ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ – หน้า 17 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ

ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ

บทที่ 16 งานครบรอบวันเกิดหกสิบปีเริ่มต้น สกุลใหญ่ทั้งสี่พบปะ

 วันที่ยี่สิบหกเดือนสามตามปฏิทินจันทรคติเป็นวันเกิดอายุครบหกสิบปีของกู่เหล่าไท่จวินแห่งจวนฝู่กั๋วกง

ฮูหยินผู้เฒ่าพาคุณหนูทั้งสี่ของบ้านมุ่งหน้าไปยังจวนฝู่กั๋วกงตั้งแต่เช้าตรู่ เพียงแต่พอรถม้าจอดสนิท ทุกคนลงจากรถแล้ว ถึงได้พบว่าวันนี้หน้าประตูจวนฝู่กั๋วกงมีรถม้าของจวนต่างๆ ห้อมล้อมไว้แน่นขนัด ทว่านี่ก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของจวนฝู่กั๋วกงในแคว้นซีฉู่เช่นเดียวกัน

ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นเห็นกู่เหล่าไท่จวินมีหน้ามีตาถึงเพียงนี้ ในดวงตาเฉียบแหลมคู่นั้นก็ค่อยๆ ฉายแววอิจฉาออกมา ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินตามแม่นมของจวนฝู่กั๋วกงเข้าไปในประตูใหญ่ทันที

พวกอวิ๋นเชียนเมิ่งกำลังจะตามเข้าไป ทว่าเห็นรถม้าของจวนสกุลซูขับเคลื่อนเข้ามา อวิ๋นรั่วเสวี่ยจึงรู้ว่าญาติผู้พี่ที่เป็นลูกสาวของลุงมาถึงแล้ว จึงทิ้งพี่น้องของตนไปยืนรออยู่อีกด้านทันที

รถม้าคันนั้นค่อยๆ หยุดนิ่ง เด็กรับใช้คนหนึ่งรีบยกแท่นเหยียบออกมาวาง สาวใช้คนหนึ่งค้อมตัวเดินออกมาจากภายในรถม้า จากนั้นค่อยประคองคนที่ทำให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยหน้าชื่นตาบานออกมา

“ท่านพี่!” อวิ๋นรั่วเสวี่ยก้าวไปหาทันที ตะโกนเรียกเสียงหวานไปทางเด็กสาวที่กำลังเดินลงมาจากรถม้า

เด็กสาวผู้นั้นอายุราวสิบห้าสิบหกปี แม้มิได้งดงามล่มบ้านล่มเมือง แต่ก็ถือว่าสะสวยหมดจด รูปโฉมคล้ายคลึงกับซูชิงอยู่หลายส่วน หากนำนางมาเทียบความงามชดช้อยกับซูชิง เด็กสาวแลดูเหมือนยังโตไม่เต็มที่ แต่ถึงอย่างไรรูปลักษณ์ของนางก็มีความสง่าอย่างคุณหนูตระกูลใหญ่ อากัปกิริยาก็มีท่วงท่าของสกุลผู้ดี โดยเฉพาะวันนี้นางสวมชุดกระโปรงสีฟ้า ยิ่งขับเน้นให้นางดูบริสุทธิ์ไร้ราคี สดชื่นเป็นธรรมชาติราวกับดอกไป่เหอ*

ซูเฉี่ยนเยวี่ยหลานสาวคนโตของสกุลซูเงยหน้าขึ้นอย่างสงบนิ่ง นัยน์ตาที่ฉายแววเฉลียวฉลาดคู่นั้นยิ้มบางๆ ให้อวิ๋นรั่วเสวี่ย จากนั้นถึงค่อยๆ เอ่ยขึ้น “น้องรั่วเสวี่ย ไม่ได้พบกันเสียนาน”

หลังจากนั้นเด็กสาวก็เอียงกาย ยกแขนขึ้นสูง ประคองหญิงชราอายุราวๆ หกสิบปีให้ลงมาจากรถม้าอย่างระมัดระวัง

พออวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้น ความยินดีปรีดาบนใบหน้าก็เจื่อนลงเล็กน้อย นางทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าอย่างจำใจ “คารวะท่านยายเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าคนนั้นก็คือภรรยาคนที่สองของนายท่านซูที่ลาโลกไปแล้ว แม่เลี้ยงของซูชิง หลิวซื่อ

พอหลิวซื่อเห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็เพียงแค่พยักหน้าอย่างเฉยชา จากนั้นถึงเอ่ยขึ้น “แม่ของเจ้าช่วงนี้สบายดีหรือไม่ ไฉนไม่เห็นพวกเจ้าแม่ลูกกลับจวนสักครา”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นหลิวซื่อเริ่มสำบัดสำนวนอีกแล้ว ในใจจึงพลันไม่สบอารมณ์ แต่ติดที่หน้าประตูจวนฝู่กั๋วกงมีผู้คนไปมาขวักไขว่ จึงได้แต่ตอบกลับอย่างอดทนอดกลั้น หลังจากนั้นก็หาข้ออ้าง เดินตามพวกฮูหยินผู้เฒ่าไปติดๆ

“เอ๋? นั่นมิใช่น้องรั่วเสวี่ยหรอกหรือ” ตอนนี้เองชายหนุ่มรูปร่างเพรียวบางผู้หนึ่งขี่ม้าเข้ามาจากด้านหลัง เขาอยู่ในเสื้อคลุมยาวสีขาวนวลราวจันทรา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุภาพเรียบร้อย ละม้ายคล้ายคลึงกับซูเฉี่ยนเยวี่ยถึงเจ็ดแปดส่วน

ซูเฉี่ยนเยวี่ยได้ยินคำถามของผู้มาใหม่ พร้อมทั้งนึกถึงท่าทางหนีเตลิดของญาติผู้น้องเมื่อครู่ก็พลันอดรนทนไม่ไหว กล่าวยิ้มๆ “เป็นน้องรั่วเสวี่ยจริงๆ พี่ใหญ่ ท่านมาช้าไปครึ่งก้าวเลยไม่ได้เห็นสีหน้าของรั่วเสวี่ยเมื่อครู่”

ซูเฉิงเหยียนหลานชายคนโตของสกุลซูได้ยินน้ำเสียงของน้องสาว ทั้งยังเห็นท่าทางกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวของนาง ก็รู้ว่าท่านย่าจะต้องทำให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยตกใจหนีเปิงไปอีกแล้วแน่นอน จึงอดไม่ไหวที่จะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน จากนั้นส่งม้าของตนให้เด็กรับใช้ก่อนจะหันกายเดินตามบิดาของตนไป

“เฉี่ยนเยวี่ย พวกเราก็รีบเข้าไปเถิด” หลิวซื่อดึงตัวซูเฉี่ยนเยวี่ยมาใกล้ๆ ให้หลานสาวผู้นี้พานางเดินเข้าไปข้างใน ระหว่างทางนางก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยเตือนซูเฉี่ยนเยวี่ย “ต่อไปคบหากับรั่วเสวี่ยให้น้อยๆ หน่อย เจ้าก็เห็นท่าทางอวดดีของนางเมื่อครู่ เหมือนกับมารดานางตอนสาวๆ ไม่มีผิด”

