ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ
ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ
บทที่ 13 ผู้สูงศักดิ์พานพบในหอฟู่กุ้ย
ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นอี้อี้ได้มาเยือนเมืองหลวง เมื่อเทียบกับเมืองซูเฉิงที่เงียบสงบสุขสบาย ความเจริญรุ่งเรืองและความคึกคักของเมืองหลวงกลับเป็นภาพที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
โดยเฉพาะยามนี้อวิ๋นอี้อี้ยังเป็นเพียงเด็กน้อยอายุสิบสามปีเท่านั้น ตั้งแต่ได้เปิดหูเปิดตาเห็นความครึกครื้นบนถนนหนทางในเมืองหลวงบนรถม้า นางก็คิดอยากจะออกจากจวนไปเที่ยวเล่นสักครั้งอยู่เสมอ
ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ็นดูหลานสาวที่เติบใหญ่อยู่ข้างกายนางตั้งแต่เล็กคนนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร พออวิ๋นเชียนเมิ่งบอกว่าตอนเช้าตรู่จะพาอวิ๋นอี้อี้ไปหอฟู่กุ้ยซึ่งเลื่องชื่อที่สุดในเมืองหลวง ซื้อเครื่องประดับให้อวิ๋นอี้อี้สักสองสามชิ้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ้มพลางพยักหน้า สั่งให้พวกสาวใช้ตามรับใช้ปรนนิบัติอยู่ด้านหลังเป็นอย่างดี จากนั้นก็ปล่อยให้สองพี่น้องออกไปด้วยความปลอดโปร่งใจ
ตั้งแต่อวิ๋นอี้อี้ออกมาจากจวนอัครเสนาบดี ดวงตากลมโตคู่นั้นก็ยังไม่ได้หยุดพักสักนิด นางเลิกผ้าม่านรถม้าออกเพื่อมองดูด้านนอกเป็นระยะๆ ปากเล็กๆ ก็ยังไม่ยอมหยุดพักเช่นกัน นางดึงตัวอวิ๋นเชียนเมิ่งที่นั่งตัวตรงอยู่ข้างๆ พลางพูดคุยเรื่อยเปื่อยมาตลอดทาง “ท่านพี่ ท่านดูสิ น้ำตาลปั้นอันนั้นสวยจัง นั่นรูปร่างอะไรหรือเจ้าคะ ซับซ้อนแต่กลับสะดุดตาเหลือเกิน”
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นเด็กสาวส่งเสียงจ้อกแจ้กราวกับนกกระจอกจึงเบนสายตามองไปนอกรถอย่างสนใจใคร่รู้ด้วยเช่นกัน เห็นเพียงด้านซ้ายของถนนมีร้านแผงลอยเล็กๆ ปักน้ำตาลปั้นที่เพิ่งจะทำเสร็จเรียบร้อยไว้บนแผ่นไม้ของเก้าอี้ล้อเข็น ภายใต้แสงอาทิตย์สว่างโชติช่วง น้ำตาลปั้นอันนั้นทอประกายแสงสีส้ม อวิ๋นเชียนเมิ่งมองดูลวดลายนั้นอย่างละเอียด พบว่านั่นคือลายมังกรหงส์ จึงอดทึ่งกับฝีมือของร้านแผงลอยเล็กๆ นั้นไม่ได้
“น้องอี้อี้ นั่งให้ดีๆ ระวังอย่าให้ตกลงไปล่ะ” นางถอนสายตากลับมา ครั้นอวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นอวิ๋นอี้อี้เปิดม่านรถม้าออกแล้วยื่นศีรษะเล็กๆ ออกไปจนสุดก็อดตระหนกจนฝ่ามือชื้นเหงื่อเพราะการกระทำของนางไม่ได้ รีบสั่งให้มู่ชุนดึงตัวนางเข้ามาในรถม้าแล้วปล่อยผ้าม่านลง
“ท่านพี่ เมืองหลวงนี่ดีเหลือเกิน มีเรื่องน่าสนุกมากมายถึงเพียงนี้ อี้อี้อิจฉาพวกท่านพี่ที่สุดเลย” อวิ๋นอี้อี้เห็นม่านรถม้าถูกปล่อยลงอีกครั้ง แสงสว่างภายในรถม้าที่ไม่ถือว่าเรืองรองมากนักบดบังความปรารถนาที่มีต่อชีวิตในเมืองหลวงในดวงตานางเอาไว้ ทว่าน้ำเสียงกลับอิจฉาพี่สาวทั้งสามเหลือคณา
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นท่าทีเช่นนี้ของนาง คิ้วงามก็เลิกขึ้นน้อยๆ ในใจเริ่มเข้าใจอุปนิสัยของอวิ๋นอี้อี้บ้างแล้วจึงพูดยิ้มๆ “ท่านย่าพาเจ้ามาด้วยก็เพราะอยากเลี้ยงดูเจ้าไว้ข้างกาย กระทั่งวันข้างหน้าเมื่อเจ้าถึงวัยออกเรือนก็จะได้เลือกเขยขวัญผู้เพียบพร้อมจากหมู่คุณชายชนชั้นสูงในเมืองหลวงให้เจ้า”
