ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ
ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ
บทที่ 14 คายสินเดิมออกมาให้ข้าทั้งหมด
เรื่องที่อวิ๋นเชียนเมิ่งซื้อเครื่องประดับให้อวิ๋นอี้อี้เพื่อเตรียมตัวไปร่วมงานครบรอบวันเกิดของเหล่าไท่จวินแพร่ไปถึงหูอวิ๋นรั่วเสวี่ย
วันนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งยังไม่ทันตื่น อวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับแอบดอดออกมาจากศาลบรรพชน พาสาวรับใช้มายังเรือนฉี่หลัว
รออยู่ที่ห้องปีกข้างเนิ่นนาน ดื่มชาไปแล้วสามถ้วย อวิ๋นรั่วเสวี่ยถึงได้เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า นางจึงเดินเข้าไปต้อนรับอย่างกระตือรือร้นทันที คำนับอย่างพินอบพิเทาพร้อมกล่าว “น้องคารวะท่านพี่เจ้าค่ะ”
พอเห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ย ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งย่อมรู้ดีว่านางมาเพราะเรื่องใด เพียงแต่ใบหน้ากลับแฝงแววประหลาดใจพลางเอ่ยว่า “ไฉนวันนี้น้องรองถึงไม่ได้สำนึกผิดอยู่ที่ศาลบรรพชนเล่า”
เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งแกล้งถามทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เพราะยามนี้มีเรื่องจะขอร้องนาง อวิ๋นรั่วเสวี่ยย่อมไม่อาจล่วงเกินนางได้ ทำได้เพียงยิ้มแหยๆ ตอบกลับเสียงเบา “วันนี้น้องมาแค่เพราะอยากขอให้ท่านพี่พาน้องไปร่วมงานครบรอบวันเกิดของเหล่าไท่จวินด้วยเจ้าค่ะ ท่านพี่ก็รู้ว่าตอนนี้น้องถูกท่านพ่อลงโทษให้คุกเข่าไม่อาจออกจากจวนได้ อีกทั้งเดี๋ยวนี้ตอนอยู่ต่อหน้าท่านพ่อกับท่านย่า ท่านพี่ก็ได้รับความเอ็นดูมากยิ่ง หวังว่าท่านพี่จะขอความเมตตาให้น้องต่อหน้าท่านพ่อกับท่านย่าได้”
พูดได้ครึ่งหนึ่งอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็เงยหน้าขึ้นมองอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างร้อนรนแวบหนึ่ง รีบพูดให้กระจ่างทันที “น้องแค่คิดว่าไม่ว่าอย่างไรกู่เหล่าไท่จวินก็เป็นท่านยายของน้อง เมื่อก่อนตอนน้องไปจวนฝู่กั๋วกง เหล่าไท่จวินเองก็ต้อนรับอย่างอบอุ่น อีกอย่างครั้งนี้ยังเป็นงานวันเกิดอายุครบหกสิบของท่าน หากเสวี่ยเอ๋อร์ไม่ไปจะไม่ถูกผู้อื่นครหาหรอกหรือ ขอท่านพี่ช่วยให้ใจกตัญญูของน้องได้สมปรารถนาด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
พูดจบอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็หมายจะคุกเข่าให้อวิ๋นเชียนเมิ่ง
ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งไหนเลยจะยอมให้นางทำเช่นนี้ พอนางคุกเข่าลงแล้ว หากตนเองไม่รับปาก กลัวว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยคงจะไม่ยอมลุกขึ้นมา พอถึงตอนนั้นซูชิงจะต้องฉวยโอกาสเล่นแผนสกปรกแน่นอน
อวิ๋นเชียนเมิ่งส่งสายตาให้มู่ชุนกับแม่นมหมี่อย่างรวดเร็วปราดหนึ่ง ทั้งสองคนเข้าใจความนัยจึงหมายจะขยับเดินเข้าไป แต่กลับถูกสาวใช้สองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของอวิ๋นรั่วเสวี่ยขวางไว้
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นภาพนั้น บนใบหน้ากลับฉายแววปลาบปลื้ม ยื่นมือออกไปพยุงสองแขนของอวิ๋นรั่วเสวี่ยเอาไว้อย่างรวดเร็ว ยับยั้งการคุกเข่าของนางไว้ได้ทัน
แต่อวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับตัดสินใจแน่วแน่ไว้ตั้งแต่แรก พยายามจะคุกเข่าลงไปให้ได้ ปากพร่ำกล่าวถ้อยวจีเปี่ยมคุณธรรม “ขอท่านพี่ช่วยให้สมปรารถนาด้วยเจ้าค่ะ”