ซูเฉี่ยนเยวี่ยตามอยู่หลังหลิวซื่อ ฟังนางพร่ำบ่นพูดต่อว่าอาแท้ๆ ของตน ในดวงตาใสกระจ่างฉายแววเกลียดชังวาบผ่าน

คนในจวนสกุลซูล้วนรู้ดีว่าปีนั้นซูชิงยอมกล้ำกลืนเป็นอนุภรรยาเพื่ออวิ๋นเสวียนจือ ถึงแม้ในใจทุกคนจะชิงชังที่ซูชิงยอมละทิ้งศักดิ์ศรี แต่อย่างไรก็เป็นญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกัน อีกทั้งหลังจากซูชิงปีนขึ้นร่างอวิ๋นเสวียนจือ หน้าที่การงานของสองพี่น้องสกุลซูก็เจริญขึ้นพรวดพราด นานวันเข้าทุกคนก็คิดว่าการตัดสินใจของซูชิงในตอนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

ทว่าหลิวซื่อที่เป็นภรรยาใหม่ผู้นี้กลับคิดว่าซูชิงทำลายเกียรติยศของจวนสกุลซู เห็นพวกซูชิงแม่ลูกขัดหูขัดตามาโดยตลอด ทุกครั้งที่พบเจอกันก็มักจะเสียดสีเหน็บแนม มักจะพูดให้สองแม่ลูกคู่นี้เสียๆ หายๆ ต่อหน้าคนอื่นๆ ในสกุลซู พาให้พี่ชายต่างมารดาทั้งสองของซูชิงไม่พอใจยิ่งนัก แม้แต่ซูเฉิงเหยียนกับซูเฉี่ยนเยวี่ยก็ฝังความแค้นไว้ในใจด้วยเช่นกัน

 

ส่วนทางฮูหยินผู้เฒ่าก็มาถึงเรือนรุ่ยหลินของกู่เหล่าไท่จวินโดยมีแม่นมของจวนฝู่กั๋วกงคอยนำทาง ยามนี้ในเรือนอบอวลด้วยความเกษมเปรมปรีดิ์ แม้แต่บนกิ่งไม้ดอกไม้ในสวนก็ยังผูกไว้ด้วยผ้าไหมสีแดง บรรยากาศแห่งความยินดีปรีดาปรากฏให้เห็นประจักษ์

ทว่าทุกคนยังมิทันได้ก้าวเท้าเข้าไปในห้องหลัก เสียงหัวเราะเริงร่าก็ดังออกมาจากห้องอุ่น

“พี่สาว ข้ามาแล้ว” พอเข้าประตูไป ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นก็เอ่ยปากพูดกับเจ้าของวันเกิดในวันนี้ รอยยิ้มในดวงตาเอ่อล้นออกมาจนทั่วทั้งใบหน้าดูสดใสสดชื่นตามไปด้วย แต่ฮูหยินผู้เฒ่ายังคิดว่าดูสนิทชิดเชื้อไม่มากพอจึงดึงอวิ๋นอี้อี้เดินไปยังข้างกายกู่เหล่าไท่จวิน กล่าวด้วยความยินดี “พี่สาว ยังจำข้าได้หรือไม่ วันนี้เป็นวันเกิดครบหกสิบปีของท่าน ข้าเลยมาอวยพรวันเกิดให้ท่านโดยเฉพาะ”

กู่เหล่าไท่จวินมองคนที่โผล่พรวดเข้ามาหาตนเอง ทั้งยังเห็นผู้ที่มาใหม่สวมอาภรณ์สีแดงเข้ม สีหน้าก็ทอแววรำคาญผ่านวูบ เพียงแค่เอ่ยอย่างเฉยชา “เจ้ามาแล้ว”

รอยยิ้มบนใบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นพลันชะงักไป ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อท่าทีเย็นชาของกู่เหล่าไท่จวินไปชั่วขณะ นางยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าประดักประเดิดเล็กน้อย

ภายในห้องอุ่นเงียบสงัดลงอีกครั้ง ฮูหยินผู้เฒ่าจากจวนต่างๆ ที่เมื่อครู่ยังสรวลเสเฮฮาล้วนมองฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นด้วยสายตาดูถูก โดยเฉพาะเมื่อสายตาของทุกคนสัมผัสกับสีแดงเข้มที่แทบจะซ้ำกับอาภรณ์สีแดงของกู่เหล่าไท่จวิน ในดวงตาก็ยิ่งเผยแววสะอิดสะเอียนอย่างเก็บซ่อนเอาไว้ไม่อยู่

“เมิ่งเอ๋อร์คารวะท่านยายเจ้าค่ะ วันนี้ท่านย่าพาพวกเมิ่งเอ๋อร์สี่พี่น้องเดินทางมาอวยพรวันเกิดแก่ท่านยายโดยเฉพาะเจ้าค่ะ ขอให้ท่านยายสุขเกษมดุจทะเลตงไห่ อายุยืนยาวดุจเขาหนานซาน” ตอนนี้เองอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ดึงพวกอวิ๋นเยียนซึ่งอยู่ข้างกายคุกเข่าให้กู่เหล่าไท่จวินอย่างพร้อมเพรียง เสียงใสกังวานพลันดังก้องห้องอุ่นที่จู่ๆ ก็เงียบสงัดลง จึงฟังดูไพเราะเสนาะหูเป็นพิเศษ

กู่เหล่าไท่จวินที่เมื่อครู่ยังคงตีสีหน้าบูดบึ้ง ยามนี้เห็นหลานสาวของตน ดวงหน้าบึ้งตึงนั้นก็แย้มยิ้มทันใด ชี้ไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่งซึ่งคุกเข่าอยู่ตรงกลางพลางแนะนำกับฮูหยินผู้เฒ่าคนอื่นๆ “นี่คือลูกของบุตรสาวคนรองข้า บัดนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เมิ่งเอ๋อร์ รีบลุกขึ้นมาคารวะผู้อาวุโสเร็วเข้า”

อวิ๋นเชียนเมิ่งได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนอย่างว่าง่ายทันที ก้มหน้าลงครึ่งหนึ่ง เข่าทั้งสองย่อลงน้อยๆ คำนับฮูหยินผู้เฒ่าทุกคนที่นั่งอยู่ทั่วห้องอุ่น “อวิ๋นเชียนเมิ่ง ธิดาคนโตแห่งจวนอัครเสนาบดีคารวะผู้อาวุโสทุกท่านเจ้าค่ะ”

ทุกคนเห็นกู่เหล่าไท่จวินแนะนำนางด้วยตนเอง แม้ในใจจะรู้เรื่องที่เฉินอ๋องถอนหมั้น แต่วันนี้ได้เห็นว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งมีบุคลิกสุภาพเรียบร้อย อากัปกิริยางามสง่า สืบทอดรูปโฉมงดงามจากคุณหนูรองแห่งจวนฝู่กั๋วกง จึงชื่นชมอวิ๋นเชียนเมิ่งต่อหน้ากู่เหล่าไท่จวินไม่ขาดปาก แต่ละคนต่างปลดเครื่องประดับมีราคาบางส่วนบนร่างออกมามอบให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นของขวัญ

