ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ
ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ
บทที่ 17 ใจคิดร้ายต่อผู้อื่นไม่ควรมี
หลายคนที่อยู่ในศาลารับลมหันหน้ากลับมาโดยพร้อมเพรียงกัน ภายใต้แสงอาทิตย์ทองอร่าม อวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่ในชุดกระโปรงสีม่วงอ่อน บนศีรษะปักไว้ด้วยปิ่นหยกม่วงสลักลายบุปผาหลายอัน สวมต่างหูสีบัวขาวซึ่งทำจากหยกชนิดเดียวกัน เปล่งประกายแพรวพราวภายใต้แสงตะวัน ชวนให้คนเห็นแล้วยากจะลืมเลือนราวกับไข่มุกกระจ่างก็ไม่ปาน
“เฉี่ยนเยวี่ยแห่งจวนสกุลซูคารวะคุณหนูอวิ๋น” ซูเฉี่ยนเยวี่ยยืนอยู่กลางศาลารับลม อาภรณ์สีฟ้าทั้งร่างขับเน้นให้นางสดใสบริสุทธิ์ประดุจดอกไป่เหอ ผิวพรรณขาวนวลหมดจดยิ่งกระจ่างใสภายใต้แสงแดดอุ่นๆ ชวนให้คนอดตกตะลึงมิได้
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่ามีคนออกหน้าแทนอวิ๋นรั่วเสวี่ยจึงอดไม่ได้ที่จะหันเหสายตาไปยังซูเฉี่ยนเยวี่ยที่กำลังยอบกายคำนับตน ยิ้มบางๆ พลางกล่าว “เชียนเมิ่งแห่งจวนอัครเสนาบดีคารวะคุณหนูซูเช่นกัน
สายตายิ้มพราวของทั้งคู่ประสานกัน ทันใดนั้นคล้ายกับจุดดอกไม้ไฟขึ้นมานับไม่ถ้วน คนนอกกลับรู้แค่ว่าคุณหนูทั้งสองจวนต่างรู้ขนบมารยาท แต่เมื่อเทียบกับอวิ๋นเชียนเมิ่งที่เคยถูกถอนหมั้น ระดับความพึงพอใจในตัวซูเฉี่ยนเยวี่ยในหมู่ฮูหยินจากแต่ละจวนจึงสูงกว่านิดหน่อยอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ติดที่เห็นแก่หน้าจวนฝู่กั๋วกงจึงมิได้แสดงออกมาชัดเจนนัก
“ทุกท่านนั่งลงเถิด อีกประเดี๋ยวงานครบรอบวันเกิดกู่เหล่าไท่จวินก็เริ่มแล้ว หลังจากนี้หากอยากนั่งก็ต้องรอครึ่งค่อนวันเลยนะเจ้าคะ” ยามนั้นเองชวีเฟยชิงซึ่งมีฐานะเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนฝู่กั๋วกงก็ก้าวออกมาคลี่คลายสถานการณ์ ดึงอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินไปยังข้างทะเลสาบเพื่อพบกับคุณหนูคนอื่นๆ ที่สนิทสนมกับตน ไม่สนใจพวกอวิ๋นรั่วเสวี่ยกับซูเฉี่ยนเยวี่ยอีก
“ชิ ทุเรศ ไม่ดูบ้างเลยว่าตนเองชื่อเสียงฉาวโฉ่แค่ไหน ยังจะกล้าชักสีหน้าใส่พี่เยวี่ยอีก ถุย!” คุณหนูใบหน้ากลมผู้หนึ่งในศาลารับลมจดจ้องแผ่นหลังของอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ห่างไกลออกไปพลางถ่มน้ำลาย จากนั้นพูดกับซูเฉี่ยนเยวี่ยอย่างเอาอกเอาใจทันที
“เตี๋ยเอ๋อร์ เสียมารยาทไม่ได้นะ! อย่างไรนางก็เป็นพี่สาวคนโตของพี่เสวี่ย เจ้าพูดเช่นนี้ หากคนพวกนั้นได้ยินเข้าอาจจะวางแผนสกปรกอะไรอีกก็ได้นะ” ซูเฉี่ยนเยวี่ยเห็นมีคนออกหน้าแทนตนจึงยิ้มพลางดึงสาวน้อยวัยยังไม่ออกเรือนผู้นั้นเข้ามาหา ปลอบประโลมอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
อวิ๋นรั่วเสวี่ยกวาดตามองสาวน้อยที่เพิ่งจะส่งเสียงเมื่อครู่ ครั้นเห็นว่านางเป็นคุณหนูของรองเจ้ากรมอาญา ส่วนบิดาซูเฉี่ยนเยวี่ยเป็นเจ้ากรมอาญา ก็รู้ว่าเหตุใดเด็กสาวผู้นี้ถึงได้ประจบเอาใจซูเฉี่ยนเยวี่ย