อวิ๋นอี้อี้หาได้สังเกตสีหน้าของอวิ๋นเชียนเมิ่ง นางซึ่งยามนี้ก้มหน้าก้มตาอยู่กำลังใคร่ครวญวาจาของอวิ๋นเชียนเมิ่งเมื่อครู่ ในใจรู้สึกหวานล้ำเหลือประมาณ
ก่อนออกจากบ้าน ท่านพ่อกับท่านแม่เรียกนางไปที่ห้อง สั่งนางว่าจะต้องผูกมิตรกับพี่สาวคนโตให้ดีๆ เพราะมันเกี่ยวพันโดยตรงกับความสูงต่ำของธรณีประตูบ้านสามีในอนาคต และยิ่งไปกว่านั้นบ้านสามีของตนก็จะมีอิทธิพลโดยตรงต่อพี่ชายทั้งสอง ด้วยเหตุนี้ในจวนอัครเสนาบดี นอกจากฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว คนแรกที่อวิ๋นอี้อี้จะประจบประแจงก็คืออวิ๋นเชียนเมิ่ง ต่อหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งนางมักจะแสดงท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา นางเองก็รู้ว่าพี่ใหญ่จะต้องชอบที่ตนเองเป็นแบบนี้แน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่พาตนออกจากจวนมาเลือกซื้อเครื่องประดับด้วยตนเองหรอก
ยามนี้รอยยิ้มมุมปากของอวิ๋นเชียนเมิ่งยังคงไม่แปรเปลี่ยน ทว่าประกายในดวงตากลับเย็นชาขึ้นหลายส่วน
รถม้าค่อยๆ ลดความเร็วลง หลังจากหยุดสนิทหญิงรับใช้ชราที่อยู่ด้านนอกจึงส่งเสียงเตือนอย่างระมัดระวัง “คุณหนูใหญ่ คุณหนูสี่ ถึงหอฟู่กุ้ยแล้วเจ้าค่ะ”
มู่ชุนได้ยินเสียงหญิงชราจึงเลิกม่านรถออกพร้อมกับอินเอ๋อร์สาวใช้ประจำกายของอวิ๋นอี้อี้ จากนั้นประคองอวิ๋นเชียนเมิ่งลงจากรถก่อน แล้วค่อยประคองอวิ๋นอี้อี้ออกมาจากรถม้า
ในเมืองซูเฉิงจวนสกุลอวิ๋นก็ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่แถวหน้า กฎระเบียบต่างๆ ในตระกูลไม่น้อยไปกว่าพวกตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงเลย อวิ๋นอี้อี้มีฐานะเป็นถึงคุณหนูจวนสกุลอวิ๋น ได้เปิดหูเปิดตาพบเห็นสิ่งต่างๆ มามากมายตั้งแต่ยังเล็ก
ทว่าพอยามนี้อวิ๋นอี้อี้ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของหอฟู่กุ้ย นางเพิ่งจะรู้ว่าตนเองเป็นเพียงกบก้นบ่อเท่านั้น หอฟู่กุ้ยนี้ต่างหากถึงจะเป็นสถานที่แห่งความร่ำรวยมั่งคั่งอย่างแท้จริง แม้แต่สิงโตหินที่หน้าประตูก็สลักจากหยกขาวชั้นเลิศ ส่วนตัวอักษรบนป้ายร้านสีดำเหนือศีรษะเป็นฝีพระหัตถ์ของฮ่องเต้องค์ก่อน ด้านล่างตัวอักษร ‘หอฟู่กุ้ย’ อันปราดเปรียวมีชีวิตชีวาก็เป็นตราพระราชลัญจกรของฮ่องเต้องค์ก่อน แสดงความสูงส่งมั่งคั่งของสถานที่แห่งนี้ออกมาให้ประจักษ์ชัด เผยให้เห็นถึงความสูงศักดิ์จนไม่อาจเอื้อมของสถานที่แห่งนี้ ทั้งหมดนี้ทำลายความสูงส่งเหนือผู้อื่นยามอวิ๋นอี้อี้อยู่ในบ้านแตกละเอียดไม่มีชิ้นดีในพริบตาเดียว ทำให้นางได้แต่ยืนนิ่งอึ้งอยู่บนถนนที่ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่โดยไม่รู้ตัว
อวิ๋นเชียนเมิ่งคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าอวิ๋นอี้อี้จะต้องถูกหอฟู่กุ้ยสั่นคลอน แต่กลับมิได้เข้าไปปลอบประโลมจิตใจที่ได้รับความเจ็บช้ำของนาง เพียงแค่ขยับเข้าไปหาอวิ๋นอี้อี้เล็กน้อย ผลักนางที่ตัวแข็งเป็นหุ่นกระบอกเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “น้องอี้อี้ เป็นอะไรไปหรือ เหตุใดยังไม่เข้าไปอีก”
พูดจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เดินนวยนาดเข้าไปในหอฟู่กุ้ยโดยมีมู่ชุนคอยประคอง
อวิ๋นอี้อี้เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งงามสง่าภูมิฐานถึงเพียงนี้ รวมถึงอากัปกิริยาเยื้องย่างของนางงดงามสูงส่งราวกับภาพวาด อวิ๋นอี้อี้ก็อยากจะครอบครองทั้งหมดนี้บ้าง
