ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ – หน้า 11 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ

ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ

บทที่ 10 แม่นมซย่าผู้จงรักภักดี

 เช้าวันถัดมาอวิ๋นเชียนเมิ่งพาแม่นมหมี่ออกจากจวนไปแค่คนเดียวเท่านั้น ทั้งสองหลบหลีกสายตาของพวกซูชิงและพ่อบ้านจ้าว นั่งบนรถม้าที่เช่ามาชั่วคราวไปยังตรอกเล็กๆ ลับสายตาซึ่งอยู่ข้างๆ หอสุราเทียนฝู สุดท้ายหยุดลงหน้าบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่ง แม่นมหมี่ยกมือเคาะประตูสามครั้ง เสียงสอบถามต่ำเบาดังมาจากด้านในทันที

“ใคร”

“ข้าเอง” แม่นมหมี่ตอบกลับเสียงเบาเช่นเดียวกัน คนที่อยู่ด้านในฟังเสียงของนางออกจึงรีบเปิดประตูใหญ่ให้ทันที

เด็กสาวหน้าตาสะสวยอายุราวสิบห้าสิบหกปีผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านใน พอเด็กสาวผู้นั้นเห็นแม่นมหมี่ก็รีบคำนับทันใด “บ่าวคารวะน้าหมี่เจ้าค่ะ”

“วันนี้แม่นมดีขึ้นบ้างไหม” แม่นมหมี่พยักหน้าให้นาง จากนั้นนำทางอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้ากลางลานบ้านเล็กๆ เดินไปพลางไต่ถามเด็กสาวไปพลาง

“ดีขึ้นเล็กน้อยเจ้าค่ะ แต่ท่านหมอบอกว่าอาการป่วยของแม่นมเรื้อรั้งมานาน เกรงว่าจะรักษาได้แต่ที่ปลายเหตุไม่อาจรักษาต้นเหตุได้” เด็กสาวผู้นั้นเห็นแม่นมหมี่เคารพนบนอบต่อหญิงสาวที่เดินอยู่ตรงหน้ายิ่งนัก แม้ในใจจะเกิดข้อสงสัย แต่ก็ตอบคำถามของแม่นมหมี่ไปตามความจริง

“เจ้าออกไปทำงานเถิด” เมื่อทุกคนมาถึงหน้าห้องหลัก แม่นมหมี่ก็ไล่เด็กสาวออกไป จากนั้นผลักประตูไม้ที่ปิดสนิทบานนั้นออก

ยามนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งถึงจดจ่อสนใจภายในห้องที่อยู่ตรงหน้า สิ่งที่โชยปะทะเข้ามาคือกลิ่นยาจีนเข้มข้นระลอกหนึ่ง ผสมปนเปกับกลิ่นยาสมุนไพร ชวนให้ทั้งสองซึ่งยืนอยู่หน้าประตูอดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้

“แค่กๆ!” ยามนี้เองเสียงไออย่างรุนแรงก็ดังออกมาจากภายในห้อง

มือที่ผ่ายผอมเห็นกระดูกข้างหนึ่งสั่นน้อยๆ ปรากฏแก่สายตาของทั้งสอง ดูเหมือนว่าคนที่อยู่บนเตียงพยายามที่จะยกถ้วยชาข้างเตียงขึ้น แม่นมหมี่เห็นดังนั้นก็รีบเดินเข้าไปประคองนางไว้อย่างระมัดระวังทันที หลังจากนั้นหยิบถ้วยชาเข้ามาวางตรงริมฝีปากนาง เอ่ยด้วยความสงสาร “พี่สาว หากท่านต้องการสิ่งใดสั่งมาได้เต็มที่เลย”

