ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ
ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ
บทที่ 12 ลงโทษอวิ๋นรั่วเสวี่ย
ยามอวิ๋นเสวียนจือรีบรุดมาถึงเรือนเฟิงเหอด้วยท่าทางเดือดดาล กลับเห็นซูชิงมือหนึ่งยืนเท้าเอว มือหนึ่งถือไม้ตีฝ่ามือของอวิ๋นรั่วเสวี่ย ปากก็ตำหนิต่อว่า “ทั้งๆ ที่สั่งให้เจ้าเชื่อฟังแม่นมหวังให้ดีๆ แต่เจ้ากลับทำหูทวนลม ถ้าวันนี้ข้าไม่ทำให้เจ้าหลาบจำซะบ้าง คราวหน้าจะยังกล้าให้เจ้าออกจากจวนอีกได้อย่างไร”
อวิ๋นเสวียนจือเห็นซูชิงทำเช่นนี้ หัวคิ้วพลันขมวดย่นทันใด นางทำแบบนี้ก็เพียงเพื่ออยากให้เขาหายโมโห แต่น้ำเสียงเช่นนี้อวิ๋นเสวียนจือจะหายเดือดได้อย่างไร อาศัยแค่คำรายงานขององครักษ์หลิวเมื่อครู่ก็พอที่จะทำให้อวิ๋นเสวียนจือโทสะพุ่งสามจั้งได้แล้ว
จ้าวหมิงผู้นั้นเป็นญาติห่างๆ ของผู้ดูแลคนหนึ่งในจวนของพี่ชายที่บ้านเดิมซูชิง สอบได้เป็นบัณฑิตซิ่วไฉ ในการสอบฤดูใบไม้ผลิเมื่อสองปีก่อน สิ้นชีวิตอยู่ตรงหน้าผาที่อวิ๋นรั่วเสวี่ยถูกช่วยเอาไว้ได้ นี่มันหมายความว่าอย่างไร หรือว่าจ้าวหมิงกินใจหมีดีเสือหาญกล้าลักพาตัวคุณหนูจวนอัครเสนาบดีอย่างนั้นหรือ เกรงว่าเป็นเพราะเมื่อก่อนตอนอวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับจวนสกุลซูไม่ระวังตนเองกระมัง
ส่วนหยวนชิ่งโจวผู้นั้นเป็นผีบ้ากามที่เลื่องชื่อไปทั่วทั้งเมืองหลวง ซ้ำยังดันมาเกี่ยวข้องกับอวิ๋นรั่วเสวี่ยอีก
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ อวิ๋นเสวียนจือก็เดินเข้าไปทันที แล้วง้างแขนขึ้นตบซูชิงหนึ่งฉาด ทำเอานางซวนเซจนเกือบจะล้มคะมำลงไปกับพื้น
แม่นมหวังตกใจเสียจนหน้าซีดเผือด รีบเร่งเข้าไปประคองร่างของซูชิงที่จะล้มแหล่มิล้มแหล่ ร่ำไห้พลางกล่าว “ท่านอัครเสนาบดี ท่านจะตีจะด่าก็ทำบ่าวเถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้อี๋เหนียงยังตั้งครรภ์อยู่นะเจ้าคะ เมื่อครู่ก็บันดาลโทสะไปแล้ว ไหนเลยจะทนรับฝ่ามือของท่านได้”
อวิ๋นรั่วเสวี่ยเองก็คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเสวียนจือจะลงมือตบซูชิง ยามนี้เห็นใบหน้าอวิ๋นเสวียนจือเต็มไปด้วยโทสะเดือดดาล ในดวงตามีแต่แววเหี้ยมเกรียมดุดัน ทำให้นางเสียขวัญจนตัวอ่อนยวบ ถอยกรูดไปด้านหลังด้วยความขลาดกลัว…กลัวว่าอวิ๋นเสวียนจือจะพาลเอาโทสะมาลงกับตน
ครั้นอวิ๋นเสวียนจือถูกแม่นมหวังเอ่ยเตือนถึงนึกขึ้นมาได้ว่าซูชิงกำลังมีครรภ์ จึงอดไม่ได้ที่จะช้อนตามอง เห็นเพียงซูชิงพิงอยู่ในอกของแม่นมหวังทั้งตัว สองมือกำลังกุมใบหน้าซีกซ้ายที่ถูกตบ หยดน้ำตาคลอหน่วยในดวงตา ใบหน้าขาวซีด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีโลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปาก
