ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ
ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ
บทที่ 11 ถูกใจฉู่เฟยหยาง
อวิ๋นรั่วเสวี่ยออกไปจากเมืองหลวงเป็นวันที่สิบแล้ว หลังได้รับข่าวที่องครักษ์หลิวส่งมา อวิ๋นเชียนเมิ่งก็รีบนั่งรถม้าของจวนอัครเสนาบดีมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองเพื่อรอรับฮูหยินผู้เฒ่าสกุลอวิ๋น
กระทั่งยามเที่ยงถึงเห็นรถม้าจวนอัครเสนาบดีอวิ๋นค่อยๆ เคลื่อนเข้าสู่สายตาของทุกคน
องครักษ์หลิวเห็นรถม้าของจวนตนหยุดอยู่ตรงหน้าประตูเมืองจึงยกมือบอกเป็นสัญญาณให้หยุดรถ ผ่านไปครู่หนึ่งก็เห็นมู่ชุนประคองอวิ๋นเชียนเมิ่งที่สวมผ้าคลุมหน้าเดินมาทางรถม้าคันแรก หลังจากเข้าไปในรถม้า อวิ๋นเชียนเมิ่งถึงปลดผ้าคลุมหน้าบนศีรษะออก ทันใดนั้นก็เห็นหญิงชราซึ่งสวมเสื้อกั๊กผ้าสองชั้นสีเมล็ดข้าวขลิบขอบด้วยขนเตียว กระโปรงยาวลายเมฆสีแดงเข้ม นั่งอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ตรงกลาง ส่วนสองด้านข้างกายนางมีบุรุษหนุ่มสองคนกับเด็กสาววัยยังไม่ออกเรือนคนหนึ่งแบ่งกันนั่งอยู่ เห็นท่าทางก็ดูออกได้ไม่ยากว่าพวกเขาคงจะเป็นหลานๆ ของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นแน่
บนพื้นตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่ามีเบาะรองวางเอาไว้แล้ว อวิ๋นเชียนเมิ่งคุกเข่าลงบนนั้นทันที โขกศีรษะให้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม จากนั้นเอ่ยเสียงเบา “หลานคารวะท่านย่าเจ้าค่ะ ขอท่านย่าจงมีแต่ความสุข”
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าค่อนข้างเฉยเมย เพียงแค่พยักหน้าน้อยๆ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ลำบากเจ้าแล้ว ลุกขึ้นนั่งเถิด”
“นี่คือพี่อี้เหิง พี่อี้เจี๋ย และน้องอี้อี้ของบ้านอารองเจ้า” แม้นจะไม่มีความรักใคร่ผูกพันต่อหลานสาวที่เพิ่งจะเห็นหน้าผู้นี้ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังคงแนะนำอีกสามคนที่เหลือซึ่งอยู่ในรถแก่อวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่ดี
ญาติผู้พี่สองคนนี้ล้วนเป็นหนุ่มหน้ามน แต่เมื่อเทียบกับหน้าที่ทาแป้งหน้าเตอะของอวิ๋นอี้เจี๋ยแล้ว อวิ๋นอี้เหิงแลดูเยือกเย็นเป็นผู้ใหญ่อย่างเห็นได้ชัด ส่วนอวิ๋นอี้อี้ซึ่งอยู่อีกด้านยังคงมีหน้าตาท่าทางเหมือนเด็กน้อยอยู่
ในสมองอดนึกถึงเรื่องราวเก่าก่อนในอดีตที่ช่วงสองสามวันนี้แม่นมหมี่เล่าให้ตนฟังไม่ได้ ปีนั้นอวิ๋นเสวียนจือถูกซูชิงล่อลวงให้ลุ่มหลง ปล่อยให้ซูชิงขับไล่ฮูหยินผู้เฒ่ากับอวิ๋นเสวียนโม่น้องชายแท้ๆ และภรรยาที่อาศัยอยู่ในจวนอัครเสนาบดีกลับเมืองซูเฉิงไป เรื่องนี้คงจะเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเคียดแค้นลงในใจของพวกเขา ยามนี้ในรถม้าไม่มีอวิ๋นรั่วเสวี่ยอยู่ด้วย คงเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากเห็นหน้านางเป็นแน่ จึงไล่อวิ๋นรั่วเสวี่ยไปนั่งรถม้าคันอื่น
ยามนี้รถม้าแล่นผ่านประตูเมือง เข้าสู่เมืองหลวงอย่างเป็นทางการ ทันใดนั้นเสียงร้องเร่ขายของตามร้านแผงลอยเล็กๆ มากมายหลากหลายก็ลอยมาเข้าหู ทำให้คนสัมผัสถึงความคึกคักรุ่งเรืองอย่างไม่เป็นสองรองใครของเมืองหลวงได้