นางเลียนอย่างท่าทางของอวิ๋นเชียนเมิ่ง วางมือลงบนแขนอินเอ๋อร์ เดินหนึ่งก้าวหยุดหนึ่งก้าวเข้าไปในหอฟู่กุ้ย
ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาจับจ้องของคนที่อยู่ริมหน้าต่างหอสุราฝั่งตรงข้าม คนผู้นั้นมือหนึ่งจับไข่มุกทะเลใต้กลมเกลี้ยงเม็ดหนึ่งเล่น แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับจับอยู่ที่ร่างสองร่างที่เพิ่งเดินตามกันเข้าไปในหอฟู่กุ้ยด้วยสายตาระคนแววตรวจสอบ กล่าวอย่างทอดถอนใจเล็กน้อย “ช่างเป็นตงซือแสร้งขมวดคิ้ว จริงๆ เป็นแค่เด็กเมื่อวานซืนแต่คิดจะเลียนแบบบุคลิกคุณหนูสกุลใหญ่ น่าหัวเราะเยาะจริงเชียว”
ชายวัยกลางคนซึ่งยืนนิ่งอยู่ด้านหลังคนผู้นั้นเห็นว่าเจ้านายของตนเริ่มบ่นกระปอดกระแปดขึ้นมาอีกแล้ว จึงมองไข่มุกทะเลใต้ที่ถูกจับเล่นเม็ดนั้นด้วยความกังวลใจเล็กน้อย เอ่ยเตือนเสียงเบา “นายท่าน เอาของคืนกลับไปเถิดขอรับ ถ้าหากถูกจับได้…”
“ถูกจับได้แล้วเป็นอย่างไร เจ้าเด็กนั่นจะทำอะไรข้าได้ ข้าให้มันมาเลือกภรรยาด้วยความปรารถนาดี แต่เจ้าเด็กนั่นงามหน้ายิ่ง ปล่อยให้ข้ารอเก้อ มันสิต้องระวังตัว คอยดูเถอะ ต่อไปถ้าข้าเห็นเขาครั้งหนึ่งก็จะตีเขาครั้งหนึ่ง!” คนผู้นั้นไม่รอให้ผู้ใต้บัญชาพูดจบก็เอะอะเอ็ดตะโรขึ้น และถึงแม้จะพูดเช่นนี้ ทว่าเขายังคงวางไข่มุกทะเลใต้เม็ดนั้นใส่ในกล่องผ้าอย่างระมัดระวัง จากนั้นมอบให้ผู้ใต้บัญชาที่อยู่ด้านหลังเก็บรักษาไว้ให้ดี
ขณะที่ชายวัยกลางคนผู้นั้นคิดว่าผู้เป็นนายของตนจะกลับจวน คนผู้นั้นกลับเอามือเท้าคาง สายตาพุ่งตรงไปยังประตูใหญ่ของหอฟู่กุ้ย พูดพึมพำกับตนเอง “เจียวต้า เจ้าว่าคนไหนดีกว่ากัน ถ้าเป็นเจ้า เจ้าชอบคนไหน”
แม้ไม่ได้พูดว่าหมายถึงสิ่งใดกันแน่ แต่ชายวัยกลางคนนามว่าเจียวต้าผู้นั้นกลับใบหน้าแดงก่ำ ถอยไปด้านหลังสามก้าวใหญ่ๆ อย่างเงียบเชียบ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
หากบอกว่าภาพตรงหน้าประตูเมื่อครู่ทำให้อวิ๋นอี้อี้ได้เปิดโลกทัศน์กว้าง เช่นนั้นยามนี้ห้องโถงใหญ่ของหอฟู่กุ้ยก็สั่นสะเทือนทั้งกายและใจของนางแล้ว
ที่แห่งนี้มีชื่อว่าหอฟู่กุ้ย มองไปไม่เห็นสิ่งดาษดื่นเลยแม้แต่น้อย ห้องโถงใหญ่ตกแต่งหรูหราสง่างาม ทุกที่ล้วนเผยให้เห็นความวิจิตร เครื่องประดับที่ถูกจัดวางแยกประเภทไว้บนโต๊ะแต่ละชิ้นต่างเปล่งแสงเจิดจรัสสุกสกาว
เครื่องประดับหยก เงิน ทองเหล่านี้กระจุกตัวอยู่รวมกันในห้องโถงใหญ่ แต่กลับผสมผสานลงตัวกันอย่างน่าประหลาด แตกต่างจากกฎของร้านเครื่องประดับทั่วๆ ไปที่ห้ามไม่ให้ทองกับหยกวางรวมกันโดยสิ้นเชิง
อวิ๋นอี้อี้สำรวจห้องโถงใหญ่ตรงหน้าที่กินพื้นที่กว้างขวางอย่างตั้งอกตั้งใจ ความตื่นเต้น ความละโมบ และความทะเยอทะยานในใจค่อยๆ ปรากฏขึ้นในแววตา
ทุกอย่างอยู่ในสายตาของอวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่นางเพียงแค่ยิ้มเย็นในใจเท่านั้น
ยามนี้หลงจู๊เมิ่งของหอฟู่กุ้ยกำลังกระวีกระวาดวิ่งลงมาจากชั้นสาม ครั้นเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งก็รีบทำความเคารพทันที “คารวะคุณหนูใหญ่ขอรับ”
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นหลงจู๊เมิ่งจึงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากถามว่า “ตระเตรียมเรียบร้อยหรือยัง”
