำนัล ขอคุณหนูโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นเช่นนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ไม่ดึงดันอีก สั่งให้แม่นมหมี่เก็บอั่งเปาเอาไว้ ก่อนเอ่ยขึ้นโดยพลัน “ระยะนี้ร่างกายข้าดีขึ้นมาก กำลังคิดว่าวันนี้จะไปกราบคำนับท่านยายอยู่พอดี นอกจากนี้เชียนเมิ่งยังได้รับบุญคุณจากท่านป้าสะใภ้ ย่อมต้องไปขอบพระคุณด้วยตนเอง มิสู้แม่นมกับข้ากลับจวนฝู่กั๋วกงพร้อมกันดีกว่า”
แม่นมเห็นเช่นนี้ไหนเลยจะกล้าปฏิเสธอีก จึงรีบย่อกายแล้วก้าวเข้าไปประคองอวิ๋นเชียนเมิ่งออกจากจวนด้วยตนเอง
ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งเพิ่งจะก้าวออกไป พ่อบ้านก็ก้าวเข้าไปในเรือนเฟิงเหอแทบจะในทันที กล่าวรายงานเรื่องนี้ต่อซูชิง
ระหว่างทางอวิ๋นเชียนเมิ่งได้ถามเกี่ยวกับสภาพร่างกายของพวกเหล่าไท่จวิน แม่นมผู้นั้นก็แย้มยิ้มพลางตอบคำถามทีละข้อๆ เช่นกัน เดิมทีทั้งสองจวนก็อยู่ไม่ไกลกันนัก แค่เวลาหนึ่งถ้วยชาก็มาถึงจวนฝู่กั๋วกงแล้ว
แม่นมผู้นั้นได้สั่งให้เด็กรับใช้วิ่งกลับไปรายงานเรื่องนี้ที่จวนก่อนแล้ว เมื่ออวิ๋นเชียนเมิ่งลงจากรถม้า จวนฝู่กั๋วกงก็เปิดประตูใหญ่เอาไว้เรียบร้อย ป้าสะใภ้จี้ซูอวี่พาญาติผู้พี่ ชวีเฟยชิงมารอได้ครู่ใหญ่
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็รีบเดินเข้าไปด้วยฝีเท้าเร็วรี่ คำนับทั้งสองอย่างอ่อนช้อย กล่าวเสียงแผ่วเบา “เมิ่งเอ๋อร์คารวะท่านป้าสะใภ้ คารวะท่านพี่เจ้าค่ะ”
จี้ซูอวี่เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งมาถึงในใจย่อมยินดีปรีดายิ่ง รีบยื่นมือประคองนางขึ้นมา ยิ้มบางๆ พลางกล่าว “คนครอบครัวเดียวกันไยต้องมากพิธี เหล่าไท่จวินได้ยินว่าเจ้าจะมา นี่ก็ส่งคนมาถามตั้งหลายรอบแล้ว”
อวิ๋นเชียนเมิ่งคิดจะขอขมา แต่แขนขวากลับถูกคนกอดไว้ จึงหันหน้าไปมองน้อยๆ เห็นเพียงญาติผู้พี่ที่เมื่อครู่ยืนอยู่ข้างกายจี้ซูอวี่อย่างเชื่อฟังคล้องแขนนางขึ้นมาอย่างสนิทสนม แล้วถือโอกาสพานางเดินเข้าไปในจวนฝู่กั๋วกง
“น้องเมิ่งเอ๋อร์ พวกเราไม่ได้พบกันมาตั้งหลายปี ทุกครั้งที่มีงานเทศกาลล้วนเป็นน้องสาวต่างมารดาของเจ้ามาร่วมงาน น่าเบื่อยิ่งนัก วันนี้เห็นเจ้ามาที่นี่ ทำให้ข้าดีใจมากเลยล่ะ”
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นเด็กสาวข้างกายตนงามหมดจด ดวงตากลมโตคู่นั้นอ่อนโยนราวกับสายน้ำเหมือนป้าสะใภ้จี้ซูอวี่เป็นที่สุด ทั้งยังเห็นนางมีท่าทีสนิทสนมกับตนเองถึงเพียงนี้ ในใจพลันเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อชวีเฟยชิงอยู่หลายส่วนจึงตอบกลับยิ้มๆ ว่า “เมื่อก่อนเป็นเพราะเมิ่งเอ๋อร์ไม่รู้ประสีประสา หลีกลี้จวนฝู่กั๋วกงไปแสนไกล ต่อไปน้องจะไปมาหาสู่กับท่านพี่ให้มากขึ้น หวังว่าท่านพี่จะไม่นึกรำคาญนะเจ้าคะ”