ซูเฉี่ยนเยวี่ยไม่คิดจะปล่อยอวิ๋นเชียนเมิ่งไป นางสบสายตากับอวิ๋นรั่วเสวี่ยแวบหนึ่ง จากนั้นประคองกันออกจากศาลารับลม เดินอย่างแช่มช้อยเสมือนมีดอกบัวผุดทุกย่างก้าวไปยังริมทะเลสาบ
“ไม่ทราบว่าพวกพี่สาวกำลังสนทนาอันใดกันอยู่หรือ ท่าทางสนุกสนานถึงเพียงนี้ มิสู้พูดออกมาดีกว่า ให้น้องได้หัวเราะสักหน่อย” ตัวยังไม่ถึง แต่เสียงมาถึงก่อน น้ำเสียงหวานจ๋อยของอวิ๋นรั่วเสวี่ยกระทบหูทุกคนที่อยู่ริมทะเลสาบ ขณะเดียวกันก็ตัดบทการสนทนาของพวกอวิ๋นเชียนเมิ่ง ทุกคนหยุดพูดและมองไปยังพวกอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่เข้ามาใกล้พวกนางอย่างเงียบๆ
“นี่ คนเขาถามพวกเจ้านะ เป็นใบ้กันหมดหรือไร!” สิงจินเตี๋ยรับไม่ได้ที่คนอื่นๆ มิได้ขานตอบ นางตวาดใส่คนหลายคนตรงหน้าทันที เสียงตะคอกนี้ดึงดูดสายตามากมายนับไม่ถ้วนขึ้นมาทันที
คุณหนูทั้งหลายที่อยู่กับชวีเฟยชิงจำได้ตั้งแต่แรกว่านี่คือบุตรสาวของรองเจ้ากรมอาญา และรู้อยู่แล้วว่าสิงจินเตี๋ยเป็นเพียงหมอนปักลาย ยามนี้ทำตัวขายขี้หน้าผู้อื่น แต่กลับไม่รู้ว่าตนเองถูกซูเฉี่ยนเยวี่ยใช้เป็นไม้ตะบอง ใบหน้าหลายคนพลันเผยรอยยิ้มออกมาทันใด ไม่มีผู้ใดแยแสนางสักคน
สิงจินเตี๋ยกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น ครั้นเห็นว่าไม่มีคนสนใจตน ในใจสิงจินเตี๋ยก็พลันเดือดดาล คิดถึงว่ายามที่ตนเองอยู่ในบ้านเป็นไข่มุกที่ทุกคนประคองไว้ในอุ้งมือ แต่ยามนี้กลับถูกคนอื่นเมินเฉยถึงเพียงนี้ โทสะท่วมท้นหัวใจทันใด โกรธจนร้องไห้ฟูมฟายเสียงดัง
พอเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น สายตาทั้งหมดจึงมองมาทางนี้ ฮูหยินและคุณหนูที่อยู่อีกด้านต่างพากันซุบซิบนินทาสิงจินเตี๋ย ท่าทางไม่ค่อยชอบใจเท่าไรนัก
อวิ๋นรั่วเสวี่ยคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้ พวกอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่เอื้อนเอ่ยวาจาก็ทำให้คนของพวกนางโกรธจนร้องไห้ได้ รู้สึกว่าคนพวกนี้รังแกผู้อื่นหนักเกินไปแล้ว จึงเอ่ยอย่างโหดร้ายเจ็บแสบ “พวกพี่สาวไยต้องรังแกเด็กน้อยอย่างจินเตี๋ยด้วย พี่ใหญ่ ดีร้ายอย่างไรท่านก็เป็นคนที่เคยหมั้นหมายมาก่อน ถึงแม้ต่อมาจะถูกถอนหมั้นต่อหน้าธารกำนัล แต่ก็เคยมีสัญญาหมั้นหมายอยู่กับตัว จะถือสาหาความกับเด็กตัวเล็กๆ ได้อย่างไร แบบนี้มิใช่แสดงให้เห็นว่าพี่ใหญ่ไม่มีความใจกว้างแม้แต่น้อยนิดหรอกหรือ”
พวกชวีเฟยชิงคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่เป็นน้องสาวของอวิ๋นเชียนเมิ่ง แม้ปกติยามอยู่ที่บ้านก็มักจะรังแกอวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่ในโอกาสสำคัญเช่นนี้ยังจะหมิ่นด่าพี่สาวอย่างกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ ในดวงตาของแต่ละคนจึงพลันปะทุด้วยเพลิงโทสะ