นี่คือครั้งแรกที่หลงจู๊เมิ่งได้ยินเสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่ง แม้ยามนางจะสวมผ้าโปร่งพรางดวงหน้า แต่ในสุ้มเสียงใสกระจ่างนั้นแฝงด้วยความให้เกียรติ ทำให้หลงจู๊เมิ่งที่พบเจอผู้คนมานับไม่ถ้วนพลันตกประหม่า กล่าวอย่างพินอบพิเทาทันที “น้อมรับคำสั่งคุณหนู ผู้น้อยเตรียมห้องผิ่นอวี้ไว้ให้คุณหนูแล้วขอรับ ประเดี๋ยวจะส่งเครื่องประดับที่คุณหนูถูกใจเข้าไปให้ด้วยตนเองนะขอรับ”
“รบกวนนำทางด้วย” สำหรับเรื่องทั้งหมดนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งไม่ได้พูดอธิบายแม้แต่คำเดียว เพียงแค่กล่าวคำเกรงใจอย่างเรียบเฉย จากนั้นตามหลงจู๊เมิ่งขึ้นไปชั้นสาม
เพิ่งจะขึ้นมาถึงชั้นสามก็ได้ยินเสียงอุทานชื่นชมดังออกมาจากในห้องหมู่ตัน
“น้องเล็ก เจ้าใส่เครื่องหยกชิ้นนี้ขึ้นจริงๆ แขนเจ้าเกลี้ยงเกลาขาวหมดจดราวกับรากบัวก็ไม่ปาน เหมาะกับมรกตสีเขียวสดใสที่สุด”
“ตามความคิดของข้า ท่านหญิงของพวกเราเหมาะกับปู้เหยา ทองคำด้ามนี้มากกว่า เถียนเอ๋อร์เดิมก็เป็นผู้สูงศักดิ์ ย่อมเหมาะกับปู้เหยาทองคำลายพญาหงส์มองผยองอันนี้แน่นอน”
“ข้าว่านะ สายตาของพี่สะใภ้ทั้งสองธรรมดาเกินไป เถียนเอ๋อร์รูปโฉมงามงดเช่นนี้ ไยต้องประดับตกแต่งด้วย ต่อให้เกล้ามวยธรรมดาๆ ก็ยังงามล่มบ้านล่มเมือง”
แต่ละประโยคแต่ละเสียงแทบจะเยินยอผู้ที่ยังมิได้เอ่ยปากจนลอยขึ้นฟ้า ทำให้ในดวงตาอวิ๋นอี้อี้ปรากฏความริษยาผ่านวาบ จู่ๆ ก็ขยับเข้าไปใกล้อวิ๋นเชียนเมิ่ง พูดเสียงเบาๆ “แต่อี้อี้คิดว่าพี่ใหญ่งดงามไม่เป็นสองรองใครในใต้หล้า”
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าข้างหน้ายังมีหลงจู๊เมิ่งอยู่อีกคน ในใจจึงหงุดหงิดกับความปากเบาของอวิ๋นอี้อี้อยู่บ้าง หากผู้อื่นได้ยินเข้าจะเป็นการสร้างศัตรูให้ตนเองโดยใช่เหตุแท้ๆ
ครั้นแล้วจึงตีเสียงเย็นชาโต้กลับ “ห้ามพูดจาส่งเดชเด็ดขาด! เจ้าเคยพบคนมาแค่ไม่กี่คนก็เยินยอสรรเสริญเกินจริงเช่นนี้ หากคนที่ประสงค์ร้ายได้ยินเข้าจะไม่สร้างศัตรูให้จวนอัครเสนาบดีหรือไร ยิ่งไปกว่านั้นบนโลกนี้เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า ยังมีคนอื่นอีกมากที่รูปโฉมงามเลิศล้ำ จะวนมาถึงตาข้าได้อย่างไร คราวหน้าห้ามพูดจาพล่อยๆ แบบนี้อีก”
อวิ๋นอี้อี้คิดไม่ถึงว่าการตบก้นม้า ของตนจะตบโดนขาม้าเข้า ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งตำหนิตนอย่างรุนแรงต่อหน้าคนแปลกหน้า ในใจจึงโกรธเกรี้ยวไม่น้อย แต่ชั่วพริบตาพลันนึกได้ว่ายามนี้ตนเองต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น จวนอัครเสนาบดียังคงเป็นฉากกันลมของนางอยู่ หากเป็นเหตุให้จวนอัครเสนาบดีตกอยู่ในอันตรายเพราะเรื่องพรรค์นี้ก็ไม่คุ้มค่าจริงๆ จึงรีบก้มหน้ายอมรับผิด “ท่านพี่สั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว น้องปากเบาเองเจ้าค่ะ”
อวิ๋นเชียนเมิ่งเดาฐานะของฝ่ายตรงข้ามได้ตั้งแต่แรกแล้วจากถ้อยคำเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้ยินเมื่อครู่
ทำให้พี่สะใภ้ทั้งสามประจบเอาใจได้ถึงเพียงนี้ และขณะเดียวกันก็มีฐานะเป็นท่านหญิงนามว่าเถียนเอ๋อร์ เกรงว่าจะมีเพียงท่านหญิงไห่เถียนแห่งจวนไห่อ๋องที่ควบคุมดูแลเรื่องต่างๆ ในครอบครัวไว้ครึ่งหนึ่งผู้นั้น