นี่เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเชียนเมิ่งได้พบแม่นมซย่า นางซึ่งมีอายุราวๆ ห้าสิบปีแต่กลับดูเหมือนหญิงชราอายุเจ็ดสิบ ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก โหนกแก้มบนใบหน้าโปดปูนออกมา บนสองแก้มมีร่องรอยของความชราปรากฏอยู่อย่างชัดเจน ผมสีขาวทั่วทั้งศีรษะยิ่งเสียดแทงดวงตาอวิ๋นเชียนเมิ่ง ใครจะคาดคิดว่าแม่นมของฮูหยินอัครเสนาบดีอวิ๋นในปีนั้นจะมาอยู่ในสภาพเช่นนี้

ร่างกายที่อยู่ใต้เสื้อผ้านั้นเปราะบางราวกับแก้ว มือแห้งเหี่ยวที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกคว้าแม่นมหมี่เอาไว้แน่น ก่อนที่แม่นมซย่าจะออกแรงพูดอย่างยากลำบาก “อย่า…อย่า…”

พอนางเอ่ยวาจาก็ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งพบถึงความผิดปกติ ฟังจากน้ำเสียงและความเร็วในการพูดของแม่นมซย่า เห็นได้ชัดว่าลิ้นได้รับบาดเจ็บ และใต้ผ้าห่มที่คลุมทับบนร่างของนาง ท่อนล่างแทบจะไม่ได้นูนขึ้นมาเลย นี่ทำให้หัวใจอวิ๋นเชียนเมิ่งพลันจมลึก ประกายหนาวเหน็บในดวงตาผุดวาบ ความโกรธแค้นที่ไม่อาจยับยั้งคล้ายกับจะพุ่งทะลุออกมาจากภายในร่างกาย

ไอหนาวเหน็บบนร่างอวิ๋นเชียนเมิ่งดึงดูดความสนใจของแม่นมซย่าได้ในที่สุด นางหันหน้ากลับมาอย่างช้าๆ เห็นสตรีในเสื้อสีเขียวกระโปรงสีขาวผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ปลายเตียง สตรีผู้นั้นสวมผ้าคลุมหน้า ทำให้นางมองเห็นรูปโฉมไม่ชัด แต่เมื่อพิศดูเรือนร่างแช่มช้อยอรชรรวมถึงท่ายืนที่เรียบร้อยภูมิฐาน คงจะเป็นบุตรหลานของตระกูลมีชื่อเสียงกระมัง

แม่นมหมี่เห็นในดวงตาแม่นมซย่าปรากฏความงุนงง พร้อมทั้งเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งพยักหน้าให้นาง จึงกระซิบเบาๆ ข้างหูแม่นมซย่าว่า “พี่สาว นี่คือคุณหนูของฮูหยิน”

เมื่อแม่นมหมี่กล่าวจบประโยคนั้น อวิ๋นเชียนเมิ่งก็เห็นแม่นมซย่าที่เดิมทีเซื่องซึมกลับหยัดกายท่อนบนขึ้นด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตาที่ว่างเปล่าคู่นั้นพลันเปล่งแววตื้นตันใจ สองมือยื่นออกไปข้างหน้าอย่างอดไม่ได้ หมายจะสัมผัสอวิ๋นเชียนเมิ่ง ปากเอ่ยร้องอย่างยากลำบาก “คุณ…หนู…คุณ…หนู…”

อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้สึกแค่ว่าจมูกแสบคัน นางรีบปลดผ้าปิดหน้าออกทันที ทันใดนั้นดวงหน้าที่คล้ายคลึงกับชวีรั่วหลีพลันปรากฏเบื้องหน้าแม่นมซย่า ทำให้อากัปกิริยาของนางยิ่งทวีความซาบซึ้งตื้นตัน จวนเจียนจะร่วงลงไปจากเตียง

อวิ๋นเชียนเมิ่งก้าวเข้าไปหาด้วยฝีเท้าเร็วรี่ ร่วมประคองนางพร้อมกับแม่นมหมี่ มองดูผมขาวโพลนของนาง ในลำคอก็พลันสะอื้นไห้ “แม่นม เมิ่งเอ๋อร์มาช้าไป”

แม่นมซย่าเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งยอมรับสถานะของตน มือทั้งสองก็คว้านางไว้แน่นทันที กล่าวอย่างยากลำบากทว่าแน่วแน่หาใดเปรียบ “บ่าว…คารวะ…คุณหนู”

