ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ – หน้า 16 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ

ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ

บทที่ 15 ป้าหลานผนึกกำลังร่วมกันชิงสินเดิม

 “ท่านป้าสะใภ้มาแล้ว ท่านพ่อ เชิญท่านป้าสะใภ้เข้ามาได้หรือไม่เจ้าคะ เมิ่งเอ๋อร์ไม่ได้พบท่านป้าสะใภ้มานานแล้ว” อวิ๋นเชียนเมิ่งร้องขอบิดาด้วยความระมัดระวังเต็มเปี่ยม

อวิ๋นเสวียนจือมองซูชิงที่แอบส่ายหน้าให้เขาอย่างลับๆ แวบหนึ่ง แล้วนึกถึงที่พึ่งพิงอย่างจวนฝู่กั๋วกง คิดไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่าถึงพยักหน้า สั่งออกไปข้างนอกว่า “เชิญฮูหยินท่านโหวเข้ามาได้”

จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนทันที โค้งกายให้ฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านแม่ ลูกอยู่ที่นี่คงไม่สะดวก ขอตัวกลับก่อนนะขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็รู้ว่าชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญจึงพยักหน้าให้อวิ๋นเสวียนจือ ปล่อยให้เขากลับไป

พออวิ๋นเสวียนจือออกไป เดิมฮูหยินผู้เฒ่าคิดจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่นึกว่าอวิ๋นเสวียนจือเพิ่งจะก้าวออกไปยังไม่ทันคล้อยหลัง จี้ซูอวี่ก็ก้าวเข้ามาในเรือน ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจำต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราวแล้วปรับสีหน้าท่าทางเพื่อต้อนรับจี้ซูอวี่

“หลานสะใภ้คารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ” พอจี้ซูอวี่เข้าห้องมาก็มองอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่าอย่างกระตือรือร้น โอภาปราศรัยอย่างสนิทสนม

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นจี้ซูอวี่ที่มีฐานะเป็นถึงฮูหยินท่านโหววางตัวนอบน้อมเมื่ออยู่ต่อหน้าตนก็พลันหน้าชื่นแย้มยิ้มขึ้นทันใด ก่อนจะดึงจี้ซูอวี่ให้นั่งลงข้างกายตน ทั้งสองพูดคุยสนทนากันอย่างสนิทชิดเชื้อ

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นจี้ซูอวี่มาได้ทันเวลาจึงอดผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ไม่ได้ รอยยิ้มบนใบหน้าผ่อนคลายขึ้นหลายส่วน

ตอนนี้ในดวงตาซูชิงไม่มีแววลำพองใจเช่นเมื่อครู่อีกแล้ว นัยน์ตาที่ยิ้มจางๆ นั้นแฝงด้วยความมุ่งร้ายอย่างลึกล้ำถึงขีดสุด อยากจะทิ่มแทงจี้ซูอวี่ที่โผล่มากะทันหันให้กลายเป็นโพรงใจจะขาด

“ฮูหยินผู้เฒ่า หลายปีมานี้ร่างกายแข็งแรงดีหรือไม่ เหล่าไท่จวินของพวกเรารอคอยจะได้พบกับท่านตั้งแต่เมิ่งเอ๋อร์ไปรับท่านจากเมืองซูเฉิงกลับมาจวนอัครเสนาบดีเลยนะเจ้าคะ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันครบรอบวันเกิดของเหล่าไท่จวิน แต่ท่านใจร้อนยิ่ง กลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจากเมืองหลวงไปหลายปีจะไม่คุ้นเคยกับลมฟ้าอากาศที่นี่ สั่งข้าว่าพอทานอาหารเย็นแล้วให้นำรังนกและโสมคนเหล่านี้มามอบให้ ยังมีปะการังเลือด* อีกสองกระถาง บอกว่าดีต่อคนเฒ่าคนชราน่ะเจ้าค่ะ แล้วยังให้ข้าย้ายออกมาจากห้องอุ่นของนางด้วย นี่เป็นของบรรณาการ มีทั้งหมดแค่สิบต้นเท่านั้น ไทเฮาทรงห่วงใยเหล่าไท่จวินก็เลยคัดมาสองต้นมอบให้จวนโหว” ด้วยฐานะสูงศักดิ์ของจี้ซูอวี่ ตอนนี้ซูชิงจึงไม่กล้าเร่งเร้า ทั่วทั้งห้องได้ยินเพียงแค่เสียงของจี้ซูอวี่ผู้เดียว

พอนางมาถึงก็บอกจุดประสงค์ในการมาอย่างชัดแจ้ง ทั้งยังนำของกำนัลล้ำค่าออกมา จึงปิดปากฮูหยินผู้เฒ่าได้โดยพลัน ทำให้นางคิดอุบายชิงสินเดิมของชวีรั่วหลีไม่ได้

วาจาของจี้ซูอวี่เพิ่งจะสิ้นคำ สาวใช้หลายคนจากจวนโหวก็ถือประคองของบำรุงนานาชนิดเข้ามาให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้ชมดูทีละอย่างๆ ของบำรุงเหล่านั้นสีสันเยี่ยมยอด ขนาดได้สัดส่วน ล้วนแต่เป็นอาหารชั้นเลิศทั้งสิ้น

จวบจนฮูหยินผู้เฒ่าดูของเหล่านี้เสร็จสิ้น สาวใช้ทั้งแปดคนจึงยกไม้กระถางสูงเท่าครึ่งตัวคนเข้ามาสองต้น จี้ซูอวี่เดินเข้าไปเปิดผ้าแพรต่วนสีแดงที่คลุมทับบนปะการังเลือดต้นหนึ่งไว้ด้วยตนเอง ภายในห้องพลันสว่างโชติช่วง ปะการังสีเลือดที่สูงเท่าเอวคนเปล่งประกายเจิดจรัสภายใต้แสงเทียนสาดส่อง ทำเอาฮูหยินผู้เฒ่ากับซูชิงตะลึงจนอ้าปากค้าง

จี้ซูอวี่เห็นว่าจุดประสงค์ของนางลุล่วงจึงให้พวกสาวใช้คลุมผ้าแพรต่วนปิดไว้ แล้วกลับไปนั่งข้างฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง กล่าวยิ้มๆ “ฮูหยินผู้เฒ่าพอใจหรือไม่เจ้าคะ เหล่าไท่จวินท่านเป็นคนตรงไปตรงมา กับคนที่ชอบล่ะก็แทบจะทุ่มเทประเคนให้ แต่กับคนที่ไม่ชอบก็อยากจะแล่เนื้อเถือหนังใจจะขาด เหล่าไท่จวินกับฮูหยินผู้เฒ่าถูกคอกันที่สุด จึงรีบเร่งสั่งให้หลานนำของมามอบให้กลางดึกเช่นนี้ ขอฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้รังเกียจเลยนะเจ้าคะ”

ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะกล้ารังเกียจ

จี้ซูอวี่ได้เอ่ยวาจาอย่างชัดเจนกระจ่างแจ้งแล้วว่าเหล่าไท่จวินให้เกียรติตนถึงได้ส่งของดีขนาดนี้มาให้จวนอัครเสนาบดี นอกจากนั้นปะการังเลือดนี้ยังเป็นของล้ำค่าหายาก คนอื่นแค่ได้เห็นแวบเดียวก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างล้นพ้นแล้ว แต่นางกลับได้มาเปล่าๆ ถึงสองต้น กลัวว่าคงจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจวนอื่นๆ ในเมืองหลวงอิจฉาตาร้อนตายสิไม่ว่า

ฮูหยินผู้เฒ่าคิดได้เช่นนั้นดวงตาก็พลันลุกวาว ก่อนที่ดวงตาทั้งสองข้างแทบจะแปรเปลี่ยนเป็นเส้นตรงเมื่อนางยิ้ม นางดึงมือจี้ซูอวี่พลางกล่าวด้วยความดีอกดีใจ “นี่คือน้ำใจของเหล่าไท่จวิน ที่จริงข้าคิดว่ามันเลอค่ามากเกินไปไม่กล้ารับเอาไว้ แต่ฮูหยินกล่าวชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอหน้าด้านรับเอาไว้ก็แล้วกัน ส่วนงานครบรอบวันเกิดของเหล่าไท่จวิน ข้าจะต้องไปร่วมฉลองด้วยเป็นแน่ หลังจากฮูหยินท่านโหวกลับไปแล้วรบกวนขอบคุณเหล่าไท่จวินแทนข้าด้วย”

เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ารับสิ่งของไว้ จี้ซูอวี่จึงกวาดตามองในห้องแวบหนึ่ง เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งยืนนิ่งอยู่อีกด้าน จึงกวักมือให้นางมาตรงหน้า ดึงมืออวิ๋นเชียนเมิ่งเข้ามาหาพร้อมกับสำรวจดูอย่างละเอียดลออ ใจที่ห่วงกังวลถึงค่อยๆ วางลง กล่าวยิ้มๆ ทันทีว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้เห็นเป็นเรื่องตลกเลยนะเจ้าคะ ครั้งนี้หลานขอเหล่าไท่จวินรับหน้าที่นี้ก็เพราะมีเหตุผลส่วนตัว ข้างกายเมิ่งเอ๋อร์ไร้มารดา ป้าสะใภ้อย่างข้าคนนี้จึงสงสารเวทนายิ่งนัก ก็เลยใช้โอกาสนี้มาเยี่ยมเยียน”

ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มพลางฟังจี้ซูอวี่พูดจ้อ แน่นอนว่าต้องแสดงให้เห็นว่าย่าอย่างตนก็เป็นห่วงเป็นใยหลานสาวเช่นกัน นางรีบเอ่ยชมอวิ๋นเชียนเมิ่งกับจี้ซูอวี่ทันที “ฮูหยินไม่รู้หรอกว่าเมิ่งเอ๋อร์ว่าง่ายเอาใจใส่ผู้อื่นเพียงไร ข้ามาอยู่ได้หลายวันแล้ว แม่หนูนี่ก็มาคารวะแต่เช้าตรู่ทุกวันไม่เคยขาด ทั้งยังห่วงใยดูแลน้องสาวที่เพิ่งมาอยู่ด้วยกัน อย่าว่าแต่ฮูหยินเลย แม้แต่ย่าอย่างข้าก็รักใคร่เอ็นดูเหลือเกิน”

จี้ซูอวี่ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าพูดถึงน้องสาวที่เพิ่งมาอยู่ด้วยคนนั้น ประกายแปลกๆ วาบผ่านในดวงตา มองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างพะวงแวบหนึ่ง แต่เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งส่งสายตาวางใจให้นาง จี้ซูอวี่จึงมิได้ซักไซ้ต่อ แต่แสร้งทำเป็นถามฮูหยินผู้เฒ่ากลับด้วยความประหลาดใจ “ฮูหยินผู้เฒ่า ขอพูดเรื่องที่หลานไม่ควรพูดสักหน่อยเถิดนะเจ้าคะ นี่เป็นที่พำนักของอี๋เหนียง เหตุใดคุณหนูลูกภรรยาเอกอย่างเมิ่งเอ๋อร์ของพวกเราถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ซ้ำตอนนี้ยังเป็นกลางดึกกลางดื่น หากข่าวคราวแพร่กระจายออกไป เกรงว่าจะเสียหายต่อชื่อเสียงของเมิ่งเอ๋อร์นะเจ้าคะ”

จี้ซูอวี่เอ่ยวาจาอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา แต่ในน้ำเสียงกลับเจือความแข็งกระด้างที่ไม่ค่อยจะมีให้เห็น กอปรกับตัวนางเองฐานะสูงส่ง ยิ่งทำให้คนฟังมีความรู้สึกกดดันบางอย่าง

ฮูหยินผู้เฒ่าคิดไม่ถึงว่าจี้ซูอวี่จะถามเช่นนี้ ใบหน้าชราพลันรู้สึกอับอาย ในใจอดไม่ได้ที่จะเริ่มต่อว่าอวิ๋นเสวียนจือและซูชิง

ทว่ายามนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งคล้ายกับรู้สึกได้ว่าท่านย่าของตนกำลังเข้าตาจน จึงแก้ตัวแทนด้วยท่าทางหนักอกหนักใจ “ท่านป้าสะใภ้ เดิมทีท่านย่าเองก็ไม่รู้ว่าถูกซูอี๋เหนียงเชิญมาเพราะเรื่องใดเหมือนกันเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของจี้ซูอวี่พลันบูดบึ้งเล็กน้อย สายตาคมปลาบดุจมีดกรีดพุ่งไปยังซูชิงที่อยู่อีกด้าน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ข้าไม่ยักรู้ว่าอี๋เหนียงในจวนวางตัวใหญ่โตถึงเพียงนี้ ถึงกับเชิญฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูใหญ่ให้มาหาได้ พรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังไปทูลถามไทเฮาว่าตอนนี้อี๋เหนียงเป็นใหญ่แล้วใช่หรือไม่”

ซูชิงถูกจี้ซูอวี่รุกฆาตถึงเพียงนี้ สีหน้าจึงย่ำแย่ขึ้นมาทันใด นางรีบคุกเข่าให้ฮูหยินผู้เฒ่าก่อนร้องวิงวอน “ฮูหยินผู้เฒ่า บ่าวมิได้คิดจะอวดดี ขอฮูหยินผู้เฒ่าให้ความเป็นธรรมด้วยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ไม่อยากให้เรื่องนี้ลุกลามไปกันใหญ่ต่อหน้าจี้ซูอวี่ ไม่อย่างนั้นหากลุกลามไปจนถึงไทเฮาแล้วล่ะก็ คนที่เคราะห์ร้ายที่สุดคงหนีไม่พ้นอวิ๋นเสวียนจือเป็นแน่ นางจึงจำต้องปั้นหน้าพูดจาเสียงอ่อนเสียงหวานกับจี้ซูอวี่ “ฮูหยินโปรดระงับโทสะ ข้าจะต้องสั่งสอนบ่าวไพร่พวกนี้แน่นอน ไม่ปล่อยให้เมิ่งเอ๋อร์ได้รับความขุ่นข้องหมองใจเป็นอันขาด”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นฮูหยินผู้เฒ่ารักใคร่เอ็นดูตนเองถึงเพียงนี้ ขอบตาก็พลันแดงก่ำ คว้ามือจี้ซูอวี่มากุมไว้พลางร้องขอ “ท่านป้าสะใภ้ เมิ่งเอ๋อร์มิได้รับความขุ่นข้องหมองใจเลยเจ้าค่ะ ท่านป้าสะใภ้อย่าได้โมโหไปเลย จะได้ไม่เสียสุขภาพ ไม่อย่างนั้นเมิ่งเอ๋อร์จะปวดใจนะเจ้าคะ”

จี้ซูอวี่ถูกเมิ่งเอ๋อร์เกาะกุมมือทั้งสองข้าง ทั้งเห็นนางท่าทางน่าเวทนายิ่ง จึงทอดถอนใจก่อนจะเอ่ยปาก “ป้าสะใภ้รู้แล้ว แต่ตกลงเป็นเรื่องใดกันแน่ที่ทำให้เจ้าต้องวิ่งมากลางดึกเช่นนี้”

ได้ยินจี้ซูอวี่ยิงคำถามนี้อีกครั้ง หัวใจของซูชิงก็เต้นระรัวขึ้นมาทันที แต่ด้วยฐานะของนางต่ำต้อย ไม่มีสิทธิ์เอ่ยปาก ทำได้เพียงบิดขยำผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างแรง หวังเต็มหัวใจว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะยับยั้งไว้ได้

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งจะถูกจี้ซูอวี่ทำให้ตกใจเสียขวัญ ยังจะกล้าห้ามมิให้อวิ๋นเชียนเมิ่งตอบอีกได้อย่างไรกัน