ครั้นเห็นนางดื้อดึงถึงเพียงนี้ ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งก็รำคาญอย่างหาใดเปรียบ แต่ริมฝีปากกลับกล่าวยิ้มๆ “น้องช่างมีความตั้งใจดีจริงๆ ใจกตัญญูของน้อง หากท่านยายทราบจะต้องปลื้มใจเป็นแน่ ไม่ว่าน้องจะไปหรือไม่ พี่จะบอกกล่าวความคิดของน้องให้ท่านยายทราบแน่นอน ท่านคงจะไม่ถือสาหาความหรอก เพราะฉะนั้นลุกขึ้นเถอะ อย่าปล่อยให้พวกบ่าวรับใช้เห็นแล้วพากันคิดว่าพี่รังแกน้อง ทำให้ความรักใคร่ฉันพี่น้องของพวกเราร้าวฉานเลย”
พูดจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ออกแรงหนักมือขึ้น บีบให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยจำต้องหยัดกายลุกขึ้น
อีกด้านหนึ่งอวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับแอบตื่นตะลึง อวิ๋นเชียนเมิ่งซึ่งถูกเลี้ยงมาในห้องหับมีเรี่ยวแรงมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน จากนั้นจึงย่นคิ้วน้อยๆ เพราะความเจ็บปวดที่แขน ขณะกำลังจะเปิดปากพูดโน้มน้าวต่อ กลับเห็นมู่ชุนและแม่นมหมี่เดินผ่านเลยสาวใช้ทั้งสองของนางเข้ามาประกบข้างกายนางทั้งซ้ายขวา จึงทำได้เพียงยอมล้มเลิกความคิดไว้ชั่วคราว
ยามนี้บนใบหน้าเล็กของอวิ๋นรั่วเสวี่ยเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ คล้ายกับรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ไม่สามารถไปอวยพรวันเกิดแก่เหล่าไท่จวินได้ด้วยตนเองจริงๆ
อวิ๋นเชียนเมิ่งเก็บมือทั้งสองข้างกลับ ก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งลงบนที่นั่งหัวโต๊ะในตำแหน่งประธานอย่างแช่มช้อย ครั้นเห็นท่าทางน่าเวทนาของอวิ๋นรั่วเสวี่ย คิ้วงามก็ขมวดเบาๆ พลางทอดถอนใจก่อนเอ่ยขึ้น “ไยน้องต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า พี่บอกกล่าวกับท่านย่าไปตั้งแต่แรกแล้วว่าอยากให้น้องไปร่วมงานครบรอบวันเกิดท่านยายด้วย แต่ปัญหาคือน้องก็รู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาซูอี๋เหนียงไม่อยากจะเป็นมิตรกับพี่ ภายใต้ความสัมพันธ์เช่นนี้พี่ย่อมไม่สะดวกใจจะพาน้องไปงานด้วย หากพูดกันตามตรงซูอี๋เหนียงคือมารดาบังเกิดเกล้าของน้อง ถึงแม้จะเป็นแค่บ่าวคนหนึ่ง แต่บนศีรษะน้องกลับถูกกดทับด้วยคำว่า ‘กตัญญู’ หากฝ่าฝืนความต้องการของซูอี๋เหนียง เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของน้อง”
พูดจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็คล้ายกับตกที่นั่งลำบากยิ่งจริงๆ มือหนึ่งตบโต๊ะเบาๆ บอกให้รู้ว่านางก็จนปัญญาเช่นกัน
อวิ๋นรั่วเสวี่ยได้ยินเช่นนี้ มือที่เช็ดน้ำตาพลันชะงักเล็กน้อย
“คุณหนู ได้เวลาไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเจ้าค่ะ” ทันใดนั้นเองแม่นมหมี่ก็ส่งเสียงเอ่ยเตือนขึ้น
แม่นมหมี่ย่อมทนดูอวิ๋นรั่วเสวี่ยต่อไปไม่ไหว เมื่อครู่ได้ยินวาจาพรืดใหญ่ของอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ยิ่งทำให้แม่นมหมี่รู้สึกว่าเหตุใดโลกนี้ถึงได้มีคนหน้าไม่อายพรรค์นี้หนอ
ท่านยายของอวิ๋นรั่วเสวี่ยคือฮูหยินผู้เฒ่าในจวนสกุลซู กู่เหล่าไท่จวินแห่งจวนฝู่กั๋วกงผู้นั้นเป็นท่านยายแท้ๆ ของคุณหนูของนางต่างหาก ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่เป็นบุตรอนุภรรยาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่อวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับนับญาติซี้ซั้ว ดึงดันจะเรียกกู่เหล่าไท่จวินเป็นท่านยายของตนเอง ชวนให้คลื่นไส้เสียจริง
นอกจากนั้นยังเห็นท่าทีเกาะหนึบไม่ยอมจากไปของอวิ๋นรั่วเสวี่ย แม่นมหมี่กลัวว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะหงุดหงิดรำคาญใจจึงเอ่ยปากพูดเตือนเพื่อมิให้สิ้นเปลืองน้ำชาของเรือนฉี่หลัว