“จะรำคาญได้เยี่ยงไร เจ้ามาได้ข้าย่อมดีใจอยู่แล้ว” ได้ยินวาจาเมื่อครู่ของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ชวีเฟยชิงก็พลันยิ้มแฉ่ง ในดวงตาทั้งสองที่หรี่ลงนิดหนึ่งเปล่งแสงวาววับเล็กน้อย พวงแก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อนิดหน่อย ความร่าเริงมีชีวิตชีวาของเด็กสาวชวนให้คนตะลึงงัน
จี้ซูอวี่เห็นพวกนางสนิทสนมกลมเกลียวกันมาก ในใจจึงเปี่ยมล้นด้วยความสุข ทั้งสามแยกกันขึ้นเกี้ยว มุ่งตรงไปยังเรือนรุ่ยหลินของเหล่าไท่จวิน
ตั้งแต่อวิ๋นเชียนเมิ่งก้าวออกจากจวนอัครเสนาบดี กู่เหล่าไท่จวินก็ได้รับข่าวคราวแล้ว จึงสั่งให้สาวใช้ในเรือนรีบเตรียมตัวต้อนรับหลานสาวที่ไม่ได้กลับมาจวนฝู่กั๋วกงหลายปีผู้นี้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้ เมื่ออวิ๋นเชียนเมิ่งถูกแม่นมหมี่ประคองลงจากเกี้ยว หน้าห้องหลักของเรือนรุ่ยหลินก็มีสาวใช้ยืนรออยู่เต็มไปหมด
ทุกคนเห็นคุณหนูที่มิได้พบหน้ามาเนิ่นนานผู้นี้ลงมาจากเกี้ยวก็รีบยอบกายคำนับอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย พูดอย่างพร้อมเพรียงว่า “บ่าวคารวะคุณหนูเจ้าค่ะ”
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นภาพเช่นนี้ก็รู้ว่าตนเองมีน้ำหนักในใจกู่เหล่าไท่จวินพอสมควร จากนั้นก็เห็นจี้ซูอวี่กับชวีเฟยชิงต่างแย้มยิ้มหน้าบาน จึงกล่าวอย่างสุขุมมั่นใจ “ลำบากทุกคนแล้ว”
ทุกคนได้ยินการตอบสนองอย่างไม่หยิ่งยโสและไม่นอบน้อมเกินไปของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ในใจก็อดเกิดความเลื่อมใสต่อคุณหนูผู้นี้ไม่ได้
“คุณหนูมาถึงแล้วหรือเจ้าคะ เหล่าไท่จวินรอท่านมาครึ่งวันแล้วเจ้าค่ะ” ยามนี้เองแม่นมอายุราวๆ ห้าสิบปีผู้หนึ่งเดินออกมาจากในเรือน นางใบหน้าแย้มยิ้ม โดยเฉพาะยามที่เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่ง ในดวงตาแฝงรอยยิ้มนั้นเปล่งประกายตื่นตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่ รีบก้าวเดินเร็วรี่เข้าไปทันที “แม่นมหนิงคารวะคุณหนู เหล่าไท่จวินเชิญท่านเข้าไปด้านในเจ้าค่ะ”
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าแม้นางจะเป็นเพียงบ่าวรับใช้คนหนึ่ง แต่สีหน้าท่าทางกลับแฝงด้วยความหยิ่งทะนง จึงรู้ว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นคนสนิทของกู่เหล่าไท่จวินเป็นแน่ จึงรีบกล่าวยิ้มๆ “รบกวนแม่นมนำทางด้วย”
คนหลายคนเพิ่งจะก้าวเข้าห้องหลักก็ได้ยินเสียงเอ่ยถามซึ่งแฝงด้วยความน่ายำเกรงเต็มเปี่ยมดังขึ้นจากด้านใน “ยายหนูเมิ่งมาแล้วหรือ”
อวิ๋นเชียนเมิ่งได้ยินก็รีบเร่งฝีเท้าเดินทะลุผ้าม่านหนาเข้าไปถึงห้องอุ่น เห็นเพียงว่าบนที่นั่งตำแหน่งประธานของห้องอุ่นนั้นมีหญิงชราในเสื้อสาบตรงสีแดงเข้มกุ๊นขอบทองนั่งอยู่ ครั้นเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินเข้ามา หญิงชราก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ด้วยความตื้นตัน ปากพูดพึมพำกับตนเอง “รั่วหลี…”