อวิ๋นเชียนเมิ่งรับของกำนัลมาแล้วพูดขอบคุณเสียงแผ่ว “ผู้อาวุโสมอบของให้มิอาจปฏิเสธ เชียนเมิ่งขอขอบคุณผู้อาวุโสทุกท่านไว้อีกครั้งเจ้าค่ะ”

ทุกคนได้ยินปากเล็กๆ ของนางเอ่ยวาจาหวานล้ำถึงเพียงนี้ จึงพากันชื่นชมอีกยกใหญ่

“เป็นธิดาภรรยาเอกของจวนอัครเสนาบดี ทั้งยังมีมารดาที่รู้ขนบมารยาทอย่างรั่วหลี ยายหนูเมิ่งเอ๋อร์คนนี้ไม่เลวจริงๆ แค่ดูก็รู้ว่าถือกำเนิดจากตระกูลผู้ลากมากดี” เหล่าไท่จวินสกุลหร่วนเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งงามล้ำเฉิดฉัน อากัปกิริยางามสง่าก็นึกชอบเด็กคนนี้ขึ้นมาทันใด จึงเอ่ยชมเชยเป็นคนแรก

สกุลหร่วนคือสกุลท่านตาของอวี้เฉียนตี้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

ปีนั้นหร่วนซูเฟยซึ่งเป็นหนึ่งในสี่กุ้ยเฟยเสียชีวิตเนื่องจากคลอดบุตรยาก ซีจิ้งตี้ฮ่องเต้องค์ก่อนจึงมอบอวี้เฉียนตี้ให้ชวีกุ้ยเฟยซึ่งมีตำแหน่งสูงสุดในกุ้ยเฟยทั้งสี่เลี้ยงดู ผู้คนล้วนกล่าวกันว่าบุญคุณที่ให้กำเนิดไม่ยิ่งใหญ่เท่าบุญคุณที่ชุบเลี้ยง ชวีกุ้ยเฟยปฏิบัติกับองค์ชายน้อยที่สูญเสียมารดาไปตั้งแต่ทรงพระเยาว์อย่างจริงใจ ด้วยเหตุนี้ความรักความผูกพันของสองแม่ลูกจึงลึกซึ้งยิ่ง

ส่วนสกุลหร่วนสูญเสียหร่วนซูเฟยไปคนหนึ่งแล้วจึงไม่อาจสูญเสียองค์ชายน้อยไปอีก พร้อมกันนั้นเห็นว่าชวีกุ้ยเฟยดูแลองค์ชายน้อยด้วยใจจริง กอปรกับจะได้จวนฝู่กั๋วกงที่มีพลังอำนาจเหลือล้นเป็นกำลังหนุนให้องค์ชายน้อยขึ้นครองบัลลังก์ในอนาคต สกุลหร่วนจึงยอมคบค้าสมาคมกับสกุลชวี

ด้วยเหตุนี้ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง ความสัมพันธ์ของสกุลหร่วนกับสกุลชวีจึงใกล้ชิดกันมากที่สุด ความสัมพันธ์ของสองสกุลสนิทแน่นแฟ้น แนบแน่นไม่อาจแยกจาก เรียกได้ว่ามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน

เพราะความสัมพันธ์ในระดับชั้นนี้ วันนี้ของขวัญพบหน้าที่เจียงเหล่าไท่จวินแห่งสกุลหร่วนมอบให้อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงล้ำค่ามากที่สุด ลูกประคำมรกตเปล่งแสงสีเขียวสดใสเส้นนั้นร่วมผ่านวันเวลากับเจียงเหล่าไท่จวินมาถึงสามสิบปี แต่วันนี้กลับมอบให้อวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างใจกว้าง ไม่เพียงแค่เห็นแก่หน้ากู่เหล่าไท่จวินเท่านั้น แต่ยังเป็นการตอบแทนน้ำใจที่ปีนั้นไทเฮาทรงดูแลฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ส่วนกู่เหล่าไท่จวินเห็นเจียงเหล่าไท่จวินกระตือรือร้นมีน้ำใจถึงเพียงนี้จึงกล่าวอย่างอาดูรเล็กน้อย “น่าเสียดายที่เด็กคนนี้ไม่มีมารดาตั้งแต่เด็ก ข้างกายก็ไม่มีคนที่คอยดูแลเอาใจใส่ สามารถเติบใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ถือว่าโชคดีมากแล้ว”

ครั้นวาจาของกู่เหล่าไท่จวินสิ้นสุด ฝั่งฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นก็พลันรู้สึกว่าบนร่างนางมีลูกธนูนับหมื่นปักทิ่มแทงลงมา รู้สึกว่าสายตาตำหนิจำนวนนับไม่ถ้วนพากันพุ่งมาทางตน ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นยิ่งรู้สึกอึดอัด

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่ายามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นสู้หน้าใครไม่ติดจึงพูดแก้ไขสถานการณ์ “หากมีท่านย่าอยู่ข้างกาย เมิ่งเอ๋อร์จะต้องมีความสุขมากแน่ๆ เจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งมองมายังตนเองพลางเอ่ยประโยคนี้ด้วยใบหน้ายิ้มหวาน ทันใดนั้นพลันโล่งอกอยู่บ้าง อดแอบคิดไม่ได้ว่าเชียนเมิ่งยังเป็นคนแซ่อวิ๋น สุดท้ายแล้วในใจก็ยังคงเข้าข้างสกุลอวิ๋น

ทว่าตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นกลับคิดแต่จะกู้หน้าตนเอง จึงมิได้ครุ่นคิดความหมายในวาจาของอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างลึกซึ้ง

วาจานี้ของอวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นการลอบเสียดสีว่าอวิ๋นเสวียนจือมิได้ทำหน้าที่ที่บิดาพึงกระทำอย่างสุดกำลัง หนำซ้ำเรื่องที่อัครเสนาบดีอวิ๋นโปรดปรานอี๋เหนียงจวนสกุลซูก็เป็นข่าวเก่าตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว อีกทั้งทุกคนที่อยู่ในงานล้วนเป็นคนที่ปราดเปรื่องที่สุดในจวน ไหนเลยจะไม่เข้าใจความนัยเลี้ยวลดในวาจานี้ เกรงว่าพองานครบรอบวันเกิดครั้งนี้สิ้นสุดลง แต่ละจวนคงจะแอบหัวเราะเยาะกันยกใหญ่

กู่เหล่าไท่จวินเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งพูดแก้ตัวแทนฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋น สีหน้าที่เดิมทีไม่ค่อยรับแขกก็ค่อยๆ ดีขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดก็มองไปทางฮูหยินผู้เฒ่าตรงๆ ทว่ากลับสั่งสาวรับใช้ข้างกายเสียงเฉียบ “ทำงานประสาอะไรกัน แม่สามีของลูกสาวข้ามาถึงแล้วยังไม่รู้จักยกเก้าอี้มาอีก ให้นางลำบากยืนมาเนิ่นนานเช่นนี้เป็นความผิดของข้าโดยแท้”

เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นนึกว่ากู่เหล่าไท่จวินจะระเบิดโทสะใส่ตน โชคดีที่ครั้งนี้ระเบิดใส่บรรดาสาวใช้ ด้วยเหตุนี้ความกังวลใจจึงค่อยๆ คลายลง อีกทั้งเห็นกู่เหล่าไท่จวินค่อยๆ มีสีหน้าอ่อนโยนกับตนเอง ในใจก็พลันปีติยินดี เอ่ยยิ้มๆ ทันที “วันนี้เป็นวันดีของเหล่าไท่จวิน ท่านอย่าได้โมโหเป็นอันขาด ฮูหยินผู้เฒ่าทุกท่าน พวกท่านว่าใช่หรือไม่”

กู่เหล่าไท่จวินเห็นฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นอยากจะเริ่มเชื่อมสัมพันธ์ใจจะขาด มุมปากก็ค่อยๆ ฉาบรอยยิ้มเย็นที่คล้ายมีแต่ก็คล้ายไม่มี ทว่ากลับดึงมือฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นเข้ามาอย่างกระตือรือร้น แนะนำกับบรรดาฮูหยินที่อยู่ในห้องอย่างสนิทสนม “เกรงว่าทุกคนคงจะไม่คุ้นหน้า นี่ก็คือแม่สามีของบุตรสาวคนรองข้า แต่น่าเสียดายนางจากเมืองหลวงไปสิบกว่าปี จวบจนวันนี้พวกเราถึงได้พบหน้ากัน ระหว่างนี้สูญเสียช่วงเวลาดีๆ ไปไม่น้อยเลย!”

ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นเห็นกู่เหล่าไท่จวินตั้งใจเชื่อมสัมพันธ์ให้ตนจึงไม่เกรงใจเช่นกัน แค่คิดถึงช่วงเวลาที่สูญเสียไป ในใจก็เอาแต่ร่ำร้องว่าเสียดาย สีหน้าแววตาปรากฏความผิดหวังอย่างรุนแรง “ใช่แล้ว ขอบคุณเหล่าไท่จวินที่นึกถึงกันอยู่เสมอ ทั้งยังมอบปะการังเลือดให้ข้า ทำให้ข้าซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นวันนี้จึงพาหลานทั้งสี่มาอวยพรวันเกิดให้ท่านด้วยตนเอง”

ครั้นคนในห้องได้ยินวาจานี้ สายตาก็พากันมองไปทางกู่เหล่าไท่จวินด้วยความสงสัย ทว่ากลับเห็นนางแววตาเรียบเฉย ในดวงตาอมยิ้ม ก็รู้ว่าสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนอัครเสนาบดีพูดมามิใช่เรื่องโกหก จึงอดลอบตื่นตกใจมิได้

ปะการังเลือดนั้นเป็นสมบัติที่มีค่าควรเมือง ได้ยินว่าทีแรกไทเฮาทรงเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของกู่เหล่าไท่จวิน จึงเลือกปะการังเลือดสองต้นที่ขนาดใหญ่ที่สุด สีสันสวยงามที่สุดมอบให้จวนฝู่กั๋วกง ทำให้สนมชายาในวังจำนวนมากอิจฉายิ่งนัก

บัดนี้กู่เหล่าไท่จวินกลับนำสมบัติล้ำค่านี้มอบต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าจวนอัครเสนาบดีอย่างใจกว้าง ทั้งเห็นท่าทางได้ผลประโยชน์แล้วยังอวดฉลาดของฮูหยินผู้เฒ่า ในใจทุกคนก็เจ็บใจแทนกู่เหล่าไท่จวินอย่างห้ามไม่อยู่ ความไม่พอใจที่มีต่อฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น

ทว่าตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นยังจะสนใจเรื่องเหล่านี้เสียที่ไหน นางจดจ่ออยู่กับความคิดที่จะเลียแข้งเลียขาผู้มีอำนาจ มิได้พินิจความคิดของทุกคนให้มากขึ้น เอาแต่คิดว่าการดึงดูดความสนใจของทุกคนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้

ความคิดเล็กๆ ของนางกลายเป็นเรื่องน่าขันในสายตาของทุกคน และทำให้เหล่าฮูหยินผู้เฒ่าค่อยๆ พากันพูดเรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ กับเหล่าไท่จวิน ปล่อยฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นทิ้งไว้อีกด้าน

ในตอนนี้เองสาวใช้ด้านนอกเข้ามารายงานว่าเฉินเหล่าไท่จวินแห่งจวนสกุลหรงมาถึงแล้ว กู่เหล่าไท่จวินจึงรีบสั่งให้คนเชิญเข้ามา

ม่านประตูในห้องอุ่นถูกเหล่าสาวใช้เลิกออก หญิงชราอายุอานามพอๆ กับกู่เหล่าไท่จวินผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก นางสวมเสื้อผ้าป่านสีคราม บนศีรษะสวมรัดเกล้าประดับอัญมณีสีแดง มือยันไม้เท้าหัวมังกรซึ่งสลักอักษรคำว่า ‘อายุยืน’ เอาไว้

เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา นอกจากกู่เหล่าไท่จวินและเจียงเหล่าไท่จวินของสกุลหร่วนที่มิได้ลุกขึ้น คนอื่นๆ ก็ล้วนลุกขึ้นยืนแล้วนั่งลงอีกครั้ง แต่ดูจากสีหน้าบนใบหน้าทุกคนก็ดูออกว่าเฉินเหล่าไท่จวินของจวนสกุลหรงผู้นี้ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับใคร จึงไม่ค่อยคุ้นเคยกับทุกคนที่มาร่วมงานเท่าไรนัก

ตอนกู่เหล่าไท่จวินส่งเทียบเชิญไปก็มิได้คาดหวังอะไรมากมาย ทว่ายามนี้เห็นเฉินเหล่าไท่จวินมาร่วมงาน นางจึงพลันดีใจอยู่ไม่น้อย สั่งให้พวกสาวใช้ยกเก้าอี้ไท่ซือ เข้ามาทันที แล้วเพิ่มเบาะรองไว้บนเก้าอี้ จากนั้นถึงค่อยเชิญเฉินเหล่าไท่จวินนั่งลง

เฉินเหล่าไท่จวินผู้นี้เองก็แปลกประหลาด หลังจากนั่งลงก็มิได้รีบร้อนเอ่ยวาจา แต่กลับกวาดสายตามองทั่วห้องอุ่นแวบหนึ่ง สุดท้ายสายตาหยุดลงบนร่างอวิ๋นเชียนเมิ่ง นัยน์ตาที่ทอแววฉลาดเฉลียวคู่นั้นฉายรอยยิ้มพึงพอใจวูบผ่าน แล้วจึงหันไปทางกู่เหล่าไท่จวิน กล่าวยิ้มๆ “ข้ามาช้าไป ขอพี่สาวอย่าได้ถือสาหาความ”

พอนางเปิดปากก็ทำให้ทุกคนในห้องต่างลอบแปลกใจ เฉินเหล่าไท่จวินแห่งจวนสกุลหรงที่นิสัยแปลกพิลึกทำสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตรกับผู้อื่นถึงเพียงนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไร

เท่าที่รู้เฉินเหล่าไท่จวินเองก็เป็นดอกไม้หายากแห่งแคว้นซีฉู่

มิเช่นนั้นยามจวนสกุลหรงให้กำเนิดหรงอวิ๋นเฮ่อที่เส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ผู้คนต่างพากันหลบลี้แทบไม่ทัน เหตุใดเฉินเหล่าไท่จวินกลับเห็นเป็นสมบัติล้ำค่าได้เล่า

คนที่แปลกแยกเพียงนี้ ปกติเมื่อพบเจอผู้คนก็ไม่เคยทักทายปราศรัย แต่วันนี้กลับมาเยือนถึงจวนฝู่กั๋วกงด้วยตนเอง ซ้ำยังเอ่ยวาจาอ่อนน้อมเช่นนี้ออกมาอีก จะไม่ให้คนประหลาดใจได้อย่างไร

กู่เหล่าไท่จวินเคยประสบคลื่นลมมรสุมพบเจอเหตุการณ์มามากมาย ในเมื่อเฉินเหล่าไท่จวินแสดงความเป็นมิตร นางก็ย่อมต้องให้เกียรติอีกฝ่าย นอกจากนั้นแม้เฉินเหล่าไท่จวินจะมีนิสัยแปลกพิลึก แต่ก็มิใช่คนถ่อยที่โหดเหี้ยมเจ้าเล่ห์พรรค์นั้น กู่เหล่าไท่จวินเองก็ยินดีที่จะคบค้าสมาคมกับนางจึงยิ้มพลางเอ่ยปาก “เหล่าไท่จวินถ่อมตัวเกินไปแล้ว เวลานี้เกรงว่าท่านจะมาเร็วไปแล้วล่ะ พวกเราอายุมากแล้ว ปกติล้วนอยู่แต่ในจวนใครจวนมัน ไม่ยอมออกมาเยี่ยมเยียนกัน แต่วันนี้ก็ขอใช้โอกาสอันดีนี้พูดคุยกันได้เต็มที่เลย”

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ต่างก็ยิ้มพลางพยักหน้ากล่าวเห็นด้วย

ทว่าเพิ่งจะสนทนากันไปได้ครู่สั้นๆ ด้านนอกก็ส่งข่าวมาว่าหลินเหล่าไท่จวินแห่งสกุลหยวนของท่านตาเฉินอ๋องได้มาถึงแล้ว

กู่เหล่าไท่จวินแลกเปลี่ยนสายตากับเจียงเหล่าไท่จวินอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง จากนั้นจึงให้สาวใช้เชิญนางเข้ามา

หลินเหล่าไท่จวินผู้นี้อายุมากกว่ากู่เหล่าไท่จวินเล็กน้อย ทว่ารูปลักษณ์คล้ายคลึงกับหยวนเต๋อไท่เฟยซึ่งเป็นมารดาแท้ๆ ของเฉินอ๋องถึงห้าส่วน เห็นได้ว่าสมัยยังสาวจะต้องเป็นสาวงามชื่อเสียงเลื่องลือเป็นแน่

เมื่อเทียบกับคนรอบข้างแล้ว กลิ่นอายที่แผ่กำจายออกมาจากร่างของหลินเหล่าไท่จวินที่เพิ่งจะมาถึงผู้นี้แลดูเฉียบขาดกว่าเล็กน้อย นัยน์ตาไม่ยิ้มแฝงความน่ายำเกรงนั้นทำให้คนเห็นแล้วหวาดกลัว คล้ายกับนางไม่ได้มาเพื่ออวยพรวันเกิด

ยามกู่เหล่าไท่จวินเห็นนาง รอยยิ้มบนใบหน้าก็เจื่อนลงไปถึงเจ็ดแปดส่วน ในดวงตาสร้างปราการระวังภัยขึ้นมาเช่นเดียวกัน ทว่าริมฝีปากกลับเอ่ยอย่างเกรงใจ “แขกที่นานๆ ทีจะมานี่นา เด็กๆ ยกเก้าอี้ไท่ซือมาอีกตัวซิ อย่าให้แขกผู้ทรงเกียรติของจวนฝู่กั๋วกงต้องเหน็ดเหนื่อย”

หลินเหล่าไท่จวินเดินเข้ามาในห้องอุ่นก็กวาดสายตามองบุคคลภายในห้องแล้วรอบหนึ่ง ทว่าสายตาเรียบเฉยนั้นกลับหยุดชะงักที่เฉินเหล่าไท่จวินกับอวิ๋นเชียนเมิ่งเล็กน้อยก่อนจะวาบผ่านไป เมื่ออวิ๋นเชียนเมิ่งไล่ตามแววตานั้นอีกครั้งกลับเห็นหลินเหล่าไท่จวินหวนคืนสู่ท่าทางเมื่อครู่ นางพยักหน้าให้กู่เหล่าไท่จวินเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งลงอย่างไม่เกรงใจ

“วันนี้เป็นวันเกิดของเหล่าไท่จวิน ข้าย่อมต้องมาอวยพรเป็นธรรมดา แต่กลับเห็นใบหน้าที่ไม่ค่อยได้พบเจอเสียได้” หลินเหล่าไท่จวินเพิ่งจะนั่งลงก็เอ่ยปากอย่างแฝงการเสียดสีในวาจา

ใบหน้าที่ไม่ค่อยได้พบเจอในวาจาหมายถึงเฉินเหล่าไท่จวินแห่งจวนสกุลหรง

อย่างไรก็ดี แม้ว่าในสมัยฮ่องเต้ซีจิ้งตี้สกุลหรงจะให้กำเนิดหรงเสียนเฟย แต่สกุลหรงเป็นตระกูลพ่อค้าที่ยิ่งใหญ่แห่งยุค ตอนที่แคว้นซีฉู่ก่อร่างสร้างประเทศได้ช่วยบริจาคเงินบริจาคธัญญาหาร ลงแรงไปไม่น้อย ถึงได้เลือกบุตรสาวคนโตของเฉินเหล่าไท่จวินเป็นหรงเสียนเฟย

ทว่าฮ่องเต้ซีจิ้งตี้กลับกลัวว่าสกุลหรงจะอาศัยสนมที่เกิดจากสกุลตนผูกขาดสนามการค้าของแคว้นซีฉู่ไว้ ด้วยเหตุนี้จึงให้หรงเสียนเฟยดื่มยาไร้บุตรเพื่อตัดความคิดเลยเถิดของสกุลหรง พร้อมทั้งอาศัยพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงแต่งตั้งให้เป็นสนมทำให้สกุลหรงถวายชีวิตเพื่อแคว้นซีฉู่ต่อไป

ดังนั้นในบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งสี่แห่งเมืองหลวง สกุลหรงจึงอยู่ในฐานะพิเศษ