ทว่ายามนี้เงาร่างสีม่วงอ่อนกลับเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ เดินไปยังเบื้องหน้าทุกคน ยืนประจันหน้ากับอวิ๋นรั่วเสวี่ย ในดวงตาอวิ๋นเชียนเมิ่งประดับรอยยิ้ม ไม่เห็นโทสะแม้แต่กระผีกริ้น รอยโค้งตรงมุมปากงามสมบูรณ์แบบจนหาที่ติไม่ได้ ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้าสดใส ผิวพรรณขาวราวหิมะทั่วทั้งร่างนั้นงามงดไร้รอยราคี ยิ่งขับเน้นให้นางโดดเด่นสะดุดตาราวกับคนที่เดินออกมาจากภาพวาด ทำให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยอดตะลึงงันไม่ได้ไปชั่วขณะ
“วาจานี้ของน้องพูดผิดไปนะ แคว้นซีฉู่ส่งเสริมให้เอ็นดูผู้เยาว์เคารพผู้อาวุโส แต่คุณหนูสิงกลับพูดจาไม่มีสัมมาคารวะ หากพูดถึงความผิด คุณหนูสิงก็เป็นคนผิดก่อน ส่วนน้องสบประมาทพี่สาวเป็นความผิดลำดับที่สอง ซ้ำในถ้อยคำของเจ้าก็ไม่สนใจไยดีหน้าตาของจวนอัครเสนาบดี ทำให้ท่านพ่อเสียหน้าเป็นความผิดลำดับที่สาม น้องว่านี่คือความผิดของเจ้าหรือว่าเป็นความผิดของพี่ แน่นอน ขงจื่อ กล่าวไว้ว่าบุตรไร้การอบรมสอนสั่งถือเป็นความผิดของบิดา แต่ตอนนี้ท่านพ่อมิได้อยู่ด้วย น้องทั้งไม่ระวังคำพูดทั้งไร้คุณธรรมเช่นนี้ ข้าที่เป็นพี่สาวย่อมมีความผิดที่สั่งสอนบกพร่องจริงๆ หลังจากกลับจวนจะไปขอรับโทษกับท่านพ่อด้วยตนเอง ขอร้องให้ท่านพ่อยกโทษให้ แต่ไม่รู้ว่าน้องควรต้องทำอย่างไรถึงจะระงับเพลิงโทสะของท่านพ่อได้” แต่ละคำแต่ละประโยคของอวิ๋นเชียนเมิ่งกล่าวอย่างเนิบช้า ความเร็วในการพูดที่ไม่รีบไม่ร้อนนี้กลับทำให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยค่อยๆ หน้าขาวซีด และทำให้ซูเฉี่ยนเยวี่ยที่อยู่อีกด้านอดไม่ได้ที่จะมองอวิ๋นเชียนเมิ่งใหม่อีกครั้ง ในใจเพิ่มความหวาดระแวงและความเป็นอริต่อคุณหนูใหญ่จวนอัครเสนาบดีมากขึ้นมาอีก
“หากคุณหนูสิงยังร้องไห้ต่อไป เกรงว่าใต้เท้ารองเจ้ากรมอาญาคงเสียหน้าไม่มีเหลือเป็นแน่ ไม่รู้ว่าหลังจากงานครบรอบวันเกิดนี้สิ้นสุดลง การกระทำของเจ้าครั้งนี้จะทำให้ฮูหยินและคุณหนูที่อยู่ในงานพูดวิจารณ์กันไปอีกนานแค่ไหน” ทุกคนเห็นผู้เกี่ยวข้องอย่างอวิ๋นเชียนเมิ่งไร้ซึ่งความโกรธเกรี้ยวจึงค่อยๆ สงบจิตสงบใจลง เดิมทีวันนี้สิงจินเตี๋ยแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างเต็มยศหมายจะกลบความงามของหมู่มวลบุปผา แต่เมื่อผ่านการร้องไห้ฟูมฟายเมื่อครู่ ใบหน้าที่แต่งไว้อย่างประณีตบรรจงก็เลอะเทอะไปจนหมด นางควักกระจกเล็กๆ จากแขนเสื้อออกมาส่องดู เมื่อเห็นตนเองในกระจกดวงตาทั้งสองข้างบวมแดง เครื่องประทินโฉมเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ก็พุ่งพรวดไปหน้าประตูเรือนฮ่วนซีให้สาวใช้ตนเองแต่งหน้าเพิ่มโดยไม่ทันได้บอกลาซูเฉี่ยนเยวี่ย
ซูเฉี่ยนเยวี่ยเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งพูดแค่ทีเดียวก็ตะเพิดคนข้างกายตนไปได้ ในดวงตาก็พลันอึมครึมลง ค่อยๆ เข้าไปใกล้อวิ๋นเชียนเมิ่งโดยที่หนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงมุ่งร้าย “ไม่ว่าอย่างไรรั่วเสวี่ยก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของคุณหนูอวิ๋น ไยคุณหนูอวิ๋นต้องบีบคั้นไม่ยอมปล่อยนางด้วย ทำให้นางอับอายต่อหน้าผู้อื่นคงไม่ดีกับตัวท่านเองด้วยกระมัง!”