แม่นมหนิงเห็นกู่เหล่าไท่จวินจับจ้องอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างจดจ่อถึงเพียงนี้ จึงมองสำรวจอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างละเอียดลออรอบหนึ่งเช่นกัน กล่าวชื่นชมว่า “คุณหนูรูปโฉมงามสง่าภูมิฐานจริงๆ ยิ่งมีเอกลักษณ์เหมือนคุณหนูรองเมื่อก่อนมากขึ้นทุกที”
แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับก้าวปราดไปตรงหน้ากู่เหล่าไท่จวิน คุกเข่าลงอย่างหนักหน่วง กล่าวด้วยน้ำตาเอ่อคลอ “หลานคารวะท่านยายเจ้าค่ะ หลานอกตัญญู ขอท่านยายโปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ”
ครั้นเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งทำเช่นนี้ กู่เหล่าไท่จวินก็พลันขอบตาร้อนผะผ่าว รีบประคองนางขึ้นด้วยตนเองทันที เห็นนางนับวันก็ยิ่งเหมือนบุตรสาวคนรองชวีรั่วหลีดังเช่นที่แม่นมหนิงพูดก็ยิ่งเศร้าใจจนยากจะพรรณนา รวบอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้าสู่อ้อมอกโดยไม่สนใจสถานะใดๆ ทั้งสิ้น ร่ำไห้กล่าวว่า “หลานข้า เจ้าต้องลำบากแล้ว ไฉนไม่รีบมาหายายเล่า”
สาวใช้ในเรือนเห็นภาพเช่นนี้ต่างก็พากันหลั่งน้ำตาอย่างมิอาจควบคุมตนเอง เสียงร่ำไห้ดังระงมทั่วห้องอุ่นไปชั่วขณะ
จี้ซูอวี่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ หยาดน้ำตาก็คลอหน่วยในดวงตาเช่นกัน ทว่ามุมปากยังคงอมยิ้มพลางก้าวเดินเข้าไปปลอบประโลมกู่เหล่าฮูหยิน “เหล่าไท่จวิน วันนี้เป็นวันแห่งความสุข ท่านร้องไห้ไม่ได้นะเจ้าคะ”
ชวีเฟยชิงก็รีบก้าวเข้าไปด้วยเช่นกัน นางกอดกู่เหล่าไท่จวินไว้ราวกับกำลังออดอ้อน เอ่ยอย่างทะเล้นว่า “ท่านย่า พอน้องอวิ๋นมา ในสายตาท่านก็ไม่มีหลานเลยนะเจ้าคะ”
กู่เหล่าไท่จวินเห็นท่าทางแง่งอนของชวีเฟยชิงจึงหยุดร้องไห้แล้วแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะทันที ก่อนปล่อยอวิ๋นเชียนเมิ่งออก จูงมือนางมานั่งบนเก้าอี้ตัวเมื่อครู่ด้วยกัน จากนั้นสำรวจอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างละเอียดถี่ถ้วนใหม่อีกครา ครั้นเห็นว่าวันนี้นางใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง สีหน้าดียิ่ง ความพะวงในใจก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เพียงแต่ในใจยังคงทอดถอนใจอยู่บ้าง “หากรั่วหลียังมีชีวิตอยู่ เจ้าคงไม่ต้องอยู่อย่างยากลำบากเพียงนี้ เรื่องที่เฉินอ๋องถอนหมั้นครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้ว ซ้ำดันมีพ่อเลอะเลือนแบบนั้นเสียได้”