อวิ๋นเสวียนจือก็รู้ว่าตนเองลงมือรุนแรงเกินไป แต่ซูชิงอบรมสอนสั่งคุณหนูจวนอัครเสนาบดีจนกลายเป็นอย่างนี้ นี่ทำให้เขาหน้าบูดบึ้งไปชั่วขณะ ทว่าโทสะในใจนั้นกลับลดลงไปมากโขแล้ว เขาไอแห้งๆ หนึ่งคำรบ สายตาหันเหไปยังอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่เอาแต่กุมศีรษะไม่พูดไม่จา เอ่ยเสียงเย็นว่า “โชคดีที่จ้าวหมิงผู้นั้นตายไปแล้ว มิเช่นนั้นพวกเจ้าว่าข้าควรจะจับรั่วเสวี่ยแต่งออกไปหรือไม่”
พอได้ยินเช่นนั้น ร่างของหลายคนที่อยู่ในห้องพลันสะดุ้งเฮือก แต่แล้วก็ถอนหายใจเฮือกพร้อมๆ กัน
แน่นอนว่าอวิ๋นเสวียนจือย่อมล่วงรู้ความคิดของพวกนางในตอนนี้ พวกนางคิดว่าเขาไม่ซักไซ้ไล่เลียงก็จบเรื่องแล้วอย่างนั้นหรือ หรือว่าพวกนางลืมหยวนชิ่งโจวไปแล้ว
อวิ๋นเสวียนจือถอนหายใจเบาๆ กล่าวต่อว่า “รั่วเสวี่ยไปคุกเข่าสำนึกผิดที่ศาลบรรพชนเสีย คุกเข่าครบสามเดือนเต็มถึงให้ออกมาได้!”
กล่าวจบอวิ๋นเสวียนจือก็มองซูชิงอีกครั้ง ครั้นเห็นท่าทางกัดริมฝีปากล่างกลั้นน้ำตาของนาง เพลิงโทสะในใจก็หายวับไปจนหมด แต่ก็รู้ว่าหากครั้งนี้ไม่ลงโทษเสียบ้าง หลังบ้านของจวนอัครเสนาบดีก็จะต้องโกลาหลวุ่นวาย จึงหักใจหันหน้าหนี ก้าวยาวๆ เดินออกจากเรือนเฟิงเหอ
พอม่านประตูเบื้องหน้าถูกปล่อยลง น้ำตาในดวงตาซูชิงก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย นางลุกขึ้นยืนตัวตรงออกจากอกแม่นมหวัง จากนั้นประคองอวิ๋นรั่วเสวี่ยให้ลุกขึ้น จับสองมือของนางขึ้นมาด้วยความรักใคร่สงสาร รับยาหยกขาวบรรเทาปวดที่แม่นมหวังยื่นมาให้ บรรจงป้ายลงบนฝ่ามือของบุตรสาว
“ท่านแม่ ข้าไม่อยากไปศาลบรรพชน” อวิ๋นรั่วเสวี่ยรู้อยู่แล้วว่าเมื่อครู่ซูชิงแกล้งแสดงละครโศก ถึงแม้ในใจท่านพ่อยังมีโทสะอยู่ แต่ก็ให้อภัยพวกนางเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้นางจึงเริ่มหยิ่งผยองขึ้นมาอีกครั้ง งอแงโวยวายไม่ยอมไปศาลบรรพชน
ซูชิงรู้ดีแก่ใจว่าครั้งนี้อวิ๋นเสวียนจือให้อภัยตนเองแล้ว แต่พอเห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยเอะอะโวยวาย ใบหน้าก็พลันบึ้งตึงในทันใด กล่าวเสียงกระด้าง “ไม่อยากไปก็ต้องไป! ถ้าเจ้าอยากแต่งให้หยวนชิ่งโจวเจ้าก็อาละวาดให้เต็มที่ พอถึงตอนนั้นแม่ก็ช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว”
อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นซูชิงระบายโทสะลงกับตน ในใจจึงพลันท่วมท้นไปด้วยความชิงชัง จ้องมองท้องของซูชิงด้วยแววตามาดร้ายอยู่เนิ่นนาน จากนั้นยิ้มเย็นพร้อมกับชักมือออกจากมือของซูชิง เอ่ยกระทบเสียดสี “อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเนื้อในท้องก้อนนั้น ข้าไม่ให้พวกท่านลำพองใจได้หรอก!”
พูดจบอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็เดินออกไปทันที สะบัดม่านปิดประตูเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
“แม่นมหวัง เจ้าตามไปดูนางและพานางไปส่งที่ศาลบรรพชนด้วยตนเอง!” ซูชิงรู้สึกเพียงศีรษะตนเองปวดหนึบ ยิ่งไปกว่านั้นตนเองในคันฉ่องสำริดยังหน้าบวมเป่งไปครึ่งซีก จึงยิ่งรู้สึกคับแค้นใจ แต่หากยามนี้ไม่ยอมแพ้ไปก่อนชั่วคราว ฝ่ายที่จะต้องตกที่นั่งลำบากในอนาคตข้างหน้าก็คือพวกนางแม่ลูก
เวลาอาหารเย็น อวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นคนแรกที่มาถึงหอไป่ซุ่น นางโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างว่านอนสอนง่าย จากนั้นรับกล่องผ้าในมือแม่นมหมี่มา ประคองไปตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าด้วยตนเองพร้อมกล่าวเสียงนุ่มนวล “ท่านย่า นี่คือโสมหิมะร้อยปีที่หลานได้เตรียมไว้ให้ท่าน หวังว่าหลังจากท่านย่าทานแล้วจะอายุมั่นขวัญยืนนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าหลานสาวคนนี้รู้ประสีประสายิ่ง ความไม่สบอารมณ์ที่มีต่ออวิ๋นเชียนเมิ่งก่อนหน้านี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ดึงนางขึ้นมาด้วยตนเอง ทว่ายังไม่ทันได้พูดจาอะไรก็เห็นพวกอี๋เหนียงพากันมาห้อมล้อมฮูหยินผู้เฒ่า แม้แต่ซูชิงที่แต่ก่อนไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาก็มาถึงหอไป่ซุ่นอย่างระมัดระวังโดยมีแม่นมหวังคอยประคอง
ทว่าว่าเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้วซูชิงถือว่ามาค่อนข้างสาย มาก่อนอวิ๋นเสวียนจือซึ่งเป็นนายของบ้านแค่ครึ่งถ้วยชาเท่านั้น
ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนฉลาด ความไม่พอใจก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดออกมาเลยแม้แต่ครึ่งคำ เพียงแค่ดื่มชาพลางพูดคุยกับอวิ๋นเชียนเมิ่งและพวกอวิ๋นอี้เหิงพี่น้อง จนกระทั่งอวิ๋นเสวียนจือก้าวเข้ามาในห้องอุ่น นางถึงวางถ้วยชาลง หุบยิ้มบนใบหน้า เอ่ยปากอย่างเรียบเฉย “ซูอี๋เหนียงช่างเข้าใจกฎระเบียบมากขึ้นทุกที ในจวนแห่งนี้ไม่มีนายหญิง แต่เจ้ากลับทำหน้าที่โดยไม่ลังเลเลย”
ซูชิงเห็นว่าการที่ตนเองมาช้าทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจ ทว่าตอนนี้ตนเองกำลังตั้งครรภ์ เรี่ยวแรงย่อมเทียบกับนางปีศาจจิ้งจอกคนอื่นๆ ไม่ได้อยู่แล้วจึงยิ้มเข้าสู้ “ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าล้อบ่าวเล่นสิเจ้าคะ อย่างไรเสียบ่าวก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขของนายท่านอยู่ ย่อมต้องระมัดระวังอย่างสุดแสน ยามเดินเหินก็ไม่กล้าออกแรงมากเกินไป ถึงได้มาช้ากว่าอี๋เหนียงคนอื่นๆ เล็กน้อย ขอฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้ถือโทษเลยเจ้าค่ะ”