อวิ๋นเชียนเมิ่งสบแววตาที่เต็มไปด้วยเมฆทะมึนของซูเฉี่ยนเยวี่ย ในดวงตาทั้งเยือกเย็นมากผิดปกติทั้งแฝงด้วยความชาญฉลาดเล็กน้อย นางผลิยิ้มเอ่ยอย่างเฉยชา “ข้ากับคุณหนูซูหาได้มีความเคียดแค้นต่อกัน ไยคุณหนูซูต้องบีบคั้นกดดันข้าด้วย”
ครั้นวาจานี้โพล่งออกไป นัยน์ตาซูเฉี่ยนเยวี่ยฉายความโกรธวาบผ่านเล็กน้อย ทว่ามุมปากกลับกระเพื่อมรอยยิ้มเย็น เดินเข้าไปข้างหน้าใกล้กับอวิ๋นเชียนเมิ่งมากยิ่งขึ้น นางคิดจะเดินเฉียดผ่านไหล่อวิ๋นเชียนเมิ่งไป
ตอนนั้นเองไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ ร่างของซูเฉี่ยนเยวี่ยพลันล้มไปในทะเลสาบข้างๆ ทุกคนร้องฮือด้วยความตระหนกตกใจ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ เมื่อเห็นซูเฉี่ยนเยวี่ยกำลังจะร่วงลงไปในทะเลสาบ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ยื่นมื่อออกไปดึงชายกระโปรงอีกฝ่ายไว้ทันใด แต่การเคลื่อนไหวของซูเฉี่ยนเยวี่ยรวดเร็วเหลือเกิน มือของอวิ๋นเชียนเมิ่งคว้าได้เพียงผ้าคาดเอวสีขาวเงินที่ข้างเอวของนาง ผ้าคาดเอวผืนนั้นถูกกระชากหลุดอย่างแรงในชั่วพริบตา ในระหว่างที่ผ้าปลิวสะบัด ทุกคนก็ได้ยินเสียงคนตกน้ำดัง ‘ตูม!’