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นกู่เหล่าไท่จวินตำหนิอัครเสนาบดีต่อหน้าธารกำนัลเพื่อตนเองก็รู้ว่าเหล่าไท่จวินผู้นี้คงจะจริงใจกับตนเป็นแน่ จึงเผยใบหน้าแย้มยิ้ม กล่าวเสียงนุ่มนวล “ท่านยายโปรดระงับโทสะ เมิ่งเอ๋อร์ได้รับความรักความสงสารจากท่านยาย ท่านป้าสะใภ้ ท่านพี่ก็ถือว่าเป็นคนมีวาสนาแล้ว ขอท่านยายอย่าได้เหน็ดเหนื่อยใจเพราะเมิ่งเอ๋อร์เลยเจ้าค่ะ”
ตอนนั้นเองอวิ๋นเชียนเมิ่งเพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามีบุรุษรูปงามผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่อีกด้าน เขารูปร่างสูงสง่า รูปโฉมหล่อเหลาคมคาย แววตาเที่ยงตรงเยือกเย็น คล้ายคลึงกับชวีเฟยชิงอยู่หลายส่วน คงจะเป็นนายน้อยแห่งจวนฝู่กั๋วกง พี่ชายแท้ๆ ของชวีเฟยชิง ชวีฉางชิง
“เมิ่งเอ๋อร์คารวะท่านพี่เจ้าค่ะ” อวิ๋นเชียนเมิ่งเช็ดหยดน้ำตาบนใบหน้าออก จากนั้นยืนตัวตรงทันใด ยอบกายคำนับชวีฉางชิงอย่างอ่อนช้อย
“ไม่ต้องมากพิธี” ส่วนชวีฉางชิงกลับเงียบขรึมเหมือนกับความรู้สึกที่เขาแผ่ให้คนอื่นโดยสิ้นเชิง แม้ดวงตาจะมองญาติผู้น้องผู้นี้ด้วยความรักใคร่สงสาร ทว่าวาจาที่เอ่ยออกมากลับสั้นๆ เรียบง่ายอยู่ร่ำไป
ระหว่างที่สนทนาแม่นมหมี่ก็ยกโสมหิมะที่ตระเตรียมเอาไว้ตั้งแต่ทีแรกออกมา กล่าวอย่างนอบน้อม “เหล่าไท่จวิน นี่คือของขวัญที่คุณหนูเตรียมให้ท่านเจ้าค่ะ ขอให้เหล่าไท่จวินมีสุขเกษมดุจทะเลตงไห่ อายุยืนยาวดุจเขาหนานซาน”
กู่เหล่าไท่จวินเห็นว่าเดี๋ยวนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้เรื่องรู้ราวเอาใจใส่ผู้อื่น เจรจาพาทีสุภาพเรียบร้อยถึงเพียงนี้ ในดวงตาพลันปรากฏแววพึงพอใจ แต่ใบหน้ากลับแสร้งทำเป็นโกรธเกรี้ยวพร้อมเอ่ยว่า “เด็กโง่ ยายไม่ขาดเหลืออะไรทั้งนั้น เจ้านำกลับไปกินเองเถิด ถ้าหากไม่พอก็ส่งคนมาแจ้งป้าสะใภ้เจ้า หลานสาวของจวนฝู่กั๋วกงเราคือไข่มุกในอุ้งมือ”
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นกู่เหล่าไท่จวินปฏิเสธด้วยความจริงใจ แต่ตนเองก็มีใจกตัญญูเช่นกันจึงยิ้มบางๆ อย่างนุ่มนวลพลางกล่าว “หลายปีมานี้ท่านยายเป็นห่วงเป็นใยหลานจนว้าวุ่นใจ นี่ถือว่าเป็นใจกตัญญูเพียงเล็กน้อยของหลาน ขอท่านยายอย่าได้ปฏิเสธเลยนะเจ้าคะ”
กู่เหล่าไท่จวินเห็นนางยืนกราน ทั้งยังปลาบปลื้มที่อวิ๋นเชียนเมิ่งในวันนี้รู้ขนบมารยาทยิ่งนัก จึงยิ้มพลางสั่งให้แม่นมหนิงรับโสมหิมะไว้ หลังจากชวีรั่วหลีเสียชีวิตไปสิบกว่าปี ในที่สุดคนครอบครัวเดียวกันก็มีโอกาสนั่งสนทนาเรื่องราวในวันวานจนถึงกับลืมเวลาไปชั่วขณะ จนกระทั่งทุกคนเห็นใบหน้าของกู่เหล่าไท่จวินปรากฏแววอ่อนล้า อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงกล่าวอำลากู่เหล่าไท่จวินอย่างอาลัยอาวรณ์
เมื่อก้าวออกจากเรือนรุ่ยหลิน จี้ซูอวี่ก็ไล่ชวีเฟยชิงที่ไม่อยากแยกจากกันออกไป แล้วจึงพาอวิ๋นเชียนเมิ่งมายังเรือนที่นางอาศัยอยู่ เมื่อเรือนด้านในเหลือเพียงพวกนางแค่สองคน จี้ซูอวี่ถึงเอ่ยถามขึ้น “เมิ่งเอ๋อร์มาครั้งนี้คงมิใช่แค่มาเยี่ยมเยียนเหล่าไท่จวินกระมัง”