อวิ๋นเชียนเมิ่งพยักหน้าอย่างแรงด้วยน้ำตาเอ่อคลอในดวงตา รีบพยุงนางให้นั่งดีๆ รับถ้วยชามาด้วยตนเอง ป้อนนางดื่มครึ่งถ้วยอย่างระมัดระวัง จากนั้นควักผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมของตนออกมาเช็ดมุมปากที่เปรอะเปื้อนหยดน้ำให้นางอย่างเอาใจใส่แล้วจึงกล่าวยิ้มๆ “แม่นม ต่อไปท่านพักรักษาตัวอย่างวางใจเถิด เมิ่งเอ๋อร์จะต้องรักษาท่านให้หายดีให้ได้”

ยามนี้แม่นมซย่าถูกทำดีด้วยจนตื่นตะลึง ต่อให้นางคิดใคร่ครวญเป็นหมื่นๆ ตลบก็คิดไม่ถึงว่าสิบกว่าปีให้หลังตนเองยังจะได้พบกับคุณหนูน้อย ยิ่งไม่คาดคิดว่าคุณหนูน้อยจะเอาใจใส่ผู้อื่นถึงเพียงนี้ นี่ทำให้นางคิดถึงชวีรั่วหลีที่ลาจากโลกนี้ไปแล้ว ทันใดนั้นความโศกศัลย์พลันเข้าเกาะกุม น้ำตาอีกหยดหนึ่งไหลรินออกมาจากหางตาที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น

อวิ๋นเชียนเมิ่งยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่หางตานางอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา ยิ้มบางๆ พลางกล่าว “แม่นม คับข้องใจอันใดก็บอกข้ามาได้เต็มที่ ข้าจะต้องให้คนใจดำอำมหิตผู้นั้นชดใช้อย่างสาสม!”

แม่นมซย่าเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้มแข็งถึงเพียงนี้ ในใจจึงพลันปลื้มปริ่ม ทว่ามิได้เอ่ยวาจาใดต่อ แต่กลับเอื้อมมือคลำควานหาของบางอย่างในเตียงนอน ก่อนจะประคองกล่องไม้ประดู่ใบหนึ่งออกมาจากใต้ผ้าห่มหลายผืนที่วางกองไว้บนเตียง มอบให้ถึงมืออวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างพินอบพิเทา จากนั้นบอกใบ้ให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเปิดออกด้วยแววตาปีติยินดี

ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งนึกฉงน แต่ก็ไม่อาจหักหาญน้ำใจของแม่นมซย่า นิ้วมือแตะสลักหยกเหอเถียน ที่กล่องเบาๆ เปิดกล่องไม้ออก

ทันใดนั้นภายในห้องพลันสว่างไสวเจิดจ้า แสงละลานตาแทบจะทำให้คนลืมตาไม่ขึ้น อวิ๋นเชียนเมิ่งจ้องมองดูเขม็ง เห็นไข่มุกทะเลใต้ขนาดเท่ากำปั้นเด็กทารกสามสิบเม็ดวางอยู่อย่างเป็นระเบียบในกล่องไม้ประดู่ใบนั้น แต่ละเม็ดล้วนวาววับเปล่งประกาย ขนาดเท่ากันทุกกระเบียดนิ้ว เรียกได้ว่าเป็นยอดสิ่งเลอค่าในหมู่มวลสิ่งเลอค่า

ตรงกลางของไข่มุกเหล่านั้นมีไข่มุกเรืองราตรีขนาดเท่ากำปั้นผู้ใหญ่เม็ดหนึ่งวางอยู่ ยามนี้แสงในห้องมืดสลัว ไข่มุกเรืองราตรีเปล่งประกายแพรวพราว เป็นสมบัติล้ำค่าที่มีค่าควรเมืองเช่นเดียวกัน