อีกทั้งในบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งสี่ คนสกุลหรงกลับดูแปลกแยกยิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาไม่คบค้าสมาคมกับใครอย่างลึกซึ้งแน่นแฟ้น พอวันนี้หลินเหล่าไท่จวินเห็นเฉินเหล่าไท่จวินอยู่ที่นี่ ในใจก็พลันถาโถมด้วยความคิดมากมายนับไม่ถ้วน ถึงขั้นคิดว่าสกุลหรงวางแผนร่วมมือกับสกุลหร่วนและสกุลชวีเพื่อต่อกรกับสกุลหยวน

ทุกคนได้ยินคำถามของหลินเหล่าไท่จวิน พอนึกถึงเรื่องราวในราชสำนักตอนนี้ล้วนพากันหน้าเปลี่ยนสี มีเพียงกู่เหล่าไท่จวิน เจียงเหล่าไท่จวิน และเฉินเหล่าไท่จวินที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ทำให้หลินเหล่าไท่จวินที่เอ่ยถามพลันผิดหวังวูบหนึ่งในใจ

“เหล่าไท่จวิน คุณหนูใหญ่เชิญพวกคุณหนูญาติผู้น้องไปที่เรือนฮ่วนซีเจ้าค่ะ” ตอนนี้เองสาวใช้ประจำตัวของชวีเฟยชิงก็เดินเข้ามาจากด้านนอก เห็นเพียงนางยิ้มบางๆ พลางขอความกรุณาจากกู่เหล่าไท่จวิน

กู่เหล่าไท่จวินเองก็เก็บสายตาที่หลินเหล่าไท่จวินมองอวิ๋นเชียนเมิ่งเมื่อครู่เข้าสู่ในดวงตา และรู้สึกลึกๆ เช่นกันว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่ที่นี่ไม่ใคร่สะดวกใจเท่าไรจึงยิ้มพร้อมเอ่ย “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าพาน้องสาวทั้งสามของเจ้าไปพบกับพี่เฟยของเจ้าเถิด”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่ายามนี้บรรยากาศในห้องอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งเล็กน้อย รู้ดีว่ารั้งอยู่ที่นี่คงไม่สะดวก จึงนำพวกอวิ๋นทั้งสามคนยอบกายคำนับทุกคน ตามสาวใช้ผู้นั้นไปยังเรือนฮ่วนซี

 

เรือนฮ่วนซีเป็นสถานที่ที่จวนฝู่กั๋วกงใช้ต้อนรับหญิงสาวนอกจวน กินพื้นที่กว้างขวาง ภายในเรือนทัศนีภาพงามงดตระการตา แต่อยู่ห่างกับเรือนรุ่ยหลินที่กู่เหล่าไท่จวินพำนักเป็นช่วงระยะทางหนึ่ง จำเป็นต้องเดินผ่านทางเดินในสวนดอกไม้ของจวนฝู่กั๋วกง

งานครบรอบวันเกิดของกู่เหล่าไท่จวินในวันนี้ ลูกหลานของแต่ละจวนก็ติดตามผู้อาวุโสของสกุลตนมาอวยพรวันเกิดด้วยเช่นกัน หญิงสาวถูกจัดให้อยู่ที่เรือนฮ่วนซี ส่วนบรรดาชายหนุ่มถูกจัดให้อยู่ที่ลานด้านหน้า มีชวีหลิงเอ้าซึ่งมียศเป็นท่านโหวกับชวีฉางชิงคอยต้อนรับแขกเหรื่อด้วยตนเอง

สาวใช้ผู้นั้นเกรงว่าจะเจอกับบุรุษที่บังเอิญทะเล่อทะล่าเข้ามาในสวนดอกไม้จึงพาพวกอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินทางลานด้านหลังแทน ยามนี้กำลังเดินผ่านหอชูอวิ๋นของชวีฉางชิงพอดี เสียงสนทนาแผ่วต่ำของบุรุษดังออกมาจากด้านใน

อวิ๋นรั่วเสวี่ยนึกว่าชวีฉางชิงอยู่ด้านในจึงคิดจะเข้าไปทักทาย ไม่สนใจเสียงร้องเรียกเบาๆ ของสาวใช้ผู้นั้น นางเดินตรงเข้าไปหน้าประตูลานสวนของหอชูอวิ๋น แต่กลับพบว่านอกจากชวีฉางชิงแล้วยังมีบุรุษในชุดคลุมยาวสีขาวนวลราวจันทรา ศีรษะสวมเกี้ยวทองคำฝังอัญมณีผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วย

ยามเขาสนทนากับชวีฉางชิงสายตาคู่นั้นเปล่งแสงแพรวพราว คิ้วโค้งทั้งสองข้างเข้มสนิท ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายของผู้เป็นราชัน ทำให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยมองจนตะลึงลานในทันใด

อวิ๋นอี้อี้เห็นนางตะลึงงันอยู่หน้าประตูไม่ขยับเขยื้อนจึงเดินเข้าไปพร้อมยื่นศีรษะเล็กๆ มองเข้าไปข้างใน ทันใดนั้นก็ถูกบุรุษผู้นั้นดึงดูดเอาไว้เช่นเดียวกัน

“ใคร!” ยามนั้นเองบุรุษทั้งสองที่เดิมกำลังสนทนาอยู่นั้นกลับพบความผิดปกติที่หน้าประตูพร้อมๆ กัน ชวีฉางชิงจึงตวาดใส่ทางประตูเสียงดัง ทำเอาอวิ๋นอี้อี้ตกใจจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว ส่วนอวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับรีบจัดเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อยแล้วก้าวเข้าไปในหอชูอวิ๋นด้วยท่วงท่านวยนาด ยิ้มพริ้มเพราพลางกล่าว “พี่ใหญ่ เป็นข้าเองเจ้าค่ะ”

แต่ขณะที่พูด นัยน์ตาหยาดเยิ้มของอวิ๋นรั่วเสวี่ยคู่นั้นกลับจับจ้องบุรุษที่อยู่ข้างกายชวีฉางชิงตาไม่กะพริบ คิดหมายจะดึงความสนใจจากเขา

ทว่าอากัปกิริยาเลินเล่อของนางกลับแลกมาซึ่งแววยิ้มเยาะในดวงตาของชายหนุ่มรวมถึงโทสะของชวีฉางชิง “ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามาในเรือนของข้า! กฎระเบียบของจวนอัครเสนาบดีหละหลวมถึงเพียงนี้เลยหรือ!”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยถูกชวีฉางชิงฉีกหน้าอย่างไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย ต่อให้เดิมทีนางหน้าหนาแค่ไหน แต่ตอนนี้ใบหน้าก็ยังย่ำแย่อยู่ดี เห็นน้ำตาในดวงตานางใกล้จะไหลรินอยู่รอมร่อ อวิ๋นเชียนเมิ่งที่เข้ามาทีหลังจึงขมวดคิ้วมุ่นมองนางแวบหนึ่งก่อนกล่าวขอโทษกับชวีฉางชิง “พวกเราเสียมารยาทแล้วเจ้าค่ะ”

พอชวีฉางชิงเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่ง ความเดือดดาลในดวงตาจึงเลือนหายไปเล็กน้อย ทว่ายามมองทางอวิ๋นรั่วเสวี่ยยังคงมีความชิงชังที่ไม่อาจขจัดออกไปได้ จากนั้นเขาก็เอ่ยกับอวิ๋นเชียนเมิ่งว่า “เฟยเอ๋อร์รอเจ้าอยู่ที่เรือนฮ่วนซี รีบไปเถิด”

อวิ๋นเชียนเมิ่งพยักหน้า รีบให้อวิ๋นเยียนดึงอวิ๋นรั่วเสวี่ยจากไปอย่างเร็วไว ส่วนตนเองคำนับชวีฉางชิงแล้วถอยออกไปจากหอชูอวิ๋นเช่นเดียวกัน

ทว่าตอนที่ออกไปนางช้อนตามองฉู่เฟยหยางที่ไม่พูดไม่จาอยู่ข้างกายชวีฉางชิงแวบหนึ่ง รู้สึกว่าเขาที่เคร่งขรึมเยือกเย็นอย่างวันนี้แตกต่างจากความรู้สึกที่พบกันหลายครั้งก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

ระหว่างทางอวิ๋นรั่วเสวี่ยท่าทางมีเรื่องหนักใจ ถึงกับปล่อยให้อวิ๋นเยียนจูงมือนางไปมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

อวิ๋นอี้อี้เองก็เดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่งมองกลับหลังไปสามครั้งเช่นกัน

 

ยามนี้ชวีเฟยชิงในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนกำลังยืนอยู่หน้าประตูเรือนฮ่วนซี นางมองเห็นเงาร่างอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยสายตาแหลมคมจึงรีบเดินเข้าไปต้อนรับด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มทันที “พวกเจ้ามากันเสียที!”

ครั้นอวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นชวีเฟยชิงก็ยิ้มออกมาจากใจจริง ดึงมือชวีเฟยชิงไว้พลางเอ่ยอย่างสนิทสนม “ข้าเองก็รอที่จะพบหน้าท่านพี่มาทั้งวันเหมือนกันเจ้าค่ะ”

ชวีเฟยชิงเข้าใจความหมายจึงรีบสั่งกับสาวใช้ที่นำทางมาเมื่อครู่ทันที “พาคุณหนูทั้งสามเข้าไปพักผ่อนให้สบายก่อน ข้ากับญาติผู้น้องจะคุยกันสักครู่”

สาวใช้ได้ยินเช่นนี้ก็ยอบกายคำนับชวีเฟยชิงกับอวิ๋นเชียนเมิ่ง จากนั้นพาอีกสามคนที่เหลือเข้าไปในเรือนฮ่วนซี

ชวีเฟยชิงพาอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินไปยังเรือนทิงอวี่ของตนเองพลางกล่าว “วันนี้ห้องครัวต้องยุ่งวุ่นกันใหญ่แน่ๆ ท่านแม่กลัวว่าอากาศไม่ดีทางนั้นจะโดนตัวน้องจึงให้วางของที่ตระเตรียมเอาไว้ในห้องครัวเล็กของเรือนทิงอวี่ของข้า แต่ว่าน้องให้เตรียมวัตถุดิบพวกนี้ไปทำไมหรือ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นป้าสะใภ้เอาใจใส่ถึงเพียงนี้ คิดแทนตนเองอย่างรอบคอบถี่ถ้วน ในใจซาบซึ้งตื้นตัน จึงไม่คิดปิดบังใดๆ กระซิบเสียงเบาข้างหูชวีเฟยชิง “ตอนเมิ่งเอ๋อร์อยู่บ้านมิได้เรียนเขียนกลอนประพันธ์เพลงมากเท่าไรนัก และมิได้เชี่ยวชาญงานฝีมือด้วย แต่ฝีมือการทำอาหารยังพอจะยกขึ้นโถงรับแขกได้ วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดหกสิบปีของท่านยาย เมิ่งเอ๋อร์ไม่มีอะไรมอบให้ได้ เพียงแค่อยากเลี้ยงอาหารสักโต๊ะให้ท่านดีอกดีใจ แต่ก็ต้องขอบคุณท่านป้าสะใภ้กับท่านพี่ที่ช่วยเหลือนะเจ้าคะ เมิ่งเอ๋อร์ถึงได้อวดฝีมือการทำอาหารเพื่อแสดงความกตัญญูได้”

 

ทางด้านเรือนชูอวิ๋น ชวีฉางชิงคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยจะโผล่พรวดเข้ามาอย่างกะทันหัน ทั้งยังแสดงท่าทางลุ่มหลงต่อหน้าฉู่เฟยหยางอีก จึงพลันรู้สึกขายหน้าอย่างยิ่ง ทำได้เพียงประสานมือขอโทษฉู่เฟยหยาง “เป็นเพราะบ่าวรับใช้ในบ้านนำทางผิดน่ะขอรับ ขอท่านอัครเสนาบดีโปรดอภัย”

ยามนี้ในดวงตาฉู่เฟยหยางค่อยๆ ปรากฏความสงบนิ่งเยือกเย็น จากนั้นเอ่ยอย่างเรียบเฉย “วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของกู่เหล่าไท่จวิน ในจวนกำลังยุ่ง เกิดเหตุผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ หาใช้เรื่องใหญ่โตอันใด เจ้าไยต้องโทษตนเองเล่า”

ชวีฉางชิงเห็นฉู่เฟยหยางไม่ใคร่ถือสานัก หัวใจที่ลอยค้างเติ่งก็ค่อยๆ วางลง รีบเบี่ยงประเด็นทันที “ท่านอัครเสนาบดี การเคลื่อนไหวของเฉินอ๋องครั้งนี้…”

ถ้อยคำยังมิทันจบก็ถูกฉู่เฟยหยางตัดบท เขายกมือขวาขึ้นเล็กน้อย ปรามมิให้ชวีฉางชิงพูดต่อไป เพียงกล่าวเรียบๆ “หนีไม่พ้นพระเนตรของฝ่าบาทหรอก พวกเราสนใจแค่รักษาชายแดนไว้ให้ดีก็พอ”

ตอนนี้ยังมิใช่โอกาสอันดีที่จะเข้าร่วมในการต่อสู้ระหว่างฮ่องเต้กับเฉินอ๋อง

เฉินอ๋องคิดว่าหากอาศัยจังหวะช่วงงานครบรอบวันเกิดของกู่เหล่าไท่จวินโยกย้ายกำลังพลส่วนหนึ่ง ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ก็จะไม่รู้

หารู้ไม่ ทุกๆ การเคลื่อนไหวของเขาล้วนอยู่ในความคาดหมายของฮ่องเต้แต่แรกแล้ว เพียงแต่ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ยังไม่อยากสนใจปลาซิวปลาสร้อยพวกนี้จึงแกล้งหลับหูหลับตาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป

ไม่ว่าคำสั่งเสียตอนฮ่องเต้ซีจิ้งตี้สวรรคตในปีนั้นจะให้ใครขึ้นครองราชย์ แต่บัดนี้อวี้เฉียนตี้เป็นฮ่องเต้ของแคว้นซีฉู่ สกุลฉู่ของพวกเขากับฮ่องเต้องค์ก่อนร่วมกันรวบรวมแผ่นดินนี้ ย่อมไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องที่จะทำให้ประชาชนตกระกำลำบากเพราะการแย่งชิงบัลลังก์ได้