“ท่านแม่เพิ่งกลับจวนมาวันแรก เรามาคุยเรื่องดีๆ กันเถิดขอรับ เมื่อสักครู่ลูกได้หาอาจารย์สอนหนังสือไว้ให้หลานทั้งสองแล้ว พรุ่งนี้ก็จะมาที่จวน เช่นนี้น้องรองก็วางใจได้แล้ว” อวิ๋นเสวียนจือเดินเข้าไปประคองฮูหยินผู้เฒ่า นำนางมายังหน้าโต๊ะอาหาร ยิ้มพลางเอ่ยปาก
จริงดังคาด ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเขาเป็นห่วงเป็นใยลูกๆ ของอวิ๋นเสวียนโม่เช่นนี้ ความเย็นชาที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าเมื่อครู่ก็พลันวูบดับลง นางพยักหน้าแล้วนั่งลงกับที่ ยอมปล่อยซูชิงไปก่อนชั่วคราว
อวิ๋นเสวียนจือย่อมรู้ดีว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยพึงพอใจในตัวซูชิง แต่วันนี้ซูชิงยอมโยนอคติในวันวานทิ้งเพื่อมาคารวะ ทำให้อวิ๋นเสวียนจือหน้าชื่นตาบานยิ่งนัก ดังนั้นพอยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าคอยจับผิด จึงเห็นได้ชัดว่าอวิ๋นเสวียนจือไม่อาจเข้าข้างซูชิงได้ แต่กลับใช้การกระทำแสดงออกถึงความคิดในใจของตนอย่างลับๆ
ผู้อ่อนอาวุโสหลายคนนั่งลงตามลำดับ ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดตามองไปรอบๆ แต่กลับมองไม่เห็นเงาร่างของอวิ๋นรั่วเสวี่ย ในใจจึงไม่พอใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางถือตะเกียบงาช้างไว้ในมือไม่ขยับเขยื้อน สายตาคมปลาบกวาดมองซูชิงแวบหนึ่ง กล่าวเสียงต่ำลึก “ซูอี๋เหนียง รั่วเสวี่ยล่ะ คุณหนูในภรรยาเอกอย่างเชียนเมิ่งยังมาคารวะข้าตั้งแต่หัววัน นางเป็นแค่ลูกอนุกลับวางตัวใหญ่โตถึงเพียงนี้! หรือว่าต้องให้ยายเฒ่าอย่างข้าไปเชิญนาง”
พอสิ้นเสียง ภายในห้องก็พลันเงียบกริบ ซูชิงถูกฉีกหน้าต่อหน้าธารกำนัล สีหน้าจึงเขียวสลับซีด สองมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อยาวกำหมัดแน่น ฝืนปั้นหน้ายิ้มขอโทษ “ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดระงับโทสะ คุณหนูรองทำผิด นายท่านกำลังให้นางคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ที่ศาลบรรพชนเจ้าค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้น ตะเกียบในมือของฮูหยินผู้เฒ่าก็ถูกตบลงกับโต๊ะทันใด โต๊ะไม้แดงเกิดเสียงดังก้องขึ้นมา พาให้พวกข้ารับใช้ที่ยืนปรนนิบัติอยู่อีกด้านตกใจจนอกสั่นขวัญหาย ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเสียงเฉียบใบหน้าบูดบึ้ง “คุกเข่าสำนึกผิด? ความผิดที่นางก่อแค่คุกเข่าสำนึกผิดก็หายอย่างนั้นหรือ หากเจ้าสั่งสอนนางไม่ดี ต่อไปก็ให้นางคอยตามอยู่ข้างกายข้า เป็นคุณหนูชนชั้นสูงที่เติบโตอยู่ในเมืองหลวง แต่กลับหัดจริตมารยาอย่างนางปีศาจจิ้งจอก อี้อี้ของบ้านลูกคนรองข้าแม้จะยังไม่ถึงวัยออกเรือน แต่ก็เรียบร้อยเป็นผู้ใหญ่กว่าเยอะ”