ยามนี้มือเหี่ยวแห้งข้างหนึ่งทาบทับบนมืออวิ๋นเชียนเมิ่ง แม่นมซย่ากล่าวอย่างยากลำบากพร้อมเสียงสะอื้นไห้ด้วยความยินดีเป็นล้นพ้น “นี่…คือ…ของที่…ฮูหยิน…เหลือไว้…ให้คุณหนู…ในที่สุด…วันนี้…บ่าวได้มอบ…คืนให้…เจ้าของแล้ว…”

อวิ๋นเชียนเมิ่งที่ได้รับสิ่งของเหล่านี้กลับไม่มีสีหน้าปลาบปลื้มยินดีเลยแม้แต่นิดเดียว นางเพียงปิดกล่องไม้ด้วยสีหน้าเยือกเย็น มอบใส่อกแม่นมซย่าอีกครั้ง กล่าวอย่างสงสารเวทนา “แม่นม นี่คือของที่ท่านแม่มอบให้ท่านต่างหาก”

ปีนั้นอวิ๋นฮูหยินคงจะมีความคิดสองอย่าง หนึ่งคือเก็บไว้ให้บุตรของตน แต่ถ้าหากบุตรประสบเคราะห์ภัย เช่นนั้นก็เหลือไว้ให้แม่นมซย่าใช้เลี้ยงตัวยามแก่เฒ่า

แต่คิดไม่ถึงว่าแม่นมซย่ากลับปกป้องผู้เป็นนายด้วยใจจงรักภักดี ตนเองยอมระหกระเหินตกระกำลำบากอยู่สิบกว่าปี แต่ไม่เคยแตะต้องทรัพย์สินชิ้นนี้เลย นี่ทำให้ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งเต็มตื้นไปด้วยความเวทนาสงสารและซาบซึ้งใจ

ทว่าแม่นมซย่าเองก็เป็นคนนิสัยดื้อรั้นคนหนึ่งเหมือนกัน จึงยัดกล่องไม้ใส่อกอวิ๋นเชียนเมิ่ง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมรับไป

แม่นมหมี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงเช็ดน้ำตาแล้วเดินเข้าไปโน้มน้าวคุณหนู “คุณหนู แม่นมซย่ามีความสัตย์ซื่อจริงใจ ท่านก็รับไว้เถิดเจ้าค่ะ อีกอย่างต่อจากนี้แม่นมก็มีท่านคอยดูแลแล้ว คงไม่ต้องผ่านวันคืนอันยากลำบากอีกแล้วล่ะเจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นเช่นนี้จึงพยักหน้าพลางส่งกล่องไม้ให้แม่นมหมี่ แล้วจึงสงบจิตสงบใจเอ่ยถามแม่นมซย่า “แม่นม เกิดอะไรขึ้นกับขาของท่าน หลายปีมานี้ท่านมีชีวิตผ่านมาได้อย่างไร”

แม่นมซย่าเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งถามเรื่องราวในปีนั้นขึ้นมา จึงตั้งสติและสะกดกลั้นความทุกข์ทรมานในหัวใจ ค่อยๆ เอ่ยช้าๆ “คุณหนู…ปีนั้น…ฮูหยินคลอด…แฝดชายหญิง…แต่ซูชิง…ซื้อตัวหมอตำแยไว้…พอคุณชายน้อยเกิด…ก็ถูกกดน้ำตาย…คุณหนูเป็นผู้หญิง…เลยรอดมาได้…บ่าว…ถูกพวกนางตัดลิ้น…ตัดขา…ฮูหยิน…ให้บ่าวแกล้งเป็นบ้า…ถึงหนีออกมาได้…”

พูดถึงตรงนี้ แม่นมซย่าก็น้ำตาอาบหน้าร่ำไห้สะอึกสะอื้น ทั้งร่างสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงด้วยความโกรธแค้น