ด้วยเหตุนี้หากไม่ถึงขั้นตกที่นั่งลำบาก กองทัพในมือฉู่เฟยหยางก็จะรักษาความเป็นกลางไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ จะไม่เข้าไปร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้โดยใช่เหตุ เพื่อเลี่ยงมิให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย

ชวีฉางชิงเงยหน้าขึ้นน้อยๆ เห็นผู้บัญชาการที่ตนเองติดสอยห้อยตามตั้งแต่เข้าค่ายทหารสงบเยือกเย็นเช่นนี้ หัวใจที่กระวนกระวายของเขาก็ค่อยๆ สงบลงอย่างช้าๆ

ฉู่เฟยหยางกวาดตามองเขาอย่างเฉยชาแวบหนึ่ง รู้ว่าชวีฉางชิงคงเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของจวนฝู่กั๋วกง วันนี้ถึงได้อารมณ์ร้อนอยู่บ้าง แต่หลังจบบทสนทนาของทั้งสองคนเมื่อครู่ รองแม่ทัพใต้บัญชาการของตนผู้กล้าหาญชาญศึก มีทั้งความกล้ามีทั้งมันสมองผู้นี้ก็กลับคืนสู่สภาพเดิมของเขา

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ชวีฉางชิงคิดอยู่ในใจตอนนี้มิได้มีเพียงเรื่องเฉินอ๋องเรื่องเดียว

หลังจากเขากลับมาจากด่านชายแดน ท่านแม่ก็เล่าเรื่องที่อัครเสนาบดีฉู่ช่วยอวิ๋นเชียนเมิ่งถอนหมั้นที่ท้องพระโรงในวันนั้นให้เขาฟัง ตอนนี้ชวีฉางชิงกำลังใคร่ครวญว่าควรกล่าวขอบคุณเขาหรือไม่

ทว่าพอนึกถึงว่านี่เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงอดทนอดกลั้นเอาไว้ มิได้เอ่ยวาจาใดๆ อีก

 

ธิดาของสกุลเลื่องชื่อมากมายหลายคนได้มาถึงเรือนฮ่วนซีแล้ว อวิ๋นรั่วเสวี่ยอาศัยที่ก่อนหน้านี้ตนเองออกงานแบบนี้แทนอวิ๋นเชียนเมิ่งมาไม่น้อย จึงเดินนำหน้าอวิ๋นเยียนกับอวิ๋นอี้อี้อย่างลำพองใจ ทักทายกับบรรดาคุณหนูและฮูหยินจากจวนต่างๆ อย่างเรียบร้อยพร้อมแย้มยิ้มบางๆ

อวิ๋นอี้อี้เดิมทีก็ไม่ชอบหน้าอวิ๋นรั่วเสวี่ยอยู่แล้ว เมื่อเห็นนางจงใจโอ้อวดตนเองต่อหน้าตนเช่นนี้ก็อดแค่นเสียงเย็นชาไม่ได้ ลากอวิ๋นเยียนเดินไปยังศาลาที่ไม่ค่อยมีคนเพื่อเลี่ยงมิให้เห็นหน้าอวิ๋นรั่วเสวี่ยจนหงุดหงิด

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเองก็ไม่อยากจะอยู่ร่วมกับพวกนางเช่นกัน เมื่อเห็นซูเฉี่ยนเยวี่ยกับคุณหนูหลายคนกำลังนั่งสนทนาพาทีกันอยู่ในศาลารับลม จึงเดินเข้าไปหาด้วยแววตาแฝงความชื่นชม เอ่ยเรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน “ท่านพี่”

ซูเฉี่ยนเยวี่ยฟังออกว่าเป็นเสียงของอวิ๋นรั่วเสวี่ย จึงยิ้มพลางลุกขึ้นยืนแล้วดึงนางนั่งลงด้วยกัน “เจ้ามาเสียที เมื่อสักครู่พวกเรายังพูดถึงเจ้าอยู่เลย”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นว่าทุกคนพูดถึงตนเอง ในใจก็อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ จึงเขย่าตัวซูเฉี่ยนเยวี่ยพลางกล่าวยิ้มๆ “พูดอะไรถึงข้าหรือ ท่านพี่คนดีบอกข้ามานะ”

ซูเฉี่ยนเยวี่ยจนปัญญา ได้แต่ดึงมือนางเอาไว้พลางกล่าว “พวกเราแค่บอกว่าไม่ได้พบเจ้านานแล้ว”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยได้ยินนางพูดเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อยว่าเหตุใดตนเองต้องซักไซ้จนถึงที่สุด ทั้งยังเห็นคุณหนูหลายคนที่มาร่วมงานล้วนใช้สายตาแปลกๆ มองตน จึงได้แต่หัวเราะแหยๆ กล่าวอย่างจนใจอยู่บ้าง “พี่สาวทุกท่านคงจะทราบกันดี ในบ้านข้ายังมีพี่สาวคนโตอีกคน ช่วงก่อนหน้านี้นางถูกเฉินอ๋องถอนหมั้นในท้องพระโรง อารมณ์ย่อมย่ำแย่เป็นธรรมดา คนเป็นน้องสาวอย่างข้าย่อมต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนนาง ป้องกันมิให้พี่สาวคิดสั้น”

แค่วาจาไม่กี่คำ อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็หันเหความสนใจของทุกคนไปอยู่ที่อวิ๋นเชียนเมิ่งได้

ยามนี้เห็นคุณหนูที่แต่งองค์งดงาม รูปโฉมสะสวยเหล่านั้นเผยสีหน้าใคร่รู้ออกมาทันใด พากันซักถามอวิ๋นรั่วเสวี่ย “ตกลงเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ พวกเราก็แค่ได้ยินว่าคุณหนูอวิ๋นถูกเฉินอ๋องถอนหมั้น ซ้ำยังพยายามฆ่าตัวตายที่ท้องพระโรง ไม่ทราบว่าตอนนี้พี่สาวเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ใช่น้ำตาอาบหน้าทั้งวันทั้งคืนหรือไม่”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยได้ยินดังนั้น ในใจก็พลันลำพองขึ้นหลายส่วน นางส่งสายตากับซูเฉี่ยนเยวี่ย จากนั้นจึงพูดด้วยหน้าตาแช่มชื่น “คิดดูเอาเถิด คุณหนูบ้านใดบ้างที่ถูกถอนหมั้นต่อหน้าผู้คนแล้วยังมีหน้าใช้ชีวิตอยู่ต่อได้อีก เท่าที่รู้พี่สาวข้าก็เป็นคนหัวแข็ง ทว่ากลับฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ แต่เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นับวันก็ยิ่งทำให้คนยากจะเข้าใจ”

“อ้อ ไม่ยักรู้ว่าในสายตาของน้องสาว ข้าเข้าใจยากถึงเพียงนี้” ยามนั้นเองเสียงเย็นเยือกหนาวเหน็บของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ดังขึ้นจากนอกศาลารับลม

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com