เวลาเดียวกันนั้นเองอวิ๋นเชียนเมิ่งกับจี้ซูอวี่กลับลอบมองสีหน้าท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่าและซูชิงอยู่ตลอด พวกนางเข้าใจความคิดในหัวของคนอีกคู่หนึ่งดี ทำให้ในดวงตาของพวกนางรื้นรอยยิ้มมีความสุขออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยินเสียงฉลาดเฉลียวของอวิ๋นเชียนเมิ่งกล่าวขึ้นช้าๆ “ท่านป้าสะใภ้ ซูอี๋เหนียงบอกว่าจะคืนสินเดิมของท่านแม่ให้เมิ่งเอ๋อร์เจ้าค่ะ ถึงได้ส่งคนไปเชิญท่านย่ากับเมิ่งเอ๋อร์มา”

จี้ซูอวี่ได้ยินดังนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ ดีขึ้น แต่ในใจยังคงมีคำถาม “พูดอย่างนี้แสดงว่าสินเดิมของชวีรั่วหลีอยู่ในมือซูอี๋เหนียง ซูอี๋เหนียงถือดีอะไรมายึดครองสินเดิมของฮูหยินภรรยาเอกนานหลายปีขนาดนี้”

ครั้นซูชิงได้ยินคำถามที่แฝงด้วยแววข่มขู่ในความอ่อนโยนของจี้ซูอวี่ หัวใจก็พลันสะดุ้งเฮือก ทำได้เพียงพูดแก้ตัวเสียงแผ่วเบา “ฮูหยินเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ นี่เป็นสิ่งที่ฮูหยินของพวกเราไหว้วานบ่าวไว้ก่อนสิ้นใจเจ้าค่ะ ให้บ่าวมอบแก่คุณหนูหลังจากคุณหนูถึงวัยออกเรือน ที่บ่าวเชิญทุกคนมาวันนี้ก็เพราะอยากมอบทุกอย่างให้คุณหนูเจ้าค่ะ”

ทว่าคำแก้ตัวของซูชิงมิได้รับการยอมรับจากจี้ซูอวี่ นางแค่นน้ำเสียงเย็นชาใส่แรงๆ หนึ่งคำรบ “คำสั่งเสียก่อนตาย? เจ้าเป็นใครกันชวีรั่วหลีถึงได้มอบของสำคัญเช่นนี้ให้เจ้า เจ้าคิดว่าจวนฝู่กั๋วกงของเราเป็นคนตายหรือไร หรือว่ากลัวบ้านเดิมจะยักยอกของของลูกสาวตนเอง”

ครั้นวาจานี้โพล่งออกไป แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกได้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ แต่ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่สะดวกใจจะออกหน้าขอร้องจี้ซูอวี่ จึงวางสายตาไปบนร่างอวิ๋นเชียนเมิ่ง หวังว่านางจะพูดวาจาดีๆ สักสองสามประโยคเพื่อช่วยให้เหตุการณ์ตรงหน้านี้คลี่คลายลงได้บ้าง

อวิ๋นเชียนเมิ่งสบตาฮูหยินผู้เฒ่าและเข้าใจความหมายดี นางเขย่าแขนจี้ซูอวี่อย่างระมัดระวังพร้อมเอ่ยอย่างหนักแน่น “ท่านป้าสะใภ้ อย่างไรซูอี๋เหนียงก็ยังเป็นอนุของท่านพ่อ พวกเราสนใจแต่สินเดิมของท่านแม่ก็พอ ท่านอย่าได้มีโทสะเพราะคนไม่สำคัญเลยเจ้าค่ะ เพียงเท่านี้เมิ่งเอ๋อร์ก็ปวดใจยิ่งนักแล้ว”

จี้ซูอวี่ถูกนางก่อกวนจนหมดปัญญา ความหนาวเหน็บบนใบหน้าก่อตัวขึ้นไม่ได้อีกต่อไป ได้แต่ยื่นมือจิ้มหน้าผากอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างอารมณ์ดีและขบขัน กล่าวอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “เจ้านี่จริงๆ เลย” ก่อนที่นางจะเบนสายตาออกแล้วกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสีหน้าจริงจัง “ฮูหยินผู้เฒ่า เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในบ้านของจวนอัครเสนาบดี คนนอกอย่างข้าไม่ควรสอดมือ แต่ว่าใครใช้ให้เมิ่งเอ๋อร์ไม่มีมารดาตั้งแต่เด็กเล่า หากข้าไม่ดูแลนางเหมือนบุตรสาวแท้ๆ ก็ไม่มีใครรักใคร่สงสารนางจริงๆ ในเมื่อวันนี้ข้าพบเจอเรื่องนี้เข้า ข้าก็จะถือวิสาสะจัดการเรื่องนี้ ส่วนอี๋เหนียงที่ก่อเรื่องวุ่นวายพวกนั้นก็รอให้ท่านอัครเสนาบดีจัดการเอาเองเถิด ไม่ทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่าคิดเห็นเป็นเช่นไร”

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นจี้ซูอวี่พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ทั้งยังเห็นว่านางจัดการแค่เรื่องสินเดิมเท่านั้น จึงพยักหน้าทันที กระวีกระวาดตอบกลับ “วาจานี้ของฮูหยินพูดผิดอยู่บ้าง เดิมพวกเราก็เป็นเครือญาติกัน หาใช่คนอื่นคนไกล ฮูหยินช่วยเมิ่งเอ๋อร์ดูแลสินเดิมก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว”

จี้ซูอวี่เห็นเช่นนั้นจึงพยักหน้าเล็กน้อย สายตาหันไปหาซูอี๋เหนียงทันที กล่าวเสียงเย็นขึ้นว่า “ซูอี๋เหนียง ตอนนี้เจ้าก็มอบสินเดิมมาสิ ข้าจะให้แม่นมประจำตัวข้าตามไปจดบันทึกเอาไว้ให้หมดทุกชิ้น จากนั้นค่อยเทียบกับบัญชีที่นำกลับจวนฝู่กั๋วกงไปก่อนหน้านี้ หากขาดไปแม้แต่ชิ้นเดียว เรื่องนี้จะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ พอถึงตอนนั้นทุกคนไม่ได้อยู่ดีมีสุขแน่”

ซูชิงได้แต่คุกเข่าอยู่กับพื้น เดิมก็มีโทสะอัดแน่นเต็มท้องอยู่ก่อนแล้ว เมื่อได้ยินจี้ซูอวี่ข่มขู่เช่นนี้ยิ่งรู้สึกดั่งรสขมปร่าเอ่อท้นขึ้นมาในหัวใจ เลือดกระอักหนึ่งพ่นพรวดออกมาจากปาก ซูชิงกะพริบตาทั้งสองข้างหนึ่งทีแล้วหมดสติไป

“ใครก็ได้ ยกซูอี๋เหนียงไปห้องปีกข้างที” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยรู้สึกเสียหน้าต่อหน้าเครือญาติมากเท่านี้มาก่อน จึงสั่งให้พวกแม่นมยกซูชิงออกไป ส่วนทางฝั่งจี้ซูอวี่ได้เรียกแม่นมหวังที่เป็นคนสนิทของซูชิงให้นางชี้บอกสถานที่ที่เก็บสินเดิมไว้ และตนเองก็ตามแม่นมหวังไปไม่ให้คลาดแม้แต่ก้าวเดียว เห็นนางเปิดผนังด้านหนึ่งภายในห้องนอน จี้ซูอวี่จึงสั่งให้สาวใช้ของจวนฝู่กั๋วกงย้ายของที่อยู่ด้านในออกมาจดบันทึกลงบัญชีตรงนั้นเลย

ฮูหยินผู้เฒ่ามองดูสินเดิมที่กองพะเนินจนเต็มเรือนเฟิงเหอแต่ก็ยังล้นออกมาข้างนอกอย่างต่อเนื่อง รู้สึกหัวใจเจ็บปวดรวดร้าวยิ่ง แต่ติดที่แรงกดดันจากจี้ซูอวี่ จึงทำได้เพียงก่นด่าซูชิงพลางพูดว่าควรจะคืนสู่เจ้าของเดิมตั้งแต่แรก