สตรีตัวคนเดียวสามารถทำให้บรรดาพี่สะใภ้ที่ฐานะสูงศักดิ์เช่นเดียวกันพินอบพิเทาจนถึงขั้นประจบประแจงได้ ไห่เถียนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีเล่ห์เหลี่ยม สมองก็ดีเลิศเป็นที่หนึ่งเช่นเดียวกัน
ไห่อ๋องเป็นหนึ่งในขุนนางกงฉินที่ติดตามฮ่องเต้องค์ก่อนพิชิตใต้หล้า ซ้ำไห่อ๋องก็เป็นคนชอบคบค้าสมาคม ในจวนชุบเลี้ยงผู้มีความสามารถไว้มากมายนับไม่ถ้วน
ถึงจะเป็นสตรีอ่อนแอบอบบาง แต่ไห่เถียนได้รับเลือกจากไห่อ๋องให้เป็นผู้ดูแลจวนอ๋องด้วยตนเอง ความสามารถเช่นนี้หาใช่สิ่งที่สตรีธรรมดาทั่วไปสามารถทำได้
ว่ากันว่าแต่ก่อนในจวนไห่อ๋องมีท่านหญิงหลินซึ่งฐานะทัดเทียมกับนาง แต่ถูกไห่เถียนเล่นงานจนต้องออกเรือนไปก่อนเวลาอันควร เห็นได้ว่าไห่เถียนหาใช่คนที่มีจิตใจกว้างขวางนัก
หากทำให้จวนอัครเสนาบดีกับจวนไห่อ๋องเป็นปฏิปักษ์กันเพียงเพราะเรื่องรูปโฉม เกรงว่าจวนอัครเสนาบดีคงไม่ได้ประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น
นี่ก็คือเหตุผลสำคัญที่สุดที่อวิ๋นเชียนเมิ่งพูดตำหนิอวิ๋นอี้อี้
หลงจู๊เมิ่งที่อยู่ข้างหน้ากลับฟังบทสนทนาของสองพี่น้องเข้าหูอย่างไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว ในใจอดมองคุณหนูใหญ่แห่งจวนอัครเสนาบดีผู้นี้ใหม่อีกครั้งไม่ได้
ยามสตรีคนอื่นได้ยินสตรีอีกคนเอ่ยชื่นชมตนเอง มีคนใดบ้างไม่ยิ้มหน้าชื่นตาบาน
มีเพียงอวิ๋นเชียนเมิ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการเผยสิ้นคมดาบ* อย่างลึกซึ้ง
ด้วยสายตาของหลงจู๊เมิ่ง คุณหนูใหญ่ผู้นี้ต้องเป็นสตรีผู้เลิศล้ำหาใดเปรียบเป็นแน่ ไม่เพียงแค่ในด้านรูปโฉม แต่ยังรวมถึงความฉลาดปราดเปรื่องและสมองที่หลักแหลมของนาง
ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ที่ทำให้คนอดสนใจใคร่รู้ไม่ได้ผู้นี้กับท่านหญิงไห่เถียนในห้องหมู่ตันผู้นั้นใครจะเหนือกว่าใคร
“คุณหนูใหญ่ ถึงห้องผิ่นอวี้แล้วขอรับ ผู้น้อยจะเตรียมการเดี๋ยวนี้” หลงจู๊เมิ่งต้อนรับอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้าสู่ห้องผิ่นอวี้ จากนั้นถึงผ่อนฝีเท้าถอยออกไป
พอประตูห้องผิ่นอวี้ปิดลง ดวงตาคู่นั้นของอวิ๋นอี้อี้ก็กลอกไปมา นางกวาดตามองไปทั่วห้องอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นมือเล็กๆ ทั้งสองข้างยังลูบคลำไปทั่วด้วยความอยากรู้อยากเห็น ราวกับต้องได้สัมผัส นางถึงจะวางใจได้ว่าภาพตรงหน้ามิใช่เพียงภาพฝัน
เมื่อชื่นชมจนหนำใจแล้วอวิ๋นอี้อี้จึงนั่งลงข้างๆ อวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยความเหนื่อยอ่อน หลังจากดื่มชาหมดหนึ่งถ้วยก็เบิกดวงตากลมโตคู่นั้นกว้างพลางถามด้วยความใคร่รู้ “พี่ใหญ่ ไม่ทราบว่าราคาของร้านนี้เป็นอย่างไรหรือ”
อวิ๋นเชียนเมิ่งเก็บความคิดของตนเอง ยิ้มบางๆ พร้อมกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินหรอก ขอแค่เจ้าชอบ ข้าย่อมซื้อให้เจ้าแน่นอน”
อวิ๋นอี้อี้เห็นอีกฝ่ายใจกว้างถึงเพียงนี้ ดวงตาทั้งสองข้างพลันปรากฏแววซาบซึ้ง ทว่านางเองก็มิใช่คนโง่เขลา แม้อวิ๋นเชียนเมิ่งไม่ได้บอกขอบเขตจำกัด แต่อวิ๋นอี้อี้ก็รู้ดีว่าครั้งแรกจะซื้อมากเกินไปไม่ได้ มิเช่นนั้นก็จะไม่มีโอกาสครั้งต่อไป
ยามนี้อวิ๋นอี้อี้เห็นท่าทางดื่มชาอันสง่างามของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ในใจนึกอิจฉายิ่ง ถึงจะอยากรู้ว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งเตรียมเครื่องประดับแบบใดไว้ให้ตนกันแน่ แต่ก็ยังระงับอารมณ์เอาไว้ ค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นละเลียดจิบคำหนึ่งเลียนแบบนาง