ใบหน้าของอวิ๋นเชียนเมิ่งราวกับเกาะกุมไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ความเคียดแค้นในดวงตาต่อให้ทำเช่นไรก็ลบเลือนออกไปไม่หมด นางประคองร่างผอมบางของแม่นมซย่าเบาๆ เอ่ยปลอบโยนเสียงแผ่ว “แม่นม ท่านพักรักษาตัวให้ดี ความแค้นของท่านแม่ น้องชาย และท่าน ข้าจะต้องทบทวีใส่ซูชิงเป็นร้อยเท่าพันเท่า”

แม่นมซย่าได้ยินวาจาของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ในใจพลันบีบรัดแน่น ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ควรให้คุณหนูต้องมาเสี่ยงอันตรายเพราะเรื่องนี้ แต่ความแค้นของฮูหยินและนายน้อยไม่อาจไม่ชำระ

นางนึกเกลียดตนเองยิ่งนัก เกลียดที่ตอนนี้นางเป็นเหมือนกับเศษซากที่ไม่อาจช่วยเหลืออันใดได้เลย ทำได้เพียงกล่าวเตือนคุณหนูเสียงเบา “คุณหนู…ระ…วัง…อัครเสนาบดี…”

ได้ยินดังนั้น อากาศรอบตัวอวิ๋นเชียนเมิ่งราวกับถูกแช่แข็งก็ไม่ปาน ความเย็นเยียบคล้ายกำจายระลอกแล้วระลอกเล่าไม่มีที่สิ้นสุด

แม่นมซย่าไม่อยากให้คุณหนูผู้บริสุทธิ์ถูกความเคียดแค้นครอบงำจิตใจจึงเบี่ยงหัวข้อสนทนา ฉีกยิ้มออกมาพลางเอ่ยถาม “คุณหนู…เจอตัวบ่าว…ได้อย่างไร…เจ้าคะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งระงับไอหนาวเหน็บบนร่างเอาไว้ มือข้างหนึ่งตบหัวไหล่แม่นมซย่าเบาๆ เล่าชีวิตความเป็นอยู่ในช่วงหลายปีมานี้อย่างรวบรัดรอบหนึ่ง จากนั้นกล่าวเสียงนุ่มนวล “แม่นมทำใจให้สบาย รักษาตัวให้ดีๆ ภายหน้าเมิ่งเอ๋อร์ยังต้องการการค้ำจุนจากท่าน”

วาจาเอาใจใส่ของนางเช่นนี้ทำให้น้ำตาอุ่นๆ เอ่อคลอในขอบตาแม่นมซย่า ขาดก็เพียงแต่ลงไปโขกศีรษะให้อวิ๋นเชียนเมิ่งกับพื้นด้วยตนเอง

ยามนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งเก็บซ่อนความเคียดแค้นทั้งหมดทั้งมวลไว้ที่ก้นบึ้งของหัวใจ นางสีหน้าเรียบเฉย แต่ในดวงตาทั้งสองข้างที่มองไปยังแม่นมซย่ากลับเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน มือทั้งสองเลิกผ้าห่มของแม่นมซย่าออก ตรวจดูขาขวาที่ถูกตัดขาดอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ขากางเกงสีควันข้างนั้นแทบจะว่างเปล่าโหรงเหรง อวิ๋นเชียนเมิ่งไม่สนการห้ามยั้งของแม่นมซย่า เลิกขากางเกงขึ้นสูงด้วยตนเอง เห็นเพียงกล้ามเนื้อของขาขวาที่ถูกตัดทิ้งนั้นหดลีบลงเพราะไม่ได้เคลื่อนไหวมาเป็นเวลานาน ยามนี้มองดูเหลือเพียงกระดูกแท่งหนึ่งรวมถึงผิวเนื้อเล็กน้อยเชื่อมติดอยู่กับต้นขา

เมื่อเห็นภาพนี้ สองมือของอวิ๋นเชียนเมิ่งพลันกำหมัดแน่น โทสะในดวงตาลุกโชนราวกับเปลวเพลิงแผดเผา