จี้ซูอวี่กับอวิ๋นเชียนเมิ่งฟังวาจาที่ไม่ตรงกับใจของฮูหยินผู้เฒ่า ทั้งสองสบตากันยิ้มท่ามกลางแสงสลัวภายในห้อง

พอถึงเที่ยงคืน ฮูหยินผู้เฒ่าก็ถูกจี้ซูอวี่กับอวิ๋นเชียนเมิ่งโน้มน้าวให้กลับไปพักผ่อน ส่วนจี้ซูอวี่ยืนกรานว่าจนกว่าหญิงรับใช้ที่จดบัญชีส่งมอบสมุดรายชื่อให้กับตน และเห็นทุกคนย้ายของทั้งหมดไปยังเรือนฉี่หลัวของอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยตาตนเองถึงจะวางใจได้

ทุกคนยุ่งวุ่นวายกันอยู่หนึ่งคืนเต็มๆ ถึงได้นับสินเดิมที่เป็นของชวีรั่วหลีซึ่งอยู่ในเรือนของซูชิงได้อย่างครบถ้วน

 

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองเห็นสิ่งของที่กองเต็มลานบ้านก็ให้รู้สึกปวดหัวขึ้นมาชั่วขณะ

นางอดนับถือซูชิงอยู่บ้างมิได้ สตรีผู้นั้นครอบครองสินเดิมของชวีรั่วหลีเอาไว้เพียงผู้เดียว ถึงกับสร้างห้องลับที่กินพื้นที่กว้างขวางไว้ในห้องนอนของตนเอง นอกจากสินเดิมทั้งหมดที่บรรจุเอาไว้ ยังมีสมบัติอื่นๆ อีกมากมาย

พวกแม่นมหมี่กับมู่ชุนก็ช่วยบรรดาสาวใช้จากจวนฝู่กั๋วกงย้ายพวกของที่ล้ำค่ามากที่สุดเข้าไปในห้อง อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นจี้ซูอวี่ยุ่งง่วนเพราะเรื่องของตนตลอดทั้งคืน ในใจจึงพลันรู้สึกผิดไม่หยุด ดึงมือจี้ซูอวี่ไว้พลางกล่าวอย่างน่าสงสาร “ท่านป้าสะใภ้ หากไม่รังเกียจก็พักผ่อนในเรือนข้าสักครู่แล้วค่อยกลับเถิด”

จี้ซูอวี่รู้ว่าอีกฝ่ายห่วงใยตนจากใจจริง แต่ยามนี้เหล่าไท่จวินคงกำลังรอข่าวคราวจากตนอยู่เป็นแน่แท้ จึงยิ้มพลางลูบดวงหน้าเล็กที่ซีดเซียวเล็กน้อยของอวิ๋นเชียนเมิ่งพลางกล่าว “ไม่ล่ะ ข้ายังต้องกลับไปรายงานเหล่าไท่จวิน เจ้านี่สิ ประเดี๋ยวต้องพักผ่อนเยอะๆ สักวันนะ”

พูดจบก็มอบสมุดบัญชีให้อวิ๋นเชียนเมิ่งพร้อมกำชับอย่างละเอียดถี่ถ้วน “เทียบกับสมุดบัญชีเล่มก่อนดูดีๆ หากขาดไปแม้แต่ชิ้นเดียว ป้าสะใภ้จะทวงคืนมาให้เจ้า”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่ายามนี้จี้ซูอวี่ก็ยังเป็นห่วงเรื่องของตนจึงพลันซาบซึ้งขึ้นมาอีก สองมือรับสมุดบัญชีมา เอ่ยปากอย่างแฝงด้วยความเสียดายสุดแสน “แต่น่าเสียดายปะการังเลือดสองต้นนั้น บุญคุณที่จวนฝู่กั๋วกงมีต่อเมิ่งเอ๋อร์ ทั้งชีวิตของเมิ่งเอ๋อร์ก็ยากจะตอบแทนได้หมด”

จี้ซูอวี่เห็นว่านางพูดจาหนักแน่นจริงจังยิ่งจึงพลันประหลาดใจเล็กน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่จึงรวบอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ทำให้คนสงสารเวทนาเข้าสู่อ้อมกอดของตน พูดเสียงแผ่วเบา “เจ้าเป็นทั้งหลานของป้าสะใภ้ และยังเป็นแก้วตาดวงใจของป้า ยิ่งกว่านั้นยังเป็นลูกหลานของจวนฝู่กั๋วกงเรา มารดาก็ปฏิบัติต่อบุตรเฉกเช่นนี้มิใช่หรือ เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย อย่าได้เห็นป้าสะใภ้เป็นคนอื่นคนไกลเลย มิเช่นนั้นระวังต่อไปป้าสะใภ้จะไม่ช่วยเจ้าแล้ว นอกจากนี้ปะการังเลือดสองต้นนั้นแลกสินเดิมของรั่วหลีกลับมาได้ก็ถือเป็นการค้าขายที่ไม่ขาดทุนแล้ว”

อวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่ในอ้อมกอดจี้ซูอวี่เงียบๆ ซึมซับความรักของมารดาที่ไม่เคยได้รับในทั้งสองภพ อ้อมกอดอันอบอุ่นอ่อนโยนนี้กลับแฝงด้วยพลังที่ไม่อาจคาดคะเนได้ ทำให้หัวใจที่ร้อนรนของอวิ๋นเชียนเมิ่งค่อยๆ สงบลง

หญิงรับใช้ชราซึ่งอยู่อีกด้านเห็นว่าฟ้าสางแล้ว จึงเตือนจี้ซูอวี่เสียงเบาว่าต้องกลับจวนฝู่กั๋วกงแล้ว มิเช่นนั้นประเดี๋ยวเหล่าไท่จวินหาตัวไม่เจอจะร้อนใจเอา

จี้ซูอวี่เห็นว่าตนเองอยู่ที่จวนอัครเสนาบดีมาหนึ่งคืนเต็มๆ ไม่สามารถรั้งอยู่ต่ออีกได้จริงๆ จึงปล่อยอวิ๋นเชียนเมิ่งเบาๆ กำชับอย่างไม่วางใจ “ระยะนี้เจ้าก็ต้องรับมือทุกคนอย่างระมัดระวังล่ะ หากปรามเอาไว้ไม่อยู่ก็อ้างถึงจวนฝู่กั๋วกงกับไทเฮาได้เต็มที่”

ได้ยินเช่นนั้น ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับกระจ่างขึ้นมาหลายส่วน เมื่อคืนหากมิใช่เพราะฐานะของจี้ซูอวี่ เกรงว่าคงจะปรามฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยู่จริงๆ

ที่ซูชิงโมโหจนกระอักเลือดหมดสติก็เป็นเพราะฐานะของนางต่ำต้อยเกินไป นี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ซูชิงพ่ายแพ้ตั้งแต่เริ่มต้น

เดิมอวิ๋นเชียนเมิ่งคิดจะไปส่งจี้ซูอวี่ถึงหน้าประตูจวนอัครเสนาบดี แต่นางกลับให้อวิ๋นเชียนเมิ่งยั้งฝีเท้าอยู่ที่หน้าประตูเรือนฉี่หลัว แล้วดึงอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้ามาใกล้ๆ ถามเสียงต่ำด้วยความกังวลเล็กน้อย “ได้ยินว่าลูกๆ ของท่านอาเจ้าล้วนถูกฮูหยินผู้เฒ่ารับมาอยู่จวนอัครเสนาบดี มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ”

ในเมื่อจี้ซูอวี่ถามแบบนี้ก็ย่อมต้องรู้ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว อวิ๋นเชียนเมิ่งเองก็ไม่ปิดบังแม้แต่น้อย นางยิ้มจางๆ พลางพยักหน้าก่อนจะบอกแผนการของฮูหยินผู้เฒ่าให้จี้ซูอวี่ฟังจนหมดสิ้น