ยามนี้เสียงเคาะประตูอย่างมีมารยาทดังขึ้นจากนอกประตู หลังจากมู่ชุนถามกระจ่างว่าผู้มาใหม่คือใครถึงเปิดประตูไม้ออก หลงจู๊เมิ่งนำบ่าวรับใช้แปดคนเดินเข้ามา บนมือบ่าวรับใช้เหล่านั้นล้วนประคองถาดคนละหนึ่งใบ บนถาดมีกล่องต่างชนิดกันวางไว้ แต่ตอนนี้ฝากล่องปิดสนิททำให้มองไม่เห็นเครื่องประดับที่อยู่ด้านใน ยิ่งทำให้หัวใจของอวิ๋นอี้อี้ร้อนรนไม่หยุดราวกับถูกลูกแมวขีดข่วน
บ่าวรับใช้ทั้งแปดคนยืนเรียงแถวหน้ากระดาน หลงจู๊เมิ่งเดินก้าวขึ้นมาข้างหน้า เอ่ยปากยิ้มๆ “คุณหนูใหญ่ นี่คือสิ่งที่ท่านสั่งเอาไว้ เชิญท่านชมได้ขอรับ”
พูดจบหลงจู๊เมิ่งก็เดินไปตรงหน้าบ่าวรับใช้คนแรกก่อน เปิดตลับที่ทำจากหยกเหลืองชั้นดีออก แสงแวววาววิบวับค่อยๆ เปล่งประกายออกมา
อวิ๋นอี้อี้อยากจะดูของล้ำค่าเหล่านั้นอย่างอดใจรอไม่ไหวตั้งนานแล้ว ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับลุกขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว เดินไปหาตลับใบนั้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน แม้อวิ๋นอี้อี้จะใจร้อนดั่งไฟลน แต่ก็ทำได้เพียงเดินตามหลังเข้าไปด้วยฝีเท้าเชื่องช้า
“อี้อี้ เจ้ามาดูสิ เครื่องประดับศีรษะครบชุดชุดนี้เจ้าชอบหรือไม่” อวิ๋นเชียนเมิ่งดึงมืออวิ๋นอี้อี้เข้ามาอย่างสนิทสนม ชี้ไปยังเครื่องประดับซึ่งทำจากหยกเหลือง ด้านบนฝังไข่มุกครบชุด เอ่ยถามอวิ๋นอี้อี้ที่มองจนตะลึงลานไปแล้วด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
อวิ๋นอี้อี้มองดูเครื่องประดับอันวิจิตรประณีต งามสง่าเรียบหรู รูปแบบสวยงามแปลกใหม่ซึ่งอยู่ภายใน พยักหน้าแรงๆ
อวิ๋นเชียนเมิ่งผลิยิ้มบางๆ จากนั้นก็ลากนางเดินมาตรงหน้ากล่องไม้ประดู่ใบที่สองทันที ครั้งนี้กล่องที่ถูกเปิดออกข้างในมีหลายชั้นซ้อนกัน เครื่องประดับที่หญิงสาวจำเป็นต้องใช้ เช่น ต่างหูอันเล็ก ปิ่นทองอันใหญ่ ล้วนหาเจอได้ในกล่องใบนี้ ประกายเจิดจ้านั้นระยิบระยับจนอวิ๋นอี้อี้ตาลายเสียแล้ว
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นภาพเช่นนี้แต่กลับมิได้แสดงท่าทีใดๆ ทั้งยังดึงนางให้ค่อยๆ เดินต่อไปเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งได้เห็นชุดสุดท้ายถึงคลายมืออวิ๋นอี้อี้ออก ยิ้มบางๆ พลางถาม “พี่เตรียมเครื่องประดับพวกนี้ไว้ให้ ไม่ทราบว่าน้องถูกใจชุดไหนหรือ”
ได้ยินอีกฝ่ายถามเช่นนี้ อวิ๋นอี้อี้ก็อยากจะอ้าปากบอกว่าชอบหมดเลยใจจะขาด
ทว่านางก็รู้ดีว่าไม่ต้องพูดถึงว่าต้องการเครื่องประดับเหล่านี้หมดทั้งแปดชุด ต่อให้แค่ต่างหูข้างเดียวในชุดใดชุดหนึ่งก็มีราคาค่างวดไม่ธรรมดา แต่นางก็ชอบเครื่องประดับเหล่านี้ทั้งหมด ทิ้งชิ้นนี้ก็เสียดาย ปล่อยชุดนั้นก็เสียใจ ดวงตากลมโตคู่นั้นมองกล่องทั้งแปดใบนั้นสลับไปมาไม่หยุด ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังตัดสินใจไม่ได้
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นนางตัดสินใจลำบากเช่นนี้ก็รู้ว่าอวิ๋นอี้อี้จะต้องละโมบอยากได้ทั้งหมดเป็นแน่ รอยยิ้มตรงมุมปากจึงค่อยๆ จางลง ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น “ข้ากลับคิดว่าชุดสุดท้ายเหมาะกับเจ้าที่สุด เจ้าอายุยังน้อย เหมาะกับเครื่องประดับรูปแบบน่ารักสีสันสดใสชุดนั้นที่สุด”