ซูชิงได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเอาแต่พูดถึงอวิ๋นเสวียนโม่ ในใจจึงอัดแน่นด้วยความเดือดแค้น ซ้ำยังได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเอาคุณหนูตัวจริงเสียงจริงอย่างอวิ๋นรั่วเสวี่ยไปเทียบกับนางเด็กบ้านนอกอย่างอวิ๋นอี้อี้ก็ยิ่งเดือดดาลจนพูดไม่ออก รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เจื่อนไปหลายส่วน สองมือในแขนเสื้อประเดี๋ยวคลายออกประเดี๋ยวกำแน่นอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งถึงสะกดโทสะในใจลงได้ ก้มหน้าฟังคำต่อว่าของฮูหยินผู้เฒ่า
นอกจากอวิ๋นเสวียนจือแล้ว คนที่อยู่ในห้องต่างพากันมองซูชิงถูกฮูหยินผู้เฒ่าเหน็บแนมอย่างหน้าตาเฉย ต่างคนต่างแอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
ส่วนอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับจ้องมองเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่อยู่ตรงหน้าตนตาไม่กะพริบ สีหน้าเรียบเฉยผิดปกติ ทำให้คาดเดาสิ่งที่นางคิดในตอนนี้ไม่ออก
อวิ๋นเสวียนจือคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับจวนมาวันแรกก็ทำเช่นนี้เสียแล้ว แทบไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าตนเองฉาดใหญ่ แต่หากตอนนี้ตนพูดช่วยเหลือซูชิงอีกล่ะก็ เกรงว่าจะนำมาซึ่งการเอาคืนที่หนักหน่วงรุนแรงยิ่งกว่าเดิมในภายภาคหน้า ดังนั้นจึงพุ่งสายตาไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่งที่อยู่ตรงข้ามตนเอง ส่งสายตาให้นางปราดหนึ่ง
อวิ๋นเชียนเมิ่งยิ้มบางๆ พลางกล่าว “ท่านย่าเจ้าคะ วันนี้ท่านย่าเดินทางมาเหนื่อยๆ พี่ชายทั้งสองและน้องอี้อี้เองก็เดินทางติดต่อกันมาหลายวันคงจะเหนื่อยแย่ มิสู้พวกเรารีบกินข้าวเร็วขึ้นหน่อย จะได้ปล่อยให้พวกเขากลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้พี่ชายทั้งสองจะได้มีกะจิตกะใจไปพบอาจารย์ ดีหรือไม่เจ้าคะท่านย่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินวาจาที่อวิ๋นเชียนเมิ่งเอ่ย เดิมยังคิดจะฉีกหน้าซูชิงอีกหลายคำ แต่เมื่อเห็นใบหน้าหลานรักมีแววเหนื่อยล้าจริงดังที่อวิ๋นเชียนเมิ่งว่า นางจึงพยักหน้ารับก่อนจะกล่าว “กินข้าวเสร็จก็กลับไปพักผ่อนเถิด เมิ่งเอ๋อร์นี่ช่างเอาใจใส่จริงๆ”
อวิ๋นเชียนเมิ่งเอ่ยเสียงหวาน “นี่เป็นสิ่งที่หลานควรกระทำเจ้าค่ะ หลานตั้งใจเอาไว้แล้วว่าอีกสองสามวันจะพาน้องอี้อี้ไปเลือกเครื่องประดับที่ถูกใจที่หอฟู่กุ้ย หวังว่าน้องอี้อี้จะชื่นชอบ”
จริงดังคาด ยามฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินชื่อหอฟู่กุ้ย ในดวงตาก็ฉายแววยินดีปรีดาผ่านวาบ พึงพอใจในตัวอวิ๋นเชียนเมิ่งมากยิ่งขึ้นทันใด