หลังจากนั้นก็เห็นจี้ซูอวี่มุ่นหัวคิ้วเบาๆ อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับหัวเราะสบายใจเฉิบ เอ่ยปลอบเสียงค่อย “ท่านป้าสะใภ้ไม่ต้องกังวลมากไปหรอกเจ้าค่ะ ต่อให้พวกเขาดีแค่ไหนแต่ก็ไม่ใช่ลูกของท่านพ่อ เมิ่งเอ๋อร์มีแผนอยู่ในใจแล้วเจ้าค่ะ”

จี้ซูอวี่เห็นท่าทางสุขุมนิ่งเฉยของนาง หัวใจที่ลอยค้างเติ่งอยู่ทีแรกก็ค่อยๆ วางลง สั่งให้อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับเข้าห้องไปพักผ่อน ส่วนตนเองก็ก้าวเท้าเร็วรี่พาสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังรีบกลับจวนฝู่กั๋วกง

 

เรือนเฟิงเหอยามนี้กลับเกิดมีเสียงโหยไห้สะอึกสะอื้นดังออกมา

ซูชิงฟื้นขึ้นมาในวันถัดไปแล้วเห็นห้องนอนของตนเองถูกคนอื่นขนของออกไปถึงสองในสามส่วน ทันใดนั้นพลันล้มนั่งลงหน้าประตูห้องลับด้วยความลนลาน สองมือตบพรมแล้วปล่อยเสียงร่ำไห้

“ฮูหยิน ท่านเศร้าโศกเกินไปไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านอย่าลืมสิว่าในท้องของท่านยังมีนายน้อยอยู่” ในใจแม่นมหวังเองก็รู้สึกย่ำแย่เช่นกัน นางคุกเข่าข้างกายซูชิง มือหนึ่งดึงซูชิงไว้ อีกมือลูบหน้าอกซูชิงเบาๆ ให้นางหายใจสะดวก

ทว่าซูชิงในตอนนี้ไหนเลยจะฟังวาจาเหล่านี้เข้าหู นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะชั่วช้าได้ถึงขั้นนี้ แทบจะขนของออกไปจากเรือนเฟิงเหอของนางจนไม่เหลืออะไร แค่คิดว่าทรัพย์สมบัติมหาศาลที่ตนเองแอบเก็บซ่อนมาสิบกว่าปีถูกคนอื่นช่วงชิงไป ซูชิงก็รู้สึกอึดอัดทรมานเหมือนว่าโลหิตในร่างตนเองถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น

ส่วนอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่เข้ามาในตอนนี้กลับแอบอยู่หน้าประตูห้องนอนมองดูมารดาร้องไห้คร่ำครวญโดยไม่รักษาภาพลักษณ์แม้แต่น้อย ในใจรู้สึกผิดอยู่มาก

ทีแรกนางคิดว่าสินเดิมของชวีรั่วหลีก็เหมือนๆ กับคนธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อวานหลังจากนางเห็นสมบัติล้ำค่าที่กองพะเนินเต็มลานบ้านด้วยตาตนเอง อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็อยากจะโขกศีรษะตายใจจะขาด

ทรัพย์สมบัติล้ำค่าควรเมืองเหล่านี้เดิมทีก็เป็นของนาง แต่บัดนี้กลับถูกนางคนชั่วอวิ๋นเชียนเมิ่งใช้แผนสกปรกช่วงชิงไป อวิ๋นรั่วเสวี่ยโมโหจนอยากจะพุ่งไปเรือนฉี่หลัวให้ปลาตายตาข่ายขาด กับอวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ตนเองได้สูญเสียทรัพย์สินก้อนใหญ่ไปแล้ว ไม่อาจล่วงเกินอวิ๋นเชียนเมิ่งในช่วงเวลาสำคัญอย่างนี้ได้อีก ไม่อย่างนั้นโอกาสที่จะได้ร่วมงานครบรอบวันเกิดของกู่เหล่าไท่จวินซึ่งแลกมาด้วยสินเดิมก็จะสูญเปล่า

อวิ๋นรั่วเสวี่ยหดตัวอยู่ข้างประตู เรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดรอบหนึ่ง ถึงแม้ในใจจะเสียใจไม่หยุด แต่บัดนี้เรื่องราวก็มาถึงขั้นนี้แล้ว จะแย่งชิงสินเดิมกลับมาจากมืออวิ๋นเชียนเมิ่งคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน มิสู้ทุ่มเทความสนใจให้กับงานเลี้ยง หาสามีที่ถูกใจที่จะทำให้ทุกคนอิจฉาตาร้อน พอถึงตอนนั้น คอยดูแล้วกันว่านางจะเล่นงานอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างไร

พอคิดได้เช่นนี้ ในดวงตาอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ผุดแววลำพองใจอย่างห้ามไม่อยู่ ทว่ากลับถูกซูชิงที่บังเอิญหันหน้ากลับมาเห็นเข้าเต็มตา ซูชิงตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นทันใด ถลาเข้าไปตรงหน้านางโดยที่นางยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก่อนเงื้อมือซ้ายขึ้นสะบัดใส่ใบหน้าของอวิ๋นรั่วเสวี่ย

เสียง ‘เพียะ!’ ดังลั่น นางตบอวิ๋นรั่วเสวี่ยจนมึนงง และตบจนน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตาซูชิงไหลรินลงมาเช่นกัน

ซูชิงชี้ไปยังทิศทางของประตูใหญ่พลางตะคอกเสียงดัง “ไป! เจ้าไสหัวไปซะ!”

ในหัวอวิ๋นรั่วเสวี่ยพลันขาวโพลน มองสีหน้าดุร้ายของซูชิง ในใจนึกกลัวขึ้นมาในชั่วพริบตา ตอนนี้นางอยู่ในจวนอัครเสนาบดีก็ไม่ได้เป็นที่รักใคร่ของทุกคน หากแม้แต่ซูชิงก็ไม่ต้องการนาง เช่นนั้นสภาพของนางในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แค่จินตนาการเอาก็รู้แล้ว

อวิ๋นรั่วเสวี่ยคุกเข่าลงด้วยปฏิกิริยาตอบสนองโดยแทบจะไม่ต้องคิดมาก กอดสองขาของซูชิงไว้พลางร้องโหยหวนเสียงดัง “ท่านแม่ ทำไมท่านทำแบบนี้! ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะอวิ๋นเชียนเมิ่งขุดหลุมล่อให้ข้ากระโดดลงไป ท่านจะโทษข้าได้อย่างไร ข้าก็แค่อยากหาคนดีๆ สักคนให้ตนเอง ต่อไปจะได้ช่วยเหลือน้องชายได้ ท่านแม่เจ้าคะ ท่านไล่ข้าไปไม่ได้นะ ข้าเป็นลูกสาวแท้ๆ ของท่านนะ ท่านทำแบบนี้มิใช่ทำให้คนใกล้ทุกข์ ศัตรูสุขหรือไร ถ้าอวิ๋นเชียนเมิ่งรู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเราแม่ลูกร้าวฉาน ไม่แน่อาจจะหัวเราะเยาะพวกเราอยู่ก็ได้!”