อวิ๋นอี้อี้ได้ยินความเห็นของอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงเดินไปอยู่ตรงหน้าเครื่องประดับชุดนั้นด้วยฝีเท้าเร็วรี่ ยื่นมือออกไปหยิบใส่มือลองสวมดูทีละชิ้นๆ มองดูตนเองในคันฉ่องเปลี่ยนเป็นงามหยาดเยิ้มยิ่งขึ้น รอยยิ้มในดวงตาก็ยิ่งเพิ่มพูน จึงยิ้มพลางตอบกลับ “พี่ใหญ่ท่านตาถึงยิ่งนัก ตั้งเนิ่นนานแล้วน้องยังเลือกไม่ได้ แต่พี่ใหญ่กลับสายตาแหลมคม”
ทว่าดวงตาที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจคู่นั้นกลับวาดผ่านด้วยความผิดหวังอย่างรุนแรง
อวิ๋นอี้อี้แอบคิดในใจไม่ได้ว่าหากมอบให้นางทั้งหมดนี้จะดีแค่ไหนกันหนอ
อวิ๋นเชียนเมิ่งเดาความคิดนางได้ทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรกแล้ว คนบางคนจะปล่อยให้เคยตัวไม่ได้ มิเช่นนั้นต่อไปความหิวกระหายของพวกนางจะยิ่งพอกพูนมากขึ้น คงมีสักวันที่จะทำร้ายชีวิตช่วงชิงทรัพย์สินผู้อื่นเพื่อความปรารถนาส่วนตัว
อวิ๋นเชียนเมิ่งลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างเฉยชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลงจู๊เมิ่ง พวกเราเอาชุดนี้แหละ ส่วนของฮูหยินผู้เฒ่ากับน้องสามสองชุดนั้นให้คนส่งไปที่จวนอัครเสนาบดี แล้วค่อยคิดไปที่ห้องบัญชีคิดเงินรวมกัน”
หลงจู๊เมิ่งเองก็มองความคิดจิตใจของอวิ๋นอี้อี้ไว้ในสายตาเช่นเดียวกัน ยามนี้จึงยิ่งเห็นด้วยกับวิธีการของอวิ๋นเชียนเมิ่ง
อย่างไรเครื่องประดับของหอฟู่กุ้ยก็มิใช่ถูกๆ ชุดที่อวิ๋นอี้อี้เลือกเมื่อครู่คิดเป็นเงินถึงห้าพันตำลึงเงิน
“ขอรับ” หลงจู๊เมิ่งตอบกลับ จากนั้นนำอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินออกไปข้างนอก
ยามนี้ประตูบานใหญ่ของห้องหมู่ตันก็ถูกผลักเปิดออกพอดี สตรีรูปโฉมงามล้ำสยบผู้คนนางหนึ่งเดินออกมาจากด้านในเป็นคนแรก
ทำให้ผู้อื่นรู้สึกถึงความมีตัวตนปานนี้คงจะเป็นไห่เถียนกระมัง
ไห่เถียนแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศ ในเส้นผมดำขลับปักด้วยปิ่นหยกม่วงสลักหลายอัน ด้านข้างประดับด้วยไข่มุกขนาดเท่านิ้วชี้กลบได้ ติ่งหูขาวผ่องเล็กน่ารักสวมต่างหูหยกม่วงสีเดียวกัน ในดวงตาละมุนดุจสายน้ำคู่นั้นเจือความกระจ่างและความร้ายกาจที่ทำให้คนไม่อาจมองข้ามได้ พาให้คนทั่วไปเห็นแล้วล้วนหัวใจหนาวเหน็บ
ข้างกายไห่เถียนยามนี้ห้อมล้อมด้วยหญิงสาวออกเรือนแล้วรูปโฉมงดงามสามคน คงจะเป็นพี่สะใภ้ทั้งสามของนาง
ทว่ายามนี้ความสนใจของไห่เถียนมิได้อยู่ที่พี่สะใภ้สามคนนั้น นัยน์ตาซึ่งแฝงด้วยความน่าเกรงขามคู่นั้นแลเลยผ่านผู้คนมายังอวิ๋นเชียนเมิ่ง เมื่อเห็นผ้าคลุมหน้าบนศีรษะอวิ๋นเชียนเมิ่ง หัวคิ้วงามงดนั้นก็ขมวดเบาๆ อย่างไม่ยี่หระ
แต่อากัปกิริยาเล็กๆ น้อยๆ นี้กลับดึงดูดความสนใจคนที่อยู่ข้างกายนางได้ทันที
สาวใช้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นออกมาจากกลุ่มคน จากนั้นคุกเข่าสองข้างลงตรงหน้าไห่เถียน ในสองมือที่ประคองขึ้นสูงคือผ้าคลุมหน้าสีม่วงอ่อนผืนหนึ่ง
สาวใช้อีกคนเห็นเช่นนี้จึงรีบรับผ้าคลุมหน้าผืนนั้นมาทันที สวมให้ไห่เถียนอย่างระมัดระวังและเรียบร้อยบรรจง จากนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงเฉียบขาดดังขึ้นจากหลังผ้าโปร่งบางนั้น “พากลับไป โบยให้ตาย!”