มือเหี่ยวแห้งข้างหนึ่งปล่อยขากางเกงลงอีกครั้ง บดบังขาขวาที่น่าสยดสยองนั้นเอาไว้

อวิ๋นเชียนเมิ่งเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงแม่นมซย่าอมยิ้มมุมปาก ดึงมือเล็กของนางไว้พลางลูบปลอบไม่หยุด หว่างคิ้วและดวงตามีแต่ความสุขใจ “บ่าว…มีชีวิตอยู่…มาเจอคุณหนูได้…ถือว่า…สวรรค์…มีตาแล้ว”

อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้ดีแก่ใจว่าแม่นมซย่ากำลังเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาจึงไม่เกาะเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อยอีก ปลอบโยนนางเสียงแผ่วเบาครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าด้านนอกดึกแล้วจึงลุกขึ้นกล่าวอำลา “แม่นมอย่าได้เป็นห่วงเมิ่งเอ๋อร์ไปเลย แค่ท่านพักรักษาตัวให้ดีก็เป็นความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมิ่งเอ๋อร์แล้ว”

แม่นมซย่าน้ำตาคลอขังอีกครั้ง นางพยักหน้าแรงๆ จากนั้นจึงมองส่งอวิ๋นเชียนเมิ่งจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์

 

“อิ้งชิว มานี่ซิ” ทั้งสองเดินมาถึงภายในลานบ้าน เห็นเด็กสาวคนเมื่อครู่กำลังต้มยาอยู่ในห้องครัว อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงสั่งให้แม่นมหมี่เรียกนางเข้ามา

อิ้งชิวผู้นั้นได้ยินแม่นมหมี่เรียกจึงวางหม้อยาอย่างระมัดระวัง แล้วก้าวเท้าเร็วรี่ออกมา ทว่ายามนางเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ยังตะลึงลานไป พูดในใจว่าคาดไม่ถึงว่าบนโลกใบนี้จะมีสตรีที่รูปโฉมงามล้ำสูงศักดิ์ถึงเพียงนี้ ถึงกับทำให้คนอยากเข้าใกล้นางโดยไม่รู้ตัว

“อิ้งชิว ยังไม่คารวะคุณหนูอีก” แม่นมหมี่เห็นอิ้งชิวเอาแต่จับจ้องอวิ๋นเชียนเมิ่ง ความไม่พอใจจึงวาบผ่านในดวงตา กล่าวเตือนเสียงทุ้ม

อิ้งชิวฟังคำเตือนในวาจาของแม่นมหมี่ออกจึงรีบก้มหน้าทันใด ทำความเคารพอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างอ่อนน้อม เอ่ยเสียงแผ่วเบา “บ่าวคารวะคุณหนูเจ้าค่ะ”

ทันใดนั้นเองมือเปล่าคู่หนึ่งกลับประคองนางขึ้นมา สุ้มเสียงละมุนละไมดังขึ้นเหนือศีรษะอิ้งชิว “ไม่ต้องมากพิธี เจ้าคอยดูแลแม่นมซย่าเพียงคนเดียว ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ หากขาดเหลืออะไรก็บอกกับแม่นมหมี่ได้เลย ขอแค่เจ้าดูแลแม่นมซย่าอย่างสุดกำลัง แค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว”

อิ้งชิวรู้สึกเพียงว่าเสียงตรงข้างหูราวสายลมอ่อนๆ โชยพัดผ่าน ในสุ้มเสียงกังวาลเสนาะหูกลับระคนด้วยความสุขุมภูมิฐาน ในใจเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อคุณหนูที่ได้พบหน้าเป็นครั้งแรกผู้นี้อย่างอดไม่ได้ จึงตอบกลับเสียงแผ่วเบาว่า “คุณหนูวางใจ บ่าวจะต้องดูแลแม่นมเป็นอย่างดีแน่นอนเจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นนางสุขุมรู้ประสา ในใจจึงค่อยๆ เบาใจลงบ้าง หันหน้ากลับไปมองภายในห้องแวบหนึ่ง เอ่ยถามเสียงเบา “อาการป่วยของแม่นมซย่าเป็นอย่างไรกันแน่ มั่นใจว่าจะกลับมาเป็นปกติหรือไม่”