ทว่าซูชิงในวันนี้กลับใจแข็งแล้ว ไม่ว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยจะร่ำไห้วิงวอนอย่างไร แววตาแน่วแน่ของนางก็ไม่แปรเปลี่ยน

อวิ๋นรั่วเสวี่ยถูกอวิ๋นเชียนเมิ่งหลอกใช้เพราะความเห็นแก่ตัว นางถึงกับไม่คำนึงถึงบุญคุณที่ตนเลี้ยงดูนางมานานหลายปี การหักหลังอย่างโจ่งแจ้งนี้แทบจะทำร้ายซูชิงยิ่งกว่าการสูญเสียสินเดิมไปเสียอีก

ตอนนี้ซูชิงไม่อยากเห็นหน้าอวิ๋นรั่วเสวี่ยอีกต่อไป หวังเพียงแค่ให้นางอยู่ให้ไกลจากตนเอง หวังว่านางจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าตนเองอีก และหวังว่าความโง่เขลาของอวิ๋นรั่วเสวี่ยจะไม่กีดขวางอนาคตของลูกในครรภ์คนนี้

อวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับไม่ยอมปล่อยมือ ไม่ว่าสีหน้าซูชิงจะคิดแตกหักเพียงไร ไม่ว่าสีหน้าซูชิงจะเยียบเย็นเพียงไร นางรู้ว่าหากปล่อยมือ ตนเองก็จะกลายเป็นเด็กไม่มีแม่เหมือนกับอวิ๋นเชียนเมิ่ง นางไม่ยินยอมให้เป็นแบบนั้น ทุกอย่างก่อนหน้านี้ล้วนมีซูชิงคอยคิดวางแผนให้ หากต่อไปเหลือเพียงนางตัวคนเดียว นางก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร มิหนำซ้ำตอนนี้ในจวนยังมีฮูหยินผู้เฒ่าที่เห็นนางขัดหูขัดตา ใครจะรู้ว่าหากตนเองไร้ซึ่งการคุ้มครองจากมารดา ฮูหยินผู้เฒ่าจะหาคู่ครองธรรมดาๆ ให้นาง จับนางแต่งออกไปอย่างลวกๆ หรือไม่

พอคิดเช่นนี้อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ร่ำไห้น้ำตาเป็นสายฝน แนบใบหน้าชิดกับต้นขาซูชิงโดยไม่สนภาพลักษณ์ ส่ายหน้าพลางร้องเสียงดังไม่ยอมปล่อยมือ พานให้ซูชิงพลันมุ่นหัวคิ้ว ส่งสายตาให้แม่นมหวังให้นางลากอวิ๋นรั่วเสวี่ยออกไป

อย่างไรเสียแม่นมหวังก็เห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยมาตั้งแต่ยังเล็ก แม้คุณหนูรองจะดื้อด้านไม่ฟังเหตุผลอยู่บ้าง แต่ในใจแม่นมหวังก็ยังคงเอ็นดูนาง ตอนนี้จะให้แม่นมหวังมองดูความผูกพันฉันแม่ลูกของซูชิงกับอวิ๋นรั่วเสวี่ยแตกหักไปต่อหน้าต่อตา ในใจแม่นมหวังไม่ยินดียิ่ง จึงลองพูดขอความเมตตาแทนอวิ๋นรั่วเสวี่ย

“ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนูอายุยังน้อย ตั้งแต่เล็กก็เติบใหญ่ภายใต้การปกป้องของท่าน ย่อมไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายใดๆ แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งนั้นไม่เหมือนกัน เพื่อมีชีวิตรอดอยู่ในจวนอัครเสนาบดี หลายปีมานี้นางเก็บงำเขี้ยวเล็บไว้อย่างลึกล้ำ ถึงกับหลอกลวงพวกเราทุกคน จวบจนวันนี้ถึงได้โผล่หางจิ้งจอกออกมา ความใสซื่อของคุณหนูรองเมื่อเทียบกับความร้ายลึกของคุณหนูใหญ่ก็ย่อมต้องตกเป็นรองเป็นธรรมดา หากคุณหนูใหญ่จะหลอกใช้คุณหนูรอง นั่นแทบจะเป็นเรื่องง่ายดุจพลิกฝ่ามือ ถ้าวันนี้ท่านตัดความสัมพันธ์ฉันแม่ลูกกับคุณหนูรอง ท่านคิดหรือเจ้าคะว่าคุณหนูใหญ่จะไว้ไมตรีกับคุณหนูรอง กลัวว่าพอถึงตอนนั้นคุณหนูรองคงตกที่นั่งลำบากแล้ว คนที่จะปวดใจก็คือฮูหยินเองนะเจ้าคะ”

ซูชิงถูกแม่นมหวังพูดโน้มน้าวเป็นชุด หัวใจที่แต่เดิมแน่วแน่ก็เริ่มสั่นคลอน

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นมีคนพูดแทนตนจึงปล่อยซูชิงออกแล้วพุ่งไปหาแม่นมหวังทันที ร่ำไห้น้ำหูน้ำตาไหลพร้อมตะโกนร้อง “แม่นมๆ นอกจากท่านแม่แล้วท่านรักเสวี่ยเอ๋อร์ที่สุด ท่านช่วยข้าพูดขอร้องทีสิ ครั้งนี้ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ท่านย่ากับอวิ๋นเชียนเมิ่งร่วมมือกันเล่นงานข้า ข้ารู้จักเล่ห์กลมากมายถึงเพียงนั้นเสียที่ไหน หนำซ้ำยังทำให้ท่านแม่เดือดร้อนอีก หากรู้แต่แรกว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่มีเจตนาดี ข้าก็คงโกนผมบวชชีไปแล้ว ไม่รบเร้าให้ท่านแม่มอบสินเดิมให้นางหรอก แม่นม ข้าสำนึกผิดแล้ว ขอร้องท่านช่วยพูดทีสิ ท่านแม่ยังตั้งครรภ์อยู่ จะเกิดโทสะเพราะข้าไม่ได้ แม่นม เสวี่ยเอ๋อร์ขอร้องท่าน…”

พูดถึงตอนสุดท้าย อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ร้องไห้ฟูมฟายอย่างหนัก สองมือกอดเอวแม่นมหวังไว้แน่น ออกแรงแนบตนเองชิดอ้อมกอดแม่นมหวัง เหมือนอยากจะฝังตัวบนร่างอีกฝ่ายจะแย่แล้ว

แม่นมหวังเห็นนางร้องไห้อย่างเศร้าเสียใจถึงเพียงนี้ หัวใจก็ยิ่งอ่อนยวบ ช่วยพูดโน้มน้าวซูชิงต่อไปว่า “ฮูหยิน คุณหนูรองเป็นสายเลือดของท่านนะเจ้าคะ ท่านหักใจทอดทิ้งนางไว้ไม่เหลียวแลได้หรือเจ้าคะ”

ซูชิงถูกแม่นมหวังพูดชักจูงก็อดใจอ่อนไม่ได้ นางประคองอวิ๋นรั่วเสวี่ยขึ้นมาทันที กล่าวอย่างปวดใจ “เสวี่ยเอ๋อร์ เรื่องเมื่อครู่เป็นความผิดของแม่เอง แม่ไม่ควรระเบิดโทสะเอากับเจ้า ต่อไปไม่อนุญาตให้เจ้าก่อเรื่องซี้ซั้วเช่นนี้อีกนะ มิเช่นนั้นในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ก็จะไม่มีที่ให้พวกเราแม่ลูกยืนอีกแล้ว”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นซูชิงให้อภัยตนในที่สุด จึงเปลี่ยนจากร้องไห้กลายเป็นแย้มยิ้มทันใด กอดซูชิงเอาไว้ไม่ยอมปล่อยอย่างออดอ้อน

 

ส่วนจี้ซูอวี่พอกลับจากจวนอัครเสนาบดีก็ไปยังเรือนรุ่ยหลินของกู่เหล่าไท่จวินทันที

ยามนี้กู่เหล่าไท่จวินทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว กำลังนั่งรอจี้ซูอวี่อยู่ในห้องอุ่นด้วยความกระวนกระวาย

เห็นจี้ซูอวี่ที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมาได้ แม้แต่น้ำชาสักอึกกู่เหล่าไท่จวินก็ลืมให้นางดื่ม เร่งรีบถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

จี้ซูอวี่เห็นกู่เหล่าไท่จวินเคร่งเครียดถึงเพียงนี้ก็รู้ว่าในใจนางเป็นห่วงอวิ๋นเชียนเมิ่งมาก จึงไม่ปล่อยให้กู่เหล่าไท่จวินต้องรอนาน เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างละเอียดหนึ่งรอบ

หลังจากกู่เหล่าไท่จวินฟังจบ ใบหน้าทั้งดวงก็โมโหจนแดงก่ำ มือที่สวมกำไลมรกตสีเขียวสดตบโต๊ะไม้ประดู่อย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังสนั่น พาให้สาวใช้ในห้องอุ่นแต่ละคนตกใจจนไม่กล้าเปิดปาก