อวิ๋นเชียนเมิ่งไหนเลยจะไม่รู้ความคิดของแม่นมหมี่ นางแสร้งทำราวกับไม่รู้ตัวว่าฟ้าสว่างโร่แล้ว พลันตื่นตกใจเล็กน้อย ลุกขึ้นพร้อมกับรีบกล่าวทันทีว่า “สายขนาดนี้แล้ว พวกเรารีบไปกันเถิด จะให้ท่านย่ารอนานไม่ได้”
ทุกคนรีบกรูเข้าไปประคองอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินออกไปข้างนอก คนกลุ่มใหญ่เบียดอวิ๋นรั่วเสวี่ยซึ่งเดิมทียืนอยู่ตรงกลางไปอีกด้าน ทว่าพอเห็นว่าบัดนี้ทุกคนพะเน้าพะนอเอาใจอวิ๋นเชียนเมิ่งถึงเพียงนี้ ในดวงตาของอวิ๋นรั่วเสวี่ยพลันปรากฏประกายริษยาวาบผ่านอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มหน้าลงส่งๆ ย่อกายครึ่งหนึ่งคำนับอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างเงียบเชียบ ท่าทางน่าสงสารน่าเวทนายิ่งนัก
ทว่าพออวิ๋นเชียนเมิ่งเดินมาถึงข้างกายอวิ๋นรั่วเสวี่ยนางกลับหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน ก้มตัวลงเล็กน้อย กระซิบเสียงเบาข้างหูอวิ๋นรั่วเสวี่ย “ครั้งนี้น้องสี่ก็ไปร่วมงานด้วยแน่นอน น้องรั่วเสวี่ยต้องพูดโน้มน้าวซูอี๋เหนียงให้ดีล่ะ ต่อให้น้องพูดโน้มน้าวซูอี๋เหนียงได้ แต่หากไม่มีข้านำทางเกรงว่าคงจะเข้าประตูใหญ่ของจวนฝู่กั๋วกงไม่ได้หรอก”
“ท่านพี่ได้โปรดชี้ทางให้น้องด้วย” พอได้ยินว่านางเด็กบ้านนอกอย่างอวิ๋นอี้อี้ก็จะไปร่วมงานครบรอบวันเกิดท่านยายด้วยเช่นกัน ในใจอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ร้อนรนขึ้นมาจนต้องออกปาก
อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับหัวเราะเสียงต่ำก่อนเอ่ยขึ้น “น้องก็รู้ว่าพี่เสียมารดาไปตั้งแต่ยังเล็ก สิ่งเดียวที่สามารถเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ก็คือสินเดิมของท่านแม่ แต่กลัวว่าของเหล่านี้จะอยู่ในมือซูอี๋เหนียงน่ะสิ”
กล่าวจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ไม่เอ่ยวาจาใดให้มากความอีก นำทุกคนเดินมุ่งไปยังหอไป่ซุ่นทันที
อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นทุกคนออกไปแล้วก็ตีสีหน้าถมึงทึงพร้อมกับลุกยืนขึ้น พาสาวใช้ก้าวออกจากเรือนฉี่หลัวด้วยโทสะเต็มทั่วร่าง
อวิ๋นเชียนเมิ่งออกมาจากเรือนฉี่หลัวก็เห็นหลิ่วหานอวี้กำลังเดินมาหาตน ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปก็เห็นนางยอบกายคำนับอย่างเคารพนบนอบ กล่าวด้วยความซาบซึ้ง “บ่าวขอบคุณคุณหนูใหญ่แทนเยียนเอ๋อร์ด้วยนะเจ้าคะที่ส่งเครื่องประดับมาให้ เยียนเอ๋อร์ชอบมาก หากมิใช่เพราะวันนี้เกิดเรื่องของฮวาอี๋เหนียง คุณหนูสามจะต้องรีบไปเรือนฉี่หลัวแต่เช้าตรู่ กล่าวขอบคุณคุณหนูใหญ่ด้วยตนเองแล้วเจ้าค่ะ”
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นหลิ่วหานอวี้สัตย์ซื่อจริงใจเช่นนี้จึงไม่เกรงอกเกรงใจเช่นกัน ยืนรับการคำนับของนางไว้ แล้วจึงประคองหลิ่วหานอวี้ขึ้น พูดยิ้มๆ “น้องสามเกรงใจไปแล้ว ข้าเห็นว่านางมีเครื่องประดับไม่กี่ชิ้น ซ้ำหลิ่วอี๋เหนียงก็ดูแลครอบครัวอย่างสุดกำลังแรงใจ เครื่องประดับแค่นี้ไม่ควรค่าให้เอ่ยขอบคุณด้วยซ้ำไป ยิ่งไปกว่านั้นน้องสามกับข้าจะไปร่วมงานครบรอบวันเกิดท่านยายด้วยกัน การแต่งองค์ทรงเครื่องจะให้น้อยหน้าผู้อื่นมากเกินไปไม่ได้”
หลิ่วหานอวี้ได้ยินข่าวดีนี้อย่างกะทันหัน รีบปัดความอ้างว้างเมื่อครู่ทิ้งทันที สีหน้าแววตามีความปีติยินดีเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน มุมปากยกขึ้นน้อยๆ อย่างไม่อาจควบคุม นางยิ่งซาบซึ้งในตัวอวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นล้นพ้น “คุณหนูสามมีคุณสมบัติใดให้คุณหนูใหญ่ดูแลเอาใจใส่ถึงเพียงนี้ ต่อให้บ่าวเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ก็ไม่มีอะไรจะตอบแทนได้เลยเจ้าค่ะ”