ทว่าพอรถม้าเคลื่อนไปได้ราวๆ สามเค่อกลับหยุดลงอย่างช้าๆ ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงรายงานขององครักษ์หลิวก็ดังขึ้นจากด้านนอก “ฮูหยินผู้เฒ่าขอรับ พวกเราเจอกับขบวนรถของอัครเสนาบดีฉู่ เขาเชิญให้พวกเราผ่านไปก่อนขอรับ”
ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมานาน แต่กลับรู้จักบุคคลในตระกูลใหญ่ต่างๆ ละเอียดชัดเจนยิ่ง หลังจากได้ยินเสียงรายงานขององครักษ์หลิว ในสมองก็ไล่เรียงฐานะ ตำแหน่ง ชาติตระกูลของคนคนนั้นออกมาได้ทันที จึงกำชับองครักษ์หลิวว่า “ขอบคุณอัครเสนาบดีฉู่แทนข้าด้วย”
วาจาของฮูหยินผู้เฒ่านำมาซึ่งรอยยิ้มเย็นแนบเนียนของอวิ๋นเชียนเมิ่ง บัดนี้ท่านย่าของตนอดใจรอที่จะหยัดยืนอย่างมั่นคงบนสังคมชั้นสูงของเมืองหลวงไม่ไหวแล้ว
ฉู่เฟยหยางเป็นผู้ใด วันนี้เขาหลีกทางให้ก็แค่เพราะให้ความเคารพคนชราเท่านั้น หากถกถึงลำดับชั้นขุนนางขึ้นมาจริงๆ ตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายขวาของอวิ๋นเสวียนจือยังต่ำกว่าตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายของฉู่เฟยหยางเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำไป
ทว่าในใจฮูหยินผู้เฒ่ามิได้คิดเยี่ยงนี้ แม้อวิ๋นเสวียนจือจะไม่เอาไหน แต่อย่างไรนางก็เกี่ยวดองเป็นญาติกับจวนฝู่กั๋วกง ซ้ำเครือญาตินั้นได้ให้กำเนิดไทเฮาเชียวนะ
เมื่อคิดได้ดังนั้น สีหน้าแววตาของฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับปรากฏความหยิ่งยโส แต่ฉู่เฟยหยางผู้นี้ลึกลับซับซ้อนเกินไป จึงทำให้นางรู้สึกสนใจใคร่รู้อยู่บ้างว่าเขาเป็นบุรุษแบบไหนกันแน่ ยังหนุ่มยังแน่นก็ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้อย่างสูง ดำรงตำแหน่งสูงสุดเหนือเหล่าขุนนางทั้งหลาย
ความสงสัยในใจยิ่งมากขึ้นทุกขณะ ฮูหยินผู้เฒ่ายกมือเลิกมุมหนึ่งของผ้าม่านออกเบาๆ สายตามองออกไปด้านนอก
ห่างจากรถม้าออกไปไม่ไกล บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งร่างสวมชุดคลุมกันลมสีน้ำเงินกรมท่าขี่อยู่บนอาชาสีดำ บุรุษผู้นั้นคิ้วพาดเฉียงดุจกระบี่ ดวงตาหงส์ จมูกตรง ริมฝีปากบาง แต่ว่ายามนี้หางตาที่ทอดมองมาทางรถม้ายกขึ้นน้อยๆ ริมฝีปากทั้งสองเม้มเบาๆ คล้ายกับจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม นัยน์ตาสีดำใต้คิ้วเข้มนั้นราวกับหมึกเข้มข้นไม่เลือนจาง ท่าทางแฝงด้วยเสน่ห์เหลือร้ายท่ามกลางความสุภาพเรียบร้อยเจือด้วยความลึกลับท่ามกลางความหล่อเหลา ทำให้บรรดาหญิงสาวที่เดินผ่านไปผ่านมาบนท้องถนนพากันหน้าแดงก่ำเป็นทิวแถว บางคนที่ใจกล้าถึงกับจดจ้องท่วงท่าองอาจเหนือสามัญของเขาตรงๆ ไม่อาจเก็บสายตากลับคืนไปได้ชั่วขณะ
แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าที่แต่ไหนแต่ไรคิดว่าหลานชายของตนเองยอดเยี่ยมที่สุดก็อดพยักหน้าด้วยดวงตาแฝงรอยยิ้มไม่ได้ คล้ายกับพึงพอใจต่อรูปลักษณ์ของฉู่เฟยหยางยิ่งนัก
ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับสังเกตเห็นว่าท่าทางห้าวหาญบนอาชาของฉู่เฟยหยางเจือด้วยกลิ่นอายแห่งราชันที่สามารถสยบใต้หล้า ทันใดนั้นพลันนึกถึงความลึกล้ำยากหยั่งถึงของเขาขึ้นมาได้ อวิ๋นเชียนเมิ่งเลิกหัวคิ้วเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ คิดในใจว่าต่อไปอยู่ให้ห่างคนผู้นี้หน่อยจะดีกว่า
ทว่านัยน์ตาสีดำดุจน้ำหมึกคู่นั้นราวกับล่วงรู้ความคิดของนาง บนดวงหน้าหล่อเหลางามสง่ายกยิ้มจางๆ ทุกคนที่มองอยู่ต่างพากันตะลึงงัน พาให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเบนดวงตาทั้งสองข้างหนี
“คิดไม่ถึงว่าอัครเสนาบดีฉู่จะมีบุคลิกโดดเด่นถึงเพียงนี้ ช่างชวนให้คนตื่นตะลึงจริงๆ ไม่รู้ว่าที่บ้านอัครเสนาบดีฉู่มีภรรยาหรืออนุแล้วหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าถือว่าตนสถานะสูงศักดิ์ ดูเพียงแวบเดียวก็ปล่อยผ้าม่านลง จากนั้นเอ่ยถามอวิ๋นเชียนเมิ่งทันทีราวกับกำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ในดวงตาแฝงด้วยแผนการที่ไม่อาจมองข้าม
อวิ๋นเชียนเมิ่งเก็บสายตากลับมาในตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ามองมาทางนาง ครั้นได้ยินคำถามของฮูหยินผู้เฒ่า นางก็ผลิยิ้มน้อยๆ รีบตอบกลับว่า “ปกติเมิ่งเอ๋อร์ออกจากจวนน้อยครั้งและไม่สะดวกจะสอบถามเรื่องชีวิตสมรสของบุรุษอื่น หากท่านย่าสนใจมิสู้ถามท่านพ่อจะดีกว่าหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นในใจก็ไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง แต่เมื่อไตร่ตรองวาจาของอีกฝ่ายก็คิดว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้าอย่าเฉยชา แต่ในใจกลับคิดจับคู่ให้ฉู่เฟยหยางกับอวิ๋นอี้อี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าทั้งสองเหมาะสมคู่ควรกันยิ่ง
เมื่อครู่อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าสลับไปมาระหว่างอวิ๋นอี้อี้กับฉู่เฟยหยางก็เดาความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าออก
บัดนี้ราชสำนักส่วนใหญ่แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมีฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้เป็นหลัก อีกฝ่ายมีเฉินอ๋องเป็นหลัก แต่ฉู่เฟยหยางกลับเป็นกลุ่มพิเศษ เขามิได้ใกล้ชิดกับฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้และไม่ได้สนิทสนมกับเฉินอ๋อง เขาไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ทั้งยังมีความสามารถล้ำเลิศ แต่ก็รู้จักรักษาความเป็นกลาง ด้วยเหตุนี้จึงได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ และมิได้ทำให้เฉินอ๋องสร้างความวุ่นวายให้กับเขา
เกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่าคงจะถูกใจตรงจุดนี้กระมัง
อย่างไรก็ตาม ในหมู่ชนชั้นสูงมีบุรุษซึ่งมีฐานันดรสูงศักดิ์มากมาย แต่ฉู่เฟยหยางกับเฉินอ๋องกลับเป็นยอดบุรุษเหนือผู้อื่น นอกจากนั้นยามนี้จวนอัครเสนาบดีได้ผูกติดเอาไว้กับฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ ในเมื่อเฉินอ๋องปฏิเสธแม้กระทั่งบุตรสาวคนโตของจวนอัครเสนาบดีก็คงไม่มีทางต้องใจอวิ๋นอี้อี้เป็นแน่
ทว่าฐานะของฉู่เฟยหยางเป็นหลักประกันที่ดีที่สุด ไม่ว่าในภายภาคหน้าการต่อสู้ระหว่างฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้กับเฉินอ๋องใครแพ้ใครชนะ แต่ถ้าจวนอัครเสนาบดีพึ่งพาอาศัยฉู่เฟยหยางก็จะเป็นการเพิ่มหลักประกันขึ้นอีกชั้นหนึ่ง