“เดรัจฉานใจไม้ไส้ระกำพวกนี้! ตอนแรกข้ายกไข่มุกในอุ้งมือให้แต่งกับอวิ๋นเสวียนจือ แต่เขาก็งามหน้ายิ่ง ลุ่มหลงซูชิงจากจวนสกุลซูผู้นั้น อีกทั้งหลีเอ๋อร์เพิ่งแต่งเข้ามาได้เป็นวันที่สองก็รับซูชิงเข้ามาในจวนทันที เรื่องเหล่านี้พวกเราไม่เอ่ยถึงแล้ว หลีเอ๋อร์เองก็จากไปหลายปีดีดัก แต่ดูสิว่าพวกเขาปฏิบัติต่อหลานสาวของเราอย่างไร ตั้งแต่เล็กก็ไม่มีมารดา บิดาก็เป็นคนไม่ได้ความ ย่าคนนั้นก็ยิ่งเป็นพวกรังแกคนดีหวาดเกรงคนชั่ว เห็นทรัพย์สมบัติดุจชีวิต ซ้ำในจวนยังมีซูชิงที่อยากจะรีบๆ กำจัดเมิ่งเอ๋อร์ทิ้งไปเสีย คนพวกนี้จิตใจโหดเหี้ยมกับเด็กสาวคนหนึ่งได้ถึงเพียงนี้ พวกเขาสู้สัตว์เดรัจฉานไม่ได้เสียด้วยซ้ำ! เมื่อวานหากไม่ใช่เพราะเมิ่งเอ๋อร์หมดหนทางจริงๆ คงจะไม่มาหาพวกเราหรอก เห็นได้ว่าคนพวกนี้บีบคั้นหลานสาวข้าจนถึงขั้นไหน” กู่เหล่าไท่จวินยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ นางที่หลายปีมานี้ไม่เคยร้องไห้ แต่ตอนนี้ยามพูดถึงชีวิตที่ผ่านมาของอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับขอบตาแดงก่ำ

จี้ซูอวี่เห็นอีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ก็นึกถึงท่าทางละโมบเสแสร้งของฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นยามอยู่ที่เรือนเฟิงเหอเมื่อวานขึ้นมา จึงอดสงสารอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่ได้ ก้มหน้าหลั่งน้ำตาตามกู่เหล่าไท่จวิน

“ท่านแม่ยังมีเรื่องที่ไม่รู้! เมื่อวานฮูหยินผู้เฒ่าฝั่งนู้นพูดเองว่ารับลูกๆ ของท่านอาเมิ่งเอ๋อร์กลับจวนอัครเสนาบดีมาด้วยกัน คงจะวางแผนคิดหาหนทางให้เด็กพวกนั้นน่ะเจ้าค่ะ ก่อนออกมาเมิ่งเอ๋อร์ก็บอกข้าอีกว่าฮูหยินผู้เฒ่าฝั่งนู้นคิดจะฉวยโอกาสใช้งานครบรอบวันเกิดหกสิบปีของท่านครั้งนี้หาคู่ครองดีๆ ให้บุตรสาวของครอบครัวบุตรชายคนรองเจ้าค่ะ”

เสียง ‘เพล้ง’ ดังขึ้น กู่เหล่าไท่จวินปัดถ้วยชาข้างมือตกแตก ก่นด่าว่า “ให้นางฝันกลางวันไปเถอะ! ถึงกับใช้จวนฝู่กั๋วกงของข้าเป็นแท่นเหยียบให้สกุลอวิ๋นของนาง? นางคิดว่าอวิ๋นเสวียนจือเป็นอัครเสนาบดีก็สามารถไก่และสุนัขพลอยขึ้นสวรรค์ ได้หรือ ปีนั้นหากมิใช่เพราะเกาะชายกระโปรงของรั่วหลี อาศัยแค่จอหงวนคนใหม่เพิ่งจะออกจากเตาอย่างอวิ๋นเสวียนจือเพียงผู้เดียว คิดจะเป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวงก็แทบจะเป็นเหมือนคนโง่นอนละเมอแล้ว! ข้าอยากจะเห็นนักว่าลูกคิดรางแก้วของนางจะล้ำเลิศเพียงใด! เดี๋ยวคอยดูข้ากระชากเม็ดลูกคิดนางให้หมดเกลี้ยงเถอะ!”

ในขณะที่เอ่ยวาจา บนร่างกู่เหล่าไท่จวินก็แผ่กำจายกลิ่นอายที่แตกต่างจากความสนิทสนมน่าใกล้ชิดในยามปกติราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ทั่วร่างแผ่รังสีเคร่งขรึมน่ายำเกรง บารมีของฮูหยินเก้ามิ่งขั้นหนึ่งชั้นเอกพลันแผ่กระจายออกมาจากภายในเนื้อแท้ของกู่เหล่าไท่จวินในชั่วพริบตานั้น

ถึงแม้จี้ซูอวี่ไม่อยากให้กู่เหล่าไท่จวินเกิดโทสะ แต่พวกสกุลอวิ๋นก็รังแกผู้อื่นหนักเกินไปแล้ว ถึงกับวางแผนเหยียบหัวจวนฝู่กั๋วกง แม้แต่คนที่อัธยาศัยดีอย่างจี้ซูอวี่ก็อดโมโหตามไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกู่เหล่าไท่จวินที่กระทำการเด็ดขาดรวดเร็วมาตั้งแต่สมัยสาวๆ

ยามนี้คนที่สามารถจัดการกับฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลอวิ๋นได้ก็มีแต่กู่เหล่าไท่จวินผู้นี้เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้จี้ซูอวี่จึงไม่เสียใจที่เล่าทุกอย่างให้กู่เหล่าไท่จวินฟัง เพราะนางเองก็อยากจะให้กู่เหล่าไท่จวินกระชากความโอหังของฮูหยินผู้เฒ่าคนนั้นออกมาเสียบ้าง

 

ยามจี้ซูอวี่เดินออกไปจากห้องอุ่นของกู่เหล่าไท่จวินก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว เดิมคิดจะกลับไปพักในเรือนตนสักครู่หนึ่ง ทว่ากลับเห็นชวีฉางชิงและชวีเฟยชิงที่สีหน้าโกรธแค้นยืนอยู่นอกหน้าต่างห้องอุ่น ดูท่าว่าเด็กสองคนนี้คงจะได้ยินบทสนทนาระหว่างตนกับกู่เหล่าไท่จวินหมดแล้ว

ทั้งสองเห็นมารดาของตนเดินออกมาก็ปรี่เข้าไปรับทันที ชวีเฟยชิงนิสัยค่อนข้างเปิดเผยตรงไปตรงมา ยามนี้จึงขอบตาแดงก่ำไปเรียบร้อยแล้ว ดึงแขนเสื้อของจี้ซูอวี่พลางกล่าวด้วยเสียงสะอื้นฮัก “ท่านแม่ ที่จวนอัครเสนาบดีเมิ่งเอ๋อร์ผ่านวันคืนเช่นนี้มาหรือ เหตุใดคนที่นั่นถึงดุร้ายเสียยิ่งกว่าหมาจิ้งจอกบนภูเขา ทั้งยังแล้งน้ำใจถึงเพียงนี้ โชคดีที่น้องเมิ่งเอ๋อร์เข้มแข็ง หากเป็นข้าเกรงว่าคงได้แต่แอบร้องไห้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”

จี้ซูอวี่เห็นชวีเฟยชิงร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมาจึงพลันตลกขบขัน นิ้วมือจิ้มจมูกงามของบุตรสาว กล่าวหยอกล้อ “ชีวิตของเจ้าดีกว่าน้องเมิ่งเอ๋อร์ของเจ้ามากนัก รอบตัวเจ้ามีกู่เหล่าไท่จวิน ท่านพ่อ พี่ชายที่รักเจ้า ตั้งแต่เล็กเจ้าก็ได้อยู่ดีกินดี แต่เมิ่งเอ๋อร์ต้องมีชีวิตดิ้นรนเอาตัวรอดมาตั้งแต่เด็ก นานวันเข้านิสัยของเด็กคนนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเข้มแข็งยิ่งกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้ ถึงแม้นี่จะเป็นเรื่องดี แต่ก็ทำให้คนสงสารเช่นกัน”