สำหรับวาจาซื่อสัตย์ภักดีเช่นนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งได้ยินมาเยอะแล้ว มิได้เชื่อว่าคนเราจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป โดยเฉพาะการมีชีวิตอยู่เพื่อเอาตัวรอดและความรุ่งโรจน์มั่งคั่งของตนเองในคฤหาสน์หลังใหญ่ ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวร มีเพียงผลประโยชน์เท่านั้นที่เป็นนิจนิรันดร์ ยิ่งทำให้นางไม่เชื่อคำสัญญาของผู้ใดง่ายๆ
ในเมื่อหลิ่วหานอวี้แสดงความจงรักภักดี อวิ๋นเชียนเมิ่งเองก็มิได้คาดคั้นให้นางพูดถึงขีดกำหนดเวลาของความภักดีสัตย์ซื่อนั้นออกมา เพียงแต่รับกล่องผ้าต่วนแดงที่นางสั่งให้ตระเตรียมไว้มาจากมือแม่นมหมี่ วางกล่องผ้าขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยใบนั้นใส่มือหลิ่วหานอวี้ เอ่ยเสียงอบอุ่น “ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเข้าตาอี๋เหนียงหรือไม่ ข้าเห็นเข้าตอนที่เลือกซื้อเครื่องประดับให้พวกน้องๆ เมื่อหลายวันก่อน รู้สึกว่าเหมาะกับหลิ่วอี๋เหนียงยิ่งก็เลยซื้อมา”
หลิ่วอี๋เหนียงแทบจะไม่กล้าเชื่อหูตนเอง นางมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยดวงตาเปี่ยมไปด้วยความตื่นตะลึง ทว่ากลับเห็นอีกฝ่ายยังคงมีท่าทางเรียบเฉยแย้มยิ้มบางๆ เหมือนเคย จึงเปิดกล่องผ้าออกด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย เห็นด้านในมีกำไลหยกขาวมันแพะ* วงหนึ่งวางอยู่ เนื้อหยกเกลี้ยงเกลามันวาว บนตัวเรือนหยกสีขาวดุจน้ำนมมีลวดลายสีแดงที่ออกแบบคล้ายดอกเหมยดอกหนึ่ง ดูจากลักษณะแล้วคงทำจากวัสดุธรรมชาติบริสุทธิ์โดยแท้
แม้หลิ่วหานอวี้จะมิได้มีความรู้กว้างขวางอย่างซูชิง แต่ก็รู้ว่ากำไลหยกนี้จะต้องเป็นสมบัติที่มีมูลค่าไม่ธรรมดาเป็นแน่ จึงไม่กล้าแตะต้องมันเท่าไรนักเพราะหวาดกลัวว่าจะทำมันตกแตก
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นท่าทางระมัดระวังสุดแสนของหลิ่วหานอวี้ จึงหยิบกำไลหยกนั้นขึ้นมาสวมให้อีกฝ่ายด้วยตนเอง จากนั้นมองดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวชื่นชม “อี๋เหนียงเหมาะกับกำไลวงนี้จริงๆ เสียด้วย ยิ่งขับเน้นให้อี๋เหนียงงามหยาดเยิ้มขึ้นไปอีก”
หลิ่วหานอวี้ได้ยินคำชมของอวิ๋นเชียนเมิ่ง พวงแก้มทั้งสองก็แดงปลั่ง มือขวาลูบกำไลหยกบนข้อมือข้างซ้ายอย่างทะนุถนอม กล่าวอย่างถ่อมตน “เป็นเพราะกำไลที่คุณหนูมอบให้เป็นของดี แต่บ่าวกลับบดบังความงามของกำไลนี้”
อวิ๋นเชียนเมิ่งได้ยินเช่นนี้จึงเพียงแค่ยิ้มไม่เอ่ยวาจา เดินไปยังทิศทางของหอไป่ซุ่นด้วยฝีเท้าเชื่องช้าแต่มั่นคง
ซูชิงที่ยามนี้อยู่ในเรือนเฟิงเหอถูกอวิ๋นรั่วเสวี่ยรบเร้ากวนใจจนปวดหัวไม่หยุด
“ท่านแม่ ท่านก็รับปากอวิ๋นเชียนเมิ่งไปสิ ลูกอยากไปงานวันเกิดกู่เหล่าไท่จวินจริงๆ นะ!” อวิ๋นรั่วเสวี่ยดึงแขนเสื้อของซูชิง ออกแรงเขย่าอย่างออดอ้อน
ส่วนซูชิงที่นั่งอยู่บนตั่งนุ่ม บนศีรษะสวมรัดเกล้าฝังหยกลายบุปผาสีม่วงเข้ม ถูกอวิ๋นรั่วเสวี่ยเกาะแกะมาครึ่งค่อนวัน กอปรกับตั้งครรภ์ใกล้จะสองเดือน ทำให้ตอนนี้นางอ่อนเพลียยิ่งนัก อยากจะให้แม่นมหวังจับอวิ๋นรั่วเสวี่ยมัดไว้ใจจะขาด
ทว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับไม่มีสายตาสอดส่องสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย ไม่เห็นความอ่อนล้าบนใบหน้าของซูชิงเลยสักนิด นางปล่อยมือจากแขนเสื้อแล้วเปลี่ยนเป็นเขย่าตัวมารดาแทน ขณะเดียวกันริมฝีปากก็ยังไม่ได้หยุดพัก