เรื่องโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ไห่เถียนกลับกล้าทำออกมาต่อหน้าผู้อื่น ส่วนคนที่อยู่ข้างกายนางต่างก็มีสีหน้าไม่ใส่ใจไยดี พี่สะใภ้ทั้งสามนั้นยิ่งฉวยโอกาสก่นด่าสาวใช้ผู้นั้น ทุกคนล้วนไม่มีใจสงสารเลยแม้แต่กระผีกริ้น
เด็กสาวผู้นั้นคล้ายกับคาดเดาถึงจุดจบของตนเองได้ตั้งแต่แรกแล้วจึงไม่มีแม้แต่การดิ้นรนร้องขอชีวิต ถูกแม่นมที่แรงเยอะหลายคนลากลงไปด้วยสีหน้าซีดเผือด
อวิ๋นอี้อี้เห็นหญิงสาวรูปโฉมงดงามคนเมื่อครู่โหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้ ในใจจึงหวาดกลัวยิ่ง หลบไปด้านหลังอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยตัวสั่นเทาเล็กน้อย
พอเรื่องนี้เอะอะวุ่นวายขึ้น พวกอวิ๋นเชียนเมิ่งก็มาถึงตรงหน้าบันไดพอดี ส่วนห้องหมู่ตันเดิมทีก็ตั้งอยู่หน้าบันได ทันใดนั้นคนของทั้งสองฝ่ายจึงยืนกันอยู่คนละด้านของบันได พี่สะใภ้ทั้งสามมองมายังพวกอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย ส่วนไห่เถียนกับอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับจ้องหน้ากันเงียบๆ ผ่านผ้าบางๆ
หลงจู๊เมิ่งเองก็ไม่คิดว่าทั้งสองจะประจันหน้ากันเข้าจริงๆ ลอบคิดกับตนเองว่าควรจะเอ่ยปากทำลายสถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้อย่างไรดี
ผ่านไปครู่ใหญ่ อวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นฝ่ายถอยหลังให้สามก้าว หลีกทางตรงหน้าบันใดให้พวกไห่เถียน
นัยน์ตาไห่เถียนพลันปรากฏแววงุนงง จากนั้นก็วาวด้วยโทสะเบาบาง เพียงแต่ตนเองได้เสียเกียรติและความใจกว้างไปกับการหลีกทางเมื่อครู่แล้ว จึงไม่อาจแพ้ให้แก่ฝ่ายตรงข้ามภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคนอีก นางจึงขยับเข้าไปหนึ่งก้าว ดวงตาทั้งสองข้างจดจ้องนัยน์ตาเย็นเยียบซึ่งอยู่ท่ามกลางความพร่ามัวคู่นั้นแน่วนิ่งพลางกล่าวเสียงเย็นชา “ขอบคุณมาก”
อวิ๋นเชียนเมิ่งเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เบนสายตาหนี
พี่สะใภ้ทั้งสามซึ่งอยู่อีกด้านเห็นว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งที่อยู่ตรงหน้านับว่ารู้กาลเทศะอยู่บ้าง พร้อมทั้งเห็นว่าวันนี้ออกมาข้างนอกนานแล้ว จึงพากันกรูตามไห่เถียนลงจากชั้นสามไปขึ้นรถม้าของจวนไห่อ๋อง
อวิ๋นอี้อี้ที่ขึ้นรถม้าทางด้านนี้ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ไห่เถียน
“พี่ใหญ่ ท่านรู้หรือไม่ว่าคนเมื่อกี้คือใคร รูปโฉมงามเลิศดุจบุปผา แต่ว่าสีหน้าเย็นชาไปหน่อย ซ้ำยังปฏิบัติกับคนรับใช้อย่างไร้มนุษยธรรมโดยสิ้นเชิง” พออวิ๋นอี้อี้นึกถึงสายตายามไห่เถียนมองมายังพวกตนเมื่อครู่ ทั้งร่างก็สั่นเทิ้มเบาๆ
ไม่รู้ว่าสตรีผู้นั้นเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นไร เหตุใดในดวงตาคู่งามสุกสกาวคู่นั้นถึงคมปลาบดุจประกายดาบเงากระบี่จนชวนให้คนหวาดกลัวได้ปานนั้น
อวิ๋นเชียนเมิ่งฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ที่อวิ๋นอี้อี้พูดถึงไห่เถียน แต่กลับมิได้เอ่ยปากอันใด
ในจวนไห่อ๋องที่มืดลึกดุจถ้ำเสือ หากไห่เถียนใจอ่อนมีเมตตา เกรงว่ายามนี้คงกลายเป็นกองกระดูกไปนานแล้ว
นอกจากนั้นอวิ๋นอี้อี้ยังหลงคิดว่าทุกคนล้วนเป็นเหมือนอวิ๋นเสวียนจือ ปล่อยให้อี๋เหนียงผู้หนึ่งใช้มือเดียวปิดฟ้า*ควบคุมบงการจวนอัครเสนาบดี
รากฐานของจวนไห่อ๋องลึกล้ำกว่าจวนอัครเสนาบดีมากนัก ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนในเบื้องลึกเบื้องหลังนั้นทำให้จวนไห่อ๋องกลายเป็นป้อมปราการที่กัดกินผู้คนจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกไปแล้ว
หากไห่เถียนไม่ใช้กฎตระกูลที่เข้มงวดกุมอำนาจ ป่านนี้จวนไห่อ๋องคงจะอลหม่านวุ่นวายไปแล้ว
ถึงแม้ตนเองจะทนรูปแบบการกระทำที่โหดเหี้ยมอำมหิตของนางไม่ได้ แต่ก็ชื่นชมความเด็ดขาดเยือกเย็นของนางด้วยเช่นกัน
ในระหว่างที่กำลังสนทนากันอยู่ รถม้าก็มาถึงหน้าประตูจวนอัครเสนาบดี กระทั่งอวิ๋นเชียนเมิ่งและอวิ๋นอี้อี้คารวะฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จสิ้นถึงได้กลับไปยังเรือนฉี่หลัว