ได้ยินจี้ซูอวี่พูดมาเช่นนี้ ชวีเฟยชิงก็พยักหน้าแรงๆ สูดจมูกพลางกล่าวอย่างหงุดหงิดโมโห “จวนอัครเสนาบดีนั่นมิใช่ที่ที่คนอยู่ได้จริงๆ ท่านแม่ มิสู้ให้น้องมาอยู่จวนฝู่กั๋วกงไม่ดีกว่าหรือ บ้านเราไม่ใช่ว่าเลี้ยงเมิ่งเอ๋อร์ไม่ไหวสักหน่อย”

“น้องเล็ก!” ตอนนี้เองชวีฉางชิงที่นิ่งเงียบอยู่อีกด้านกลับตวาดเสียงต่ำอย่างกะทันหัน ทำให้ชวีเฟยชิงตกใจจนไปหลบหลังมารดา ตบอกพลางต่อว่าต่อขาน

“พี่ใหญ่ ท่านทำอะไรเนี่ย ข้าตกใจแทบตาย มีอะไรพูดดีๆ ไม่เป็นหรือ ไยต้องทำให้ตกอกตกใจด้วย!”

แต่ครั้งนี้จี้ซูอวี่กลับยืนอยู่ข้างบุตรชาย ดึงตัวชวีเฟยชิงที่อยู่ด้านหลังเข้ามา เขกศีรษะเล็กๆ ของนางเบาๆ ก่อนจี้ซูอวี่จะกำชับอย่างระมัดระวัง “เฟยเอ๋อร์ วาจาบางอย่างไม่อาจพูดมั่วซั่ว! น้องเมิ่งเอ๋อร์ของเจ้ามีบิดามีท่านย่า จะออกจากสกุลของตนมาพึ่งพาสกุลของท่านตาได้ที่ไหนกัน ถ้าทำแบบนั้น อย่าว่าแต่คนภายนอกจะพากันคาดเดาไปต่างๆ นานาเลย ต่อให้เป็นอาเขยของเจ้าเองก็คงไม่ตกลงแน่ เจ้าต้องรู้ว่าแม้พวกเรามองเป็นเรื่องเล็กๆ แต่โลกภายนอกไปจนถึงราชสำนักมักจะปลุกปั่นเรื่องราวไปพัวพันถึงกิจการบ้านเมือง พอถึงตอนนั้นคงก่อกลิ่นเหม็นคาวให้จวนฝู่กั๋วกงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย”

ชวีเฟยชิงเติบโตท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักความห่วงใย ไหนเลยจะเคยประสบอันตรายเช่นนี้ เมื่อได้ยินจี้ซูอวี่วิเคราะห์แบบนี้ถึงได้รู้สึกว่าหนทางเบื้องหลังช่างลึกล้ำยิ่งนัก ส่วนวิธีคิดแก้ปัญหาของตนเองก็เรียบง่ายเกินไปจริงๆ พลันรู้สึกอับอายจนก้มหน้าแลบลิ้นแล้วยืนอยู่อีกด้านไม่ปริปากใดๆ อีก

ทว่ายามนี้ชวีฉางชิงกลับเอ่ยปากขึ้น นัยน์ตาลึกล้ำของเขายังคงสงบสุขุมเหมือนเคย แต่แววตาที่เป็นประกายน้อยๆ นั้นปรากฏความห่วงใยที่มีต่อสภาพชีวิตของอวิ๋นเชียนเมิ่ง “หรือว่าไม่มีหนทางอื่นแล้ว”

จี้ซูอวี่มองบุตรชายที่ทำให้นางภาคภูมิใจคนนี้ ทว่ากลับถอนหายใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้

แม้ฉางชิงจะหนักแน่นเป็นผู้ใหญ่ มีอัจฉริยภาพด้านการปกครองรวมถึงการยกทัพจับศึก แต่เพราะเติบโตขึ้นในค่ายทหารตั้งแต่ยังเล็ก จึงไม่คุ้นเคยกับการต่อสู้แย่งชิงในวงศ์ตระกูลใหญ่ ยามนี้พอเอ่ยถึงปัญหาพรรค์นี้กลับเผยให้เห็นถึงจุดอ่อนของเขาเช่นกัน

“ต้องบอกว่าพำนักถาวรคงเป็นไปไม่ได้ แต่การไปมาหาสู่ระหว่างเครือญาติยังคงทำได้ ให้เมิ่งเอ๋อร์มาพักสักครึ่งปีก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ตอนนี้สถานการณ์ในจวนอัครเสนาบดีนั้นพิเศษ หากเมิ่งเอ๋อร์จากมา เกรงว่าคนถ่อยพวกนั้นจะฉวยโอกาสก่อความวุ่นวายขึ้นมาอีก” จี้ซูอวี่พูดเสียงต่ำ ทว่ากลับเห็นบุตรชายหญิงคู่นี้ของตนหัวคิ้วขมวดลึกจึงอดขำไม่ได้ นางปลอบใจพวกเขาว่า “มีข้ากับเหล่าไท่จวินอยู่ เชื่อว่าพวกเขาไม่กล้าก่อเรื่องร้ายแรงหรอก พวกเจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลใจเกินไป ข้าเชื่อว่าด้วยความฉลาดปราดเปรื่องของเมิ่งเอ๋อร์จะต้องจัดการเรื่องพวกนี้ได้แน่ๆ”

พูดจบจี้ซูอวี่ก็เบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา ดึงตัวชวีเฟยชิงพลางพูดคุยกับนางว่าระยะนี้งานฝีมือพัฒนาขึ้นหรือไม่ ชวีเฟยชิงพลันอับจนคำพูดทันใด กอดแขนมารดาของตนพร้อมพูดหยอกล้ออย่างออดอ้อน สองแม่ลูกหัวเราะร่าเดินจากไปพร้อมกัน

ส่วนชวีฉางชิงที่ยืนอยู่ที่เดิมกลับมีท่าทางครุ่นคิด มองดูภาพความผูกพันฉันแม่ลูกอันลึกซึ้งของมารดากับน้องสาวก็นึกถึงอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ไม่มีมารดามาตั้งแต่เด็ก สงสารญาติผู้น้องคนเล็กที่มีวาสนาได้พบหน้ากันแค่ไม่กี่ครั้งคนนั้นขึ้นมา

แต่ชวีฉางชิงก็รู้เรื่องที่น้องสาวไม่รู้มาบ้าง

จวนอัครเสนาบดีน่าจะมีอันตรายห้อมล้อมรอบด้านเสียยิ่งกว่าที่มารดาพูดเมื่อครู่ มิเช่นนั้นคราก่อนเมิ่งเอ๋อร์คงไม่ไหว้วานท่านแม่ให้กำจัดมือสังหารที่ดักซุ่มอยู่ระหว่างทางให้นางหรอก

หากมิใช่เพราะก่อนหน้านี้ตนเองเข้าเมืองหลวงมารายงานภารกิจแล้วบังเอิญได้ยินมารดาพูดเรื่องนี้ขึ้น เกรงว่าเมิ่งเอ๋อร์คงประสบกับแผนลอบสังหารโฉดชั่วของซูชิงไปแล้ว

คนของจวนฝู่กั๋วกงอย่างพวกเขาเคยได้รับความคับข้องหมองใจอย่างนั้นที่ไหนกัน

ดวงตาทั้งสองข้างของชวีฉางชิงหรี่ลงน้อยๆ สีหน้าย้อมด้วยแววอันตรายอย่างห้ามไม่อยู่ มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อยาวกำเป็นหมัดโดยที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้สึกตัว

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com