“ท่านแม่ ถ้าท่านอาลัยของพวกนั้นนักก็ทำของปลอมให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเสียสิ อย่างน้อยก็ให้ข้าไปร่วมงานวันเกิดกู่เหล่าไท่จวินก่อนเถอะ ในบ้านตอนนี้ท่านพ่อก็มาหาท่านที่นี่น้อยครั้ง ทางฝั่งท่านย่าก็ไม่อยากจะเห็นหน้าพวกเรา ถ้าหากพวกเราไม่ย่างเท้าออกจากบ้านทั้งวัน ไม่ช้าก็เร็วคงจะถูกรังแกตาย ถึงตอนนั้นท่านคลอดบุตรชายแล้วจะมีประโยชน์อะไร ไม่มีพลังอำนาจ ถูกบุตรภรรยาเอกกดหัวเหมือนเคย ไม่สู้ให้ข้าไปร่วมงานวันเกิดกู่เหล่าไท่จวิน ตั้งใจเสาะหาเขยขวัญสักคน ไม่แน่ว่าอาจจะมีประโยชน์ต่ออนาคตภายภาคหน้าของน้องชายก็เป็นได้”
นี่เป็นงานเลี้ยงครั้งแรกที่อวิ๋นรั่วเสวี่ยเข้าร่วมตั้งแต่ถึงวัยออกเรือนมา แน่นอนว่าย่อมให้ความสำคัญเป็นธรรมดา แต่ตอนนี้มารดาบังเกิดเกล้าของนางกลับห้ามไม่ให้ไปร่วมงาน จึงทำให้นางใจร้อนรุ่มดั่งไฟลน
อย่างไรก็ดี ต่อให้แต่ก่อนซูชิงรักใคร่เอ็นดูอวิ๋นรั่วเสวี่ยเพียงไร แต่ในใจนางก็รู้ดีว่าบุตรสาวอย่างไรก็สู้บุตรชายไม่ได้
อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นว่าซูชิงกุมทรัพย์สินเหล่านั้นไว้ในมือ เกรงว่าต่อไปคงมาไม่ถึงมือตนเป็นแน่ หากจะต้องเก็บไว้ให้มารที่ยังไม่ทันได้เกิดมาก็แย่งชิงความรักของมารดาและทรัพย์สินไปจากตน มิสู้มอบให้อวิ๋นเชียนเมิ่งยังจะสามารถแลกโอกาสให้ตนได้อยู่เหนือผู้อื่นสักครั้ง
ทว่ายามนี้ซูชิงถูกวาจารัวเร็วและยาวเหยียดเป็นพรืดของอวิ๋นรั่วเสวี่ยทำให้เวียนหัวไปแล้ว นางยกมือขึ้นปัดมือทั้งสองข้างของอวิ๋นรั่วเสวี่ยออก จับไหล่ทั้งสองข้างของอวิ๋นรั่วเสวี่ยเอาไว้อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก พูดปรึกษาว่า “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าตามแม่ไปพักที่จวนของท่านยายสักสองสามวันเป็นอย่างไร ท่านยายเจ้าส่งคนมาบอกว่าคิดถึงเจ้ามาก”
แต่ยามนี้อวิ๋นรั่วเสวี่ยมีเพียงกู่เหล่าไท่จวินแห่งจวนฝู่กั๋วกงเต็มดวงตาเต็มหัวใจ ถึงกับนึกไม่ออกไปชั่วขณะว่าท่านยายที่มารดานางพูดถึงเป็นใคร
อย่างไรคนหนึ่งก็เป็นฮูหยินเก้ามิ่ง ขั้นหนึ่งชั้นเอกที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ อีกคนเป็นแค่กงเหริน ขั้นสี่เล็กๆ เท่านั้น
ระหว่างสองคนนี้ใครด้อยค่าใครสำคัญ อวิ๋นรั่วเสวี่ยกระจ่างแจ้งแก่ใจยิ่ง
มิหนำซ้ำฮูหยินผู้เฒ่าซูที่จวนสกุลซูในตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่ภรรยาคนที่สองตอนที่ท่านตาของนางยังมีชีวิตอยู่ ไม่อาจนับได้ว่าเป็นยายแท้ๆ ของอวิ๋นรั่วเสวี่ย แต่เพราะว่าเกี่ยวดองกับท่านตาถึงได้เรียกขานกันเช่นนี้ เพราะฉะนั้นยามปกติอวิ๋นรั่วเสวี่ยเองก็ไม่ยอมไปมาหาสู่กับจวนสกุลซูเช่นกัน เพื่อเลี่ยงมิให้พบเจอฮูหยินผู้เฒ่าที่ชอบวางท่าใหญ่โตต่อหน้าพวกนางแม่ลูกผู้นั้น
ด้วยเหตุนี้ยามอวิ๋นรั่วเสวี่ยนึกถึงท่านยายที่ซูชิงพูดถึงจึงเอ่ยปากโดยไม่ต้องคิด “ข้าไม่ยอมไปเจอยายแก่นั่นหรอก นางมีสง่าราศีอย่างกู่เหล่าไท่จวินที่ไหนกัน ท่าทางตระหนี่และขี้ใจน้อยนั่นชวนให้คนเห็นแล้วหงุดหงิดจะตายชัก”
เดิมทีซูชิงเองก็ไม่ชอบแม่เลี้ยงผู้นั้น แต่ตอนนี้หลังจากได้ยินบุตรสาววิจารณ์คนที่บ้านเดิมของตนเองกับหู สีหน้าของนางจึงมืดทะมึนโดยฉับพลัน คว้าไหล่ทั้งสองข้างของอวิ๋นรั่วเสวี่ยพลางออกแรงบีบทันที ในดวงตายิ่งปรากฏโทสะเป็นริ้วๆ
“โอ๊ย ท่านแม่ เจ็บนะ!” แขนของอวิ๋นรั่วเสวี่ยถูกบีบจนเจ็บ คิ้วใบหลิวพลันขมวดแน่น ร้องเสียงแหลมออกมา
เสียงของซูชิงเย็นขึ้นสามส่วน “เจ้าอย่าได้ละเมอเพ้อฝัน ข้าไม่มีทางรับปากแน่!”