ภายในรถม้าเงียบสนิทลงชั่วขณะ ฮูหยินผู้เฒ่ากับอวิ๋นเชียนเมิ่งต่างคนต่างคิดเรื่องของตนเอง กระทั่งเสียงขององครักษ์หลิวดังขึ้นอีกครั้ง “ฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูใหญ่ ถึงจวนอัครเสนาบดีแล้วขอรับ”
ทั้งสองคนที่อยู่ในรถสบตากันแวบหนึ่ง ในดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าพลันปรากฏความเคร่งขรึม แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับแย้มยิ้มบางๆ กล่าวอย่างเคารพนบนอบ “หลานปรนนิบัติท่านย่าลงจากรถนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งยังคงมีท่าทีอ่อนโยนมีมารยาท ความไม่พอใจที่มีต่อนางเมื่อครู่ก็ค่อยๆ จางหายไป นางพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจึงจับมืออวิ๋นเชียนเมิ่งให้ช่วยประคองลงจากรถม้า
ในตอนนั้นเองอวิ๋นเสวียนจือก็พาบ่าวรับใช้ของจวนอัครเสนาบดีมารออยู่หน้าประตูใหญ่ด้วยตนเอง รอจนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าลงจากรถม้าจึงรีบก้าวเข้าไปโค้งกายคำนับทันที กล่าวเสียงรวดร้าว “ลูกคารวะท่านแม่ขอรับ ท่านแม่สบายดีหรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่าเหลือบตาขึ้นมอง เห็นว่าบัดนี้บุตรที่ตนเองเลี้ยงดูฟูมฟักจนได้ดำรงตำแหน่งเป็นถึงอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง สีหน้าท่าทางจึงปรากฏความภาคภูมิใจอย่างห้ามไม่อยู่ พร้อมทั้งเห็นว่าวันนี้บุตรชายออกมาต้อนรับตนด้วยตนเองจึงรู้สึกได้หน้าได้ตา วางมือลงบนแขนอวิ๋นเสวียนจืออย่างเป็นเกียรติ ตบที่หลังมือเขาเบาๆ ทันที พร้อมกล่าวอย่างปลาบปลื้ม “สบายดี! ทุกอย่างดียิ่ง!”
ยามนี้เองบ่าวรับใช้ด้านหลังอวิ๋นเสวียนจือก็คุกเข่าลงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนจะกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน “ขอฮูหยินผู้เฒ่าสุขสบาย! ขอฮูหยินผู้เฒ่าจงมีแต่ความสุข!”
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเช่นนั้น สีหน้าก็ดียิ่งขึ้น พยักหน้าติดๆ กัน ก้าวเข้าจวนอัครเสนาบดีโดยมีอวิ๋นเสวียนจือและอวิ๋นเชียนเมิ่งคอยประคอง
อวิ๋นเสวียนจือสั่งให้พ่อบ้านจ้าวจัดการทำความสะอาดหอไป่ซุ่นซึ่งอยู่ทางใต้สุดแต่เช้าตรู่ เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าก้าวเข้ามาในห้องหลักของหอไป่ซุ่น ในกระถางธูปไม้จันทน์หอมกำลังมีควันธูปลอยหมุนวนเป็นเกลียว ทั้งห้องสะอาดสะอ้าน บนชั้นวางและบนโต๊ะเรียงรายไปด้วยของโบราณและของประดับล้ำค่าเลื่องชื่อ ภาพวาดชื่อดังซึ่งมีมูลค่ามหาศาลแขวนอยู่บนผนัง แต่ละชิ้นแต่ละภาพล้วนเป็นผลงานของจิตรกรผู้มีชื่อเสียง ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าพึงพอใจยิ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งกว้างขึ้นชัดเจนขึ้น