อิ้งชิวเห็นนางเป็นห่วงเป็นใยแม่นมซย่าจากใจจริงจึงไม่ปิดบังซ่อนเร้น บอกทุกอย่างที่ตนรู้ออกมา “อาการป่วยของแม่นมเรื้อรังมานานเกินไป โดยพื้นฐานขาขวาก็พิการอยู่แล้ว แต่โชคดีที่ลิ้นไม่ได้ถูกตัดจนขาด ยังมีโอกาสหายกลับมาเป็นปกติได้เจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นอิ้งชิวพูดหลักการทางการแพทย์อย่างชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอน จึงรู้ว่าคนที่แม่นมหมี่หามาคราวนี้ไม่เลวเลยจริงๆ จึงเพียงกำชับเรื่องต่างๆ ให้นางอีกเล็กน้อย จากนั้นสวมผ้าคลุมหน้าและพาแม่นมหมี่จากไป

 

“แม่นมไปหาอิ้งชิวมาจากที่ใดกัน” เมื่อก้าวพ้นจากลานบ้าน เห็นว่าในตรอกไร้ซึ่งผู้คน อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงเอ่ยถามขึ้นเสียงต่ำ

“เรียนคุณหนู บ่าวหาแม่นมซย่าเจอที่วัดร้างแห่งหนึ่งในเมืองเยี่ยเฉิงเจ้าค่ะ ตอนนั้นในวัดร้างมีคนแก่คนป่วยอาศัยอยู่ไม่น้อย นางหนูอิ้งชิวนั่นก็คอยดูแลพวกเขาอยู่ที่นั่นเจ้าค่ะ บ่าวถามว่าบ้านนางอยู่ที่ใด นางก็บอกว่าบิดามารดาเสียชีวิตแล้วทั้งคู่ ถูกพระอาจารย์เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก เรียนวิชาแพทย์มาเล็กน้อย เห็นว่าคนที่อยู่ในวัดร้างช่างน่าสงสารยิ่ง จึงหาเวลาว่างมารักษาพวกเขาเจ้าค่ะ” แม่นมหมี่เดินตามหลังอวิ๋นเชียนเมิ่ง เล่าที่มาของอิ้งชิวอย่างละเอียด “บ่าวตามนางไปถึงร้านขายยาเล็กๆ และได้สั่งให้คนไปสืบข่าวคราวนาง บิดามารดานางล้วนเสียชีวิตและถูกคนเก็บไปเลี้ยงจริงๆ เจ้าค่ะ จากนั้นจึงปรึกษากับพระอาจารย์ของนางแล้วพานางกลับมาด้วย”

“นางก็เห็นด้วย? ไม่ได้ถามเหตุผลหรือ” นี่เป็นจุดที่ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเคลือบแคลง

เด็กเป็นสาวเป็นแส้ผู้หนึ่งจะยินดีไปกับคนแปลกหน้าได้อย่างไร

“บ่าวถามนางว่ายินดีไปเรียนวิชาแพทย์ที่เมืองหลวงหรือไม่ ยายหนูนั่นก็พยักหน้าเจ้าค่ะ หลายวันมานี้บ่าวเองก็แอบสังเกตดูเหมือนกัน ยายหนูนี่ชอบเรียนแพทย์จากใจจริงๆ จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ” แม่นมหมี่รายงานตามความจริง

อวิ๋นเชียนเมิ่งผงกศีรษะแล้วไม่เอ่ยวาจาใดอีก

เมื่อกลับมาถึงจวนอัครเสนาบดีอวิ๋น อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับสั่งว่า “แม่นม นำไข่มุกเม็ดหนึ่งจากในกล่องไม้ประดู่ไปจำนำที่โรงจำนำอวี้จยา ร้านนั้นจะให้ราคาอย่างสมเหตุสมผล”

ได้ยินดังนั้น แม่นมหมี่ก็ตะลึงลานไปอีกครา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหักใจให้ของที่ฮูหยินหลงเหลือเอาไว้ถูกจำนำทิ้งไปได้ จึงรีบเอ่ยทัดทาน “คุณหนู ทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ! นั่นเป็นของที่ฮูหยินเหลือไว้ให้ท่านนะเจ้าคะ แม่นมซย่าทุกข์ระกำลำบากมามากมายเพื่อมอบมันให้กับท่าน ท่านจะเอาไปจำนำไม่ได้นะเจ้าคะ!”