ทว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยในตอนนี้หน้ามืดตามัวไปแล้ว เมื่อเห็นว่าถูกซูชิงปฏิเสธอีกครั้ง ทั้งร่างก็เต้นเร่าขึ้นมาราวกับเสียสติ ทันใดนั้นพลันพุ่งถลาไปตรงหน้าซูชิงอย่างไม่คิดชีวิต โชคดีที่มีแม่นมหวังขวางอยู่ระหว่างกลาง
คำพูดที่ออกมาจากปากอวิ๋นรั่วเสวี่ยช่างทำร้ายจิตใจยิ่งนัก “ท่านแม่ สินเดิมเหล่านั้นช้าเร็วก็ต้องเป็นของข้าอยู่ดี ถ้าอย่างนั้นสู้ท่านมอบให้ข้าเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าจะบอกท่านพ่อกับท่านย่า ท่านว่าพวกเขาจะทำอย่างไร”
ซูชิงรู้สึกเพียงว่าขั้วหัวใจของตนถูกอวิ๋นรั่วเสวี่ยเสียบเข้าหนึ่งดาบ แต่อวิ๋นรั่วเสวี่ยยังคิดว่าไม่เหี้ยมโหดพอ ยังออกแรงบิดด้ามดาบ บิดคว้านหัวใจของนางจนไม่เหลือชิ้นดี
แม่นมหวังเห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยพาโลไม่ฟังเหตุฟังผล เดิมคิดจะพูดไกล่เกลี่ย แต่นึกถึงวาจาที่อวิ๋นรั่วเสวี่ยพูดกับตนคราวก่อนได้จึงฝืนสะกดคำพูดที่มาถึงริมฝีปากลงไป ทำได้เพียงขวางอวิ๋นรั่วเสวี่ยเอาไว้อย่างสุดกำลัง ไม่ให้นางเข้าใกล้ซูชิง
อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นแผนยั่วยุไม่สำเร็จ ในสมองพลันคิดเฉียบไว จึงร้องโวยวายว่า “หากท่านไม่ให้ วันนี้ข้าก็จะโขกเสาตายที่นี่แหละ!”
พูดจบนางก็หันกายขวับ วิ่งตะบึงไปทางเสาเตียง
ทว่าสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกเห็นท่าไม่ค่อยดี แต่ละคนต่างตกใจจนคิดอยากจะเข้ามาดูสถานการณ์ภายในห้อง แต่ก็นึกถึงกฎระเบียบอันเด็ดขาดของจวนอัครเสนาบดีขึ้นมาได้จึงไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามเข้ามา แม่นมหวังซึ่งอยู่ด้านในตื่นตกใจจนตะลึงลานไปตั้งนานแล้ว ทำได้เพียงดึงอวิ๋นรั่วเสวี่ยไว้ตามสัญชาตญาณ โชคดีที่ดึงมือนางไว้ได้ มิเช่นนั้นหากอวิ๋นรั่วเสวี่ยพุ่งออกไปโขกเสาเตียงได้ ไม่ตายก็คงพิการ
ทว่าซูชิงกลับเพียงแค่ผลิยิ้มเฉยชา กล่าววาจาที่ทำให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยไม่อยากจะเชื่อออกมา “ในเมื่อเจ้าอยากไปร่วมงานวันเกิดกู่เหล่าไท่จวินถึงเพียงนี้ เช่นนั้นแม่ก็จะตามใจเจ้า”
อวิ๋นรั่วเสวี่ยแทบไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ตนเองได้ยิน นางสีหน้าอึ้งงัน มองไปทางซูชิงด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดระแวง แต่กลับเห็นมารดายกมือขึ้นมาบีบพวงแก้มของนางเบาๆ ครั้นความเจ็บแปลบแผ่ลามมาถึง อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็เชื่อว่าทุกอย่างเป็นความจริง ความยินดีปรีดาอันใหญ่หลวงท่วมท้นในหัวใจโดยพลัน อวิ๋นรั่วเสวี่ยกอดซูชิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยถามเสียงดัง “ท่านแม่ จริงหรือ ท่านรับปากจริงๆ น่ะหรือ!”
ซูชิงเห็นนางดีอกดีใจถึงเพียงนี้ก็ยิ้มตามเช่นกัน มือหนึ่งลูบบนหน้าผากบุตรสาวอย่างเบามือ อีกด้านหนึ่งเอ่ยถามเสียงแผ่ว “เด็กโง่ เป็นเรื่องจริงแน่นอน แม่จะหลอกเจ้าอย่างนั้นหรือ ประเดี๋ยวให้คนไปแจ้งอวิ๋นเชียนเมิ่งกับฮูหยินผู้เฒ่า ตอนเย็นให้พวกนางมาที่นี่ ข้าจะคืนของของมารดานางให้นางต่อหน้าท่านพ่อของเจ้าและฮูหยินผู้เฒ่า”
ได้ยินเช่นนั้นอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็พยักหน้าหงึกหงัก ท่าทางดุร้ายเมื่อครู่แปรเปลี่ยนทันใด นางประคองซูชิงที่แลดูเหนื่อยล้าเล็กน้อยเดินกลับเข้าไปพักในห้องอย่างระมัดระวัง
ภายในเรือนฉี่หลัว หลังจากได้ยินข่าวนี้แม่นมหมี่พลันรู้สึกว่าเบื้องหลังจะต้องมีความลับที่ไม่อาจบอกให้ผู้อื่นรู้ได้แน่ๆ ไม่อย่างนั้นด้วยท่าทีของซูชิงก่อนหน้านี้ จะยอมคืนสินเดิมของฮูหยินให้คุณหนูอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