หลังจากทุกคนนั่งเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็ชี้ไปยังพวกอวิ๋นอี้เหิงสองพี่น้องซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าอวิ๋นเสวียนจือพลางกล่าว “ลูกเอ๋ย นี่คือบุตรทั้งสองของพี่น้องเจ้า อี้เหิง อี้เจี๋ย ครั้งนี้ที่พาพวกเขามาด้วย ประการแรกเพื่อคิดเรื่องอนาคตให้เด็กสองคนนี้ ประการที่สองก็เพราะอยากช่วยเหลือเจ้าอีกแรง น้องชายของเจ้าร่างกายไม่สู้ดีขึ้นทุกปี เจ้าเป็นพี่ใหญ่เพียงคนเดียวของเขา จะเห็นคนเดือดร้อนแล้วไม่ยอมช่วยไม่ได้นะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็พูดจาไม่อ้อมค้อม พอเอ่ยปากก็อุดทางถอยทุกทางของอวิ๋นเสวียนจือไว้สนิท ทำให้เขาอับจนคำพูด
จริงที่เรื่องปีนั้นเขาเป็นฝ่ายผิด แต่พอนึกถึงข่าวคราวที่องครักษ์หลิวส่งมาเมื่อเช้านี้ ในใจอวิ๋นเสวียนจือก็ไม่สบอารมณ์เหลือแสน ทำได้เพียงมองดูพวกอวิ๋นอี้เหิงสองพี่น้องคำนับเขา บนใบหน้าผลิยิ้มแห้งๆ ทว่าในด้านจรรยามารยาทก็ยังถือว่าพอใช้ได้ เขาถามเกี่ยวกับการเรียนที่ผ่านมาของสองพี่น้องอย่างรวบรัด จากนั้นเรียกให้พ่อบ้านจ้าวนำทางพวกเขาไปยังเรือนชิงฮุยที่จัดเตรียมเอาไว้แล้ว แล้วจึงยิ้มให้ฮูหยินผู้เฒ่าพลางเอ่ยปาก “ระยะนี้ท่านแม่พักผ่อนให้ดีๆ ไปก่อนนะขอรับ อีกสองสามวันลูกค่อยพาพวกอี๋เหนียงมาคารวะท่าน”
หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินวาจานี้ก็ตีสีหน้ามึนตึง แววตาปรากฏความชิงชังอย่างมิอาจหักห้าม กล่าวอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง “พวกอี๋เหนียงของเจ้าช่างวางท่าใหญ่โตเสียจริงนะ แม่ยังต้องรออีกสองสามวันกว่าจะได้พบ มีอี๋เหนียงมีบุตรสาวประสาอะไรกัน เจ้าไปถามซูอี๋เหนียงของเจ้าสิ บุตรสาวที่นางสั่งสอนทำให้จวนอัครเสนาบดีขายขี้หน้าหมดแล้ว”
อวิ๋นเสวียนจือฟังความไม่พอใจในวาจาของฮูหยินผู้เฒ่าออกจึงยิ้มสู้ทันที ก่อนจะกล่าว “ท่านแม่โปรดระงับโทสะ เป็นลูกเองที่คิดไม่รอบคอบ ตอนอาหารค่ำจะให้พวกนางมาคอยยืนปรนนิบัติในห้องนะขอรับ ท่านแม่พักผ่อนสักครู่ก่อน ลูกจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
พูดจบอวิ๋นเสวียนจือก็กวาดสายตามองอวิ๋นเชียนเมิ่งแวบหนึ่ง ทั้งสองลุกขึ้นออกไปจากหอไป่ซุ่นพร้อมกัน
พอก้าวออกมาจากลานบ้านของหอไป่ซุ่น รอยยิ้มบนใบหน้าอวิ๋นเสวียนจือก็หายวับในชั่วพริบตา ทั่วทั้งร่างถูกครอบด้วยเพลิงโทสะ เรียกองครักษ์หลิวด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ “ระหว่างทางเกิดเรื่องอันใดกันแน่”
องครักษ์หลิวเห็นอวิ๋นเสวียนจือมีท่าทางเช่นนี้ ในใจก็พลันสะดุ้งเฮือก รีบตอบกลับเสียงเบาทันใด “บ่าวบกพร่องต่อหน้าที่ มิได้ปกป้องคุณหนูรองให้ดี ไม่รู้เหมือนกันขอรับว่าทำไมพอพวกเราออกจากเมือง คุณชายหยวนของจวนหานกั๋วกงผู้นั้นถึงได้เอาแต่ตามติดอยู่ด้านหลัง โชคดีที่พวกเราพักเหนื่อยที่บ้านพักตากอากาศของฮูหยิน จึงไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่อะไร แต่ตอนขากลับคุณหนูรองกลับถูกคนลักพาตัวไป บ่าวกับคุณชายทั้งสองรีบไล่ตามไป แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณชายหยวนที่ช่วยคุณหนูรองกลับมา ซ้ำใต้หน้าผาที่ช่วยคุณหนูรองกลับมาได้นั้นก็พบศพของจ้าวหมิงจากจวนสกุลซูด้วยขอรับ”
ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาทั้งสองของอวิ๋นเสวียนจือก็หรี่ลงน้อยๆ หันกายเดินไปยังเรือนเฟิงเหอทันที