พูดจบแม่นมหมี่ก็คิดจะคุกเข่าลง

มือเปล่าข้างหนึ่งพยุงแขนของแม่นมหมี่เอาไว้ ขัดขวางท่าคุกเข่าของนาง แม่นมหมี่แหงนศีรษะมองอีกฝ่ายด้วยน้ำตานองหน้า แต่กลับเห็นดวงตาอวิ๋นเชียนเมิ่งเรียบเฉยจนน่ากลัว ในแววตาที่ล้ำลึกมองไม่เห็นก้นบึ้งนั้นปรากฏความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ที่หนาวเหน็บเย็นเยียบจนถึงขั้นชวนให้คนประหวั่นพรั่นพรึง

ทว่าคำตัดสินใจอย่างไม่ยอมให้ใครคัดค้านของอวิ๋นเชียนเมิ่งค่อยๆ ดังขึ้นที่ข้างหู “แม่นม สิ่งของเป็นสิ่งที่ตายไปแล้ว แต่คนสิยังมีชีวิตอยู่ หากพวกเราอยากอยู่ในจวนอัครเสนาบดีเสมือนปลาได้น้ำ การซื้อใจคนก็คือก้าวแรก ถึงตอนนี้หลิ่วอี๋เหนียงรับใช้ข้าอย่างสุดจิตสุดใจ แต่ข้าก็ต้องมอบผลประโยชน์ให้นางบ้าง ถึงแม้ท่านยายจะเอ็นดูข้ามากเป็นพิเศษ แต่ข้าก็ต้องปฏิบัติกับคนรอบกายนางเป็นอย่างดีเหมือนกัน ยิ่งเป็นบุคคลที่ไม่โดดเด่นสะดุดตายิ่งมักเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องราวต่างๆ นอกจากนั้นโรงจำนำอวี้จยาก็เป็นโรงจำนำหลวงของราชสำนัก มีชื่อเสียงของราชวงศ์เป็นหลักประกัน พวกเราไม่ขาดทุนแน่ ภายหลังก็ยังสามารถไถ่ไข่มุกเม็ดนี้กลับคืนมาได้ ซ้ำโรงจำนำแห่งนี้ยังเก็บข้อมูลผู้ที่มาจำนำของไว้เป็นความลับ คนนอกไม่มีทางรู้ฐานะของพวกเราได้ เช่นนี้ทางท่านพ่อและท่านยายก็จะไม่รู้ว่าในมือพวกเราครอบครองสิ่งใดบ้าง ข้าคิดว่าต่อให้ท่านแม่เห็นข้าทำอย่างนี้ก็คงจะเห็นด้วยเช่นกัน”

แม่นมหมี่ฟังการวิเคราะห์ของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ความไม่ยินยอมในตอนแรกก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเห็นด้วย สุดท้ายถึงกับกล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหว “คุณหนู บ่าวจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าพอนางคิดตกแล้วก็ถึงกับใจร้อนเช่นนี้ ในใจจึงพลันขบขัน ดึงตัวนางเอาไว้ “ยามนี้โรงจำนำอวี้จยาปิดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปเถิด พอได้เงินมาแล้ว ให้นำเงินสองพันตำลึงไปแลกเป็นเศษเงินสิบตำลึง ส่วนที่เหลือแลกเป็นตั๋วเงินมูลค่าร้อยตำลึงและห้าสิบตำลึง”

แม่นมหมี่ตั้งอกตั้งใจฟังวาจาของอวิ๋นเชียนเมิ่ง จดจำเรื่องเหล่านี้ไว้อย่างละเอียด แล้วจึงพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com