อวิ๋นเชียนเมิ่งมองทัศนียภาพนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ อย่างไม่อนาทรร้อนใจ ทำให้แม่นมหมี่กับมู่ชุนที่อยู่อีกด้านคาดเดาไม่ถูกว่านางกำลังยิ้มอะไรกันแน่ หรือว่าถูกซูชิงก่อกวนจนเสียแผนเข้าแล้ว
“คุณหนู ซูอี๋เหนียงให้ท่านไปที่เรือนเฟิงเหอคืนนี้ จะต้องซ่อนเร้นแผนร้ายไว้แน่ๆ เลยเจ้าค่ะ ท่านอย่าไปเลยจะดีกว่านะเจ้าคะ” อย่างไรมู่ชุนก็ยังเยาว์วัย เก็บระงับอารมณ์ไม่เก่งอย่างแม่นมหมี่ เมื่อเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งมีท่าทีเช่นนี้ก็คิดว่านางยิ้มเพราะโกรธถึงขีดสุด จึงเอ่ยปากอย่างเป็นห่วงเป็นใย
ทว่าหลังจากมู่ชุนเอ่ยขึ้น อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับยิ้มสดใสเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ ในดวงตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งเปล่งประกายหนาวเหน็บชวนให้คนหวาดหวั่นราวกับเกล็ดหิมะเย็นเยียบ แต่รอบกายกลับแผ่กำจายกลิ่นอายอันอบอุ่น ให้ความรู้สึกราวกับเป็นภาพลวงตา
“ทำไมจะไม่ไปเล่า” อวิ๋นเชียนเมิ่งถามกลับเสียงเบา
แม้แต่มู่ชุนกับแม่นมหมี่ก็มองออกว่าซูชิงไม่ได้มีเจตนาดีแน่ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ย่อมต้องมองวัตถุประสงค์ของนางออกเช่นกัน
ปีนั้นซูชิงสังหารน้องชายแล้วเหลืออวิ๋นเชียนเมิ่งไว้ หาใช่เพราะนางใจอ่อนมีเมตตา แต่เรื่องนี้กลับบอกให้อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้เสียด้วยซ้ำไปว่าซูชิงเป็นคนฉลาดเจ้าแผนการเพียงใด
สังหารบุตรชายของอวิ๋นเสวียนจือถือเป็นการกำจัดศัตรูคนสำคัญที่สุดไปได้ มิเช่นนั้นพอเด็กคนนี้เติบใหญ่ขึ้นจะต้องสงสัยเรื่องการตายของมารดาบังเกิดเกล้าเป็นแน่ พอถึงเวลานั้น ระหว่างอนุภรรยากับบุตรสืบสกุล อวิ๋นเสวียนจือจะต้องเลือกทายาทของตนอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเป็นอย่างนั้นเด็กคนนี้จะต้องแก้แค้นแทนมารดาของตนเป็นแน่แท้ ส่วนซูชิงก็ย่อมไม่มีจุดจบที่สวยงาม
ดังนั้นจึงซื้อตัวหมอตำแย กำจัดเด็กคนนี้โดยไม่ให้ใครจับได้ นี่เป็นขั้นแรกในแผนการของซูชิง
ส่วนที่เก็บอวิ๋นเชียนเมิ่งไว้ก็เพื่อปิดปากจวนฝู่กั๋วกง
อย่างไรเสียหากชวีรั่วหลีเสียชีวิตหลังจากทิ้งบุตรสาวคนหนึ่งไว้ ขอแค่หมอตำแยประกาศกับภายนอกว่าชวีรั่วหลีเสียชีวิตเพราะคลอดบุตรยาก เช่นนั้นต่อให้เป็นจวนฝู่กั๋วกงก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน
ส่วนอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างไรก็เป็นแค่เด็กผู้หญิง ในอนาคตก็จะเป็นสตรีที่แต่งออกจากจวน เป็นน้ำที่สาดออกไป ภัยคุกคามที่มีต่อซูชิงไม่มากมายเท่าเด็กผู้ชายอยู่แล้ว
ดังนั้นการปล่อยให้อวิ๋นเชียนเมิ่งมีชีวิตอยู่ต่อไปเป็นขั้นที่สองในแผนการของซูชิง
ทารกเพศหญิงตัวน้อยๆ คนนี้ตอนอยู่ในครรภ์มารดาก็ได้รับความทุกข์ยากมาแล้วจึงย่อมยากที่จะเลี้ยงให้รอด ในวันข้างหน้าหากไม่ระวังตายไปตั้งแต่เยาว์วัยก็ทำได้แค่โทษที่เด็กอายุสั้น ได้มาเกิดในครอบครัวสูงศักดิ์ถึงเพียงนี้แต่กลับไม่มีชีวิตรอดอยู่ต่อไป เช่นนั้นก็มิอาจโทษผู้อื่นได้
ด้วยเหตุนี้ฉากหน้าซูชิงจึงเอาใจใส่อวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่เบื้องหลังกลับลอบเล่นงานอวิ๋นเชียนเมิ่งคนก่อนให้ไปสู่ที่ตาย
ต้องบอกว่าแผนการแต่ละขั้นของซูชิงรอบคอบรัดกุมจนน้ำไม่รั่วแม้แต่หยดเดียวจริงๆ
แต่ต่อให้รอบคอบเพียงใดก็ยังเผลอประมาทไปเล็กน้อย นางกลับลืมไปว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งมีป้าแท้ๆ เป็นถึงไทเฮา
โชคดีที่มีการคุ้มครองจากไทเฮา ถึงแม้อวิ๋นเชียนเมิ่งจะอยู่ในจวนอัครเสนาบดีอย่างตกระกำลำบาก แต่ก็อดทนจนมาถึงวัยผู้ใหญ่ได้
แม้ไม่อยากจะยอมรับ ไม่ว่าไทเฮาจะส่งสุ่ยเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์มาอยู่ข้างกายตนด้วยจุดประสงค์ใด แต่ที่อวิ๋นเชียนเมิ่งมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะไทเฮาเป็นเกราะป้องกันของนางจริงๆ