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าจี้ซูอวี่ดูเหมือนอ่อนแอนุ่มนวล แต่กลับมีความสามารถในการสังเกตเหนือธรรมดา จึงไม่พูดอ้อมค้อมวกวน เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานอย่างละเอียดยิบหนึ่งรอบ จากนั้นเอ่ยถามทันที “ท่านป้าสะใภ้ เมิ่งเอ๋อร์อยู่ที่จวนไร้คนช่วยเหลือเกื้อกูล จึงได้แต่ขอความช่วยเหลือจากจวนฝู่กั๋วกงเจ้าค่ะ”
จี้ซูอวี่คิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์ในจวนอัครเสนาบดีได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว หลังจากคิดไตร่ตรองในใจอย่างถี่ถ้วน พร้อมทั้งเห็นในดวงตาอวิ๋นเชียนเมิ่งแฝงเร้นด้วยความฉลาดปราดเปรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้ จึงกล่าวยิ้มๆ “เด็กดี คงจะคิดหาวิธีรับมือไว้แล้วสินะ พูดมาเถิด มีอะไรต้องการให้ป้าสะใภ้ช่วย”
เมื่อถูกจี้ซูอวี่ถามเช่นนี้ อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงกอดแขนซ้ายนางเอาไว้อย่างออดอ้อนฉอเลาะ ถือโอกาสขยับเข้าไปใกล้ข้างหูของนาง พูดแผนการที่ตนเองคิดเอาไว้แล้วออกมาเสียงเบา
ต่อให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยไม่อยากเดินทางไปเมืองซูเฉิงแค่ไหน แต่เมื่อถึงกำหนดเวลาออกเดินทาง นางก็ยังถูกอวิ๋นเสวียนจือส่งขึ้นรถม้าอยู่ดี
ครั้งนี้เพื่อปกป้องอวิ๋นรั่วเสวี่ยตลอดการเดินทาง อวิ๋นเสวียนจือจึงให้องครักษ์หลิวซึ่งคอยติดตามข้างกายตนไปคุ้มครองความปลอดภัยของนาง ยิ่งกว่านั้นซูชิงยังให้แม่นมหวังคนสนิทของตนตามอวิ๋นรั่วเสวี่ยเดินทางไปเมืองซูเฉิงด้วย
พอถึงวันที่เจ็ด แม่นมหมี่ก็นำข่าวดีมาแจ้ง “คุณหนู บ่าวรับคนผู้นั้นมาแล้ว จัดที่พักอาศัยให้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
ครั้นได้ยินดังนั้น อวิ๋นเชียนเมิ่งพลันตีสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้ารับทันที มือที่พลิกสมุดบัญชีอยู่ชะงักน้อยๆ จากนั้นกล่าวว่า “พรุ่งนี้พวกเราออกจากจวนกัน”
“เจ้าค่ะ” เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งสีหน้าหนักอึ้ง ความจนใจก็วาดผ่านในใจแม่นมหมี่ หวังแค่ว่าพรุ่งนี้พอคุณหนูเห็นหน้าคนคนนั้นจะไม่เศร้าโศกเสียใจจนเกินไป
อวิ๋นเชียนเมิ่งพลิกอ่านสมุดบัญชีที่จี้ซูอวี่ส่งมาให้ต่อ หากไม่อ่านคงไม่รู้เลยว่าตอนชวีรั่วหลีออกเรือนเมื่อปีนั้นจะมีบ้านและที่ดินมากมายปานนี้ เพื่อให้บุตรสาวมีที่พักเหนื่อยระหว่างเมืองหลวงกับเมืองซูเฉิง สกุลชวีจึงมีเรือนพักตากอากาศหนึ่งหลังไว้ทุกๆ เมืองที่อยู่ระหว่างทาง ดูท่าทางระยะนี้พวกอวิ๋นรั่วเสวี่ยคงจะพักเหนื่อยอยู่ที่เรือนพักตากอากาศของสกุลชวี ส่วนตอนนี้บ้านและที่ดินเหล่านี้อยู่ในกำมือผู้ใด เกรงว่าเป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูดก็ทราบกันทั่ว