หากตนมิได้เดาผิด ซูชิงคงส่งคนไปเชิญฮูหยินผู้เฒ่าในขณะเดียวกับที่ส่งคนมาเชิญตนเองไป
เกรงว่าครั้งนี้ซูชิงคงจะทุบหม้อข้าวจมเรือ* ทุ่มเดิมพันอย่างใจกล้า
นางต้องการคืนสินเดิมของชวีรั่วหลีให้ตนต่อหน้าอวิ๋นเสวียนจือและฮูหยินผู้เฒ่า ในขณะเดียวกันก็อธิบายกับทั้งสองว่าเป็นการเก็บรักษาดูแลแทนเท่านั้น
หากตนเองรับความปรารถนาดีของนาง อวิ๋นเสวียนจือกับฮูหยินผู้เฒ่าไม่เพียงแต่คลายความขุ่นข้องหมองใจที่มีต่อซูชิงในอดีต พร้อมกันนั้นยังจะเกิดความเป็นอริกับตนอีกด้วย
หากตนเองปฏิเสธ เช่นนั้นสินเดิมเหล่านั้นเกรงว่าจะกลายเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของซูชิงไปตลอดกาล
ต้องพูดว่าซูชิงช่างฉลาดปราดเปรื่องโดยแท้
เพียงแต่นางไม่ได้ฉลาดจนถึงขั้นที่ทำให้ตนอับจนหนทางได้
มุมปากอวิ๋นเชียนเมิ่งยกขึ้นน้อยๆ ผลิรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งออกมา อวิ๋นเชียนเมิ่งกวักมือเรียกมู่ชุนเข้าไปหา กระซิบเสียงเบาข้างหูนางสองสามประโยค พอเห็นมู่ชุนหมุนตัวเดินออกไปจากห้องถึงหันสายตามองไปยังอาทิตย์อัสดงที่ค่อยๆ ลาลับนอกหน้าต่าง สำหรับคืนมืดมิดที่กำลังจะมาเยือนนั้น ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยการรอคอย
ม่านราตรีล่วงมาถึงอย่างรวดเร็ว บนท้องนภาสีดำสนิทประดับประดาด้วยดวงดารานับไม่ถ้วน เจิดจรัสถึงเพียงนี้ ทว่ากลับเย็นเยียบยิ่งนัก
เมื่อแม่นมหมี่กับมู่ชุนปรนนิบัติอวิ๋นเชียนเมิ่งทานอาหารเย็นเสร็จก็ช่วยนางสวมเสื้อตัวนอกให้เรียบร้อย แต่เพราะกลัวลมราตรีและเกล็ดน้ำค้าง จึงตั้งใจสวมผ้าดิ้นปักลายคลุมกันลมชั้นเดียวให้นางเพิ่มเป็นพิเศษ แล้วจึงออกจากเรือนฉี่หลัวเดินไปยังเรือนเฟิงเหอ
เดินไปได้ครึ่งทางก็เจอเข้ากับพวกฮูหยินผู้เฒ่า อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงรีบเดินเข้าไปคารวะ ไต่ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่าอาหารเย็นของฮูหยินผู้เฒ่ามีอะไรบ้าง หากอาหารไม่ถูกปากจะได้แจ้งให้ห้องครัวทราบ
ฮูหยินผู้เฒ่านึกขึ้นได้ว่าซูชิงส่งคนมาแจ้งตนว่าหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จให้ไปที่เรือนเฟิงเหอสักครา ให้นางที่เป็นแม่สามีฟังคำสั่งของอี๋เหนียงในบ้านของตน ในใจจึงลอบเคียดแค้นไม่หยุด ยามนี้เห็นว่าตนเองยังมีความสำคัญต่อหน้าหลานสาวคนนี้อยู่ ความเย็นชาบนใบหน้าจึงลดลงไปบ้าง ยื่นมือไปตบหลังมือของอวิ๋นเชียนเมิ่งเบาๆ พูดยิ้มๆ “ยายหนูวางใจเถอะ ย่าสบายดีทุกอย่าง หลิ่วอี๋เหนียงก็เป็นคนตั้งอกตั้งใจ ดูแลเรื่องที่จำเป็นในการใช้ชีวิตทุกเรื่องได้รอบคอบกว่าคนข้างกายย่าเสียอีก ยายหนูเมิ่งเองก็เป็นห่วงย่าอยู่เสมอ ย่าอยู่ทางนั้นสุขกายสบายใจยิ่งนัก”
ความหมายในวาจานี้ไม่ต้องพูดก็รู้กันดี อยู่ในหอไป่ซุ่นสุขกายสบายใจ แต่พอออกจากหอก็ไม่ค่อยถูกใจฮูหยินผู้เฒ่านัก
อวิ๋นเชียนเมิ่งเพียงแค่ยิ้มๆ แต่ไม่เอ่ยวาจา แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนอกสายเครื่องดนตรี เพียงแค่ประคองฮูหยินผู้เฒ่าเดินเข้าไปในเรือนเฟิงเหออย่างตั้งอกตั้งใจ
ในเรือนเฟิงเหอยามนี้มีสาวใช้วิ่งเข้ามารายงานภายในห้องก่อนแล้ว เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากับอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้ามาในห้อง คนที่อยู่ข้างในก็ยืนรออยู่ จากนั้นก็คำนับให้ฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมกัน
เมื่อเดินเข้าไปในห้อง เห็นเพียงอวิ๋นเสวียนจือนั่งอยู่ด้านในตั้งแต่แรกแล้ว เขาต้อนรับฮูหยินผู้เฒ่านั่งลงด้วยใบหน้าเปี่ยมยิ้ม
ทว่าทุกคนยังไม่ทันได้เริ่มถกเถียงเรื่องสำคัญ เสียงรายงานของสาวใช้ก็ดังมาจากนอกประตู
“ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่าน คุณหนูใหญ่ ฮูหยินท่านโหว แห่งจวนฝู่กั๋วกงมาเจ้าค่ะ”