“ใครก็ได้ รีบมาช่วยคุณหนูซูเร็วๆ เข้า!” อวิ๋นเชียนเมิ่งได้สติเป็นคนแรก ตะโกนบอกไปยังพวกสาวใช้ที่กรูกันเข้ามา แต่พวกสาวใช้ต่างว่ายน้ำไม่เป็น แต่ละคนได้แต่วิ่งไปหน้าประตูเรือนฮ่วนซีเพื่อเรียกคนมาช่วยอย่างลนลาน
ในตอนนี้ บรรดาฮูหยินและคุณหนูที่ปกติมักพูดแต่ศีลธรรมจรรยาล้วนมองดูซูเฉี่ยนเยวี่ยที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำไม่หยุดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ทว่ากลับไม่มีผู้ใดยื่นมือเข้าช่วยเหลือ กลับเป็นพวกชวีเฟยชิงและอวิ๋นเชียนเมิ่งที่หักกิ่งไม้หลายกิ่งจากในแปลงดอกไม้ที่อยู่อีกด้านแล้วยื่นเข้าไปในทะเลสาบหมายจะดึงซูเฉี่ยนเยวี่ยเข้ามา แต่จนปัญญาที่อาภรณ์ของนางอมน้ำจนหนักอึ้ง ซ้ำไม้กิ่งนั้นก็เล็กบางเกินไป ประเดี๋ยวเดียวก็ถูกกระชากหัก ซูเฉี่ยนเยวี่ยถูกแรงสะท้อนกลับครั้งนี้ทำให้จมลงไปก้นทะเลสาบ
“เยวี่ยเอ๋อร์!” เสียงตะโกนอย่างร้อนรนดังขึ้นพร้อมกับเงาร่างสีขาวนวลราวจันทราถลาเข้ามาสู่ในสายตาของทุกคน ไม่ทันไรเงาร่างสีขาวนั้นก็กระโดดลงไปในน้ำ ว่ายไปยังจุดที่ซูเฉี่ยนเยวี่ยตกน้ำอย่างสุดชีวิต
“ยืนทำอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบลงไปช่วยอีก!” ชวีเฟยชิงเห็นว่าหลังบ้านตนเองเกิดเรื่อง แต่เด็กรับใช้พวกนี้กลับยืนอยู่ริมฝั่งไม่ขยับเขยื้อนจึงพานโมโห ชี้ไปยังคนทั้งสองที่อยู่ในทะเลสาบแล้วตวาดเสียงต่ำ
ทันใดนั้นเสียงคนสิบกว่าคนกระโดดลงน้ำก็ดังขึ้นทันที ครู่ใหญ่ผ่านไปถึงเห็นคนแบกซูเฉี่ยนเยวี่ยที่หมดสติขึ้นมาบนฝั่ง
“รีบพาคุณหนูซูไปที่ห้องรับรอง” จี้ซูอวี่ที่รีบมาหลังจากได้ยินเรื่องราวมองเห็นภาพฉากเช่นนี้จึงสั่งให้พวกสาวใช้นำทางให้แก่ซูเฉิงเหยียนทันที
ส่วนซูเฉิงเหยียนก็อุ้มซูเฉี่ยนเยวี่ยขึ้นจากทะเลสาบด้วยตนเอง กวาดตามองทุกคนที่อยู่โดยรอบด้วยสายตาเย็นชา แล้วจึงก้าวเท้าเร็วไวเดินตามสาวใช้จวนฝู่กั๋วกงไปยังหน้าประตูเรือนฮ่วนซี
ตอนนั้นเองสาวใช้ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน กระซิบเบาๆ ที่ข้างหูจี้ซูอวี่สองสามประโยค จี้ซูอวี่หน้าเปลี่ยนสีทันใดก่อนจะเอ่ยขึ้น “ขอให้ฮูหยินและคุณหนูทุกท่านย้ายไปยังลานด้านหน้า ฝ่าบาท ไทเฮา และฮองเฮาเสด็จเยือนจวนฝู่กั๋วกงกะทันหัน”
ได้ยินวาจาเช่นนี้ทุกคนพลันลนลานจนทำอะไรไม่ถูก ไหนเลยจะมีแก่ใจไปดูเรื่องตลกของผู้อื่น ต่างคนต่างค่อยๆ พากันยืนเรียงแถวตามลำดับขั้นขุนนางของสามี เดินไปลานด้านหน้าอย่างพินอบพิเทา
เหล่าบุรุษซึ่งเดิมทีก็อยู่ที่ลานด้านหน้าออกไปต้อนรับที่ประตูใหญ่จวนฝู่กั๋วกงกันแล้ว ส่วนบรรดาสตรียืนเรียงแถวอย่างเรียบร้อยภายใต้การนำของพวกเหล่าไท่จวิน หลังจากเหล่าบุรุษที่อยู่นอกประตูถวายบังคมเสร็จแล้ว บรรดาสตรีก็คุกเข่าถวายบังคมฮ่องเต้ ไทเฮา และฮองเฮาที่ได้รับการต้อนรับเข้ามาในประตูอย่างพร้อมเพรียง
วันนี้ฮ่องเต้เสด็จประพาสเป็นการส่วนพระองค์ เมื่อทอดพระเนตรภาพที่เข้มงวดจริงจังเช่นนี้ก็เพียงแค่รับสั่งให้ทุกคนยืนขึ้นอย่างเป็นกันเอง จากนั้นเสด็จยังเบื้องหน้ากู่เหล่าไท่จวินและเจียงเหล่าไท่จวินทันที ประคองผู้เฒ่าทั้งสองขึ้นด้วยพระองค์เอง แย้มพระสรวลและตรัสว่า “ท่านยายทั้งสองสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีหรือไม่”
กู่เหล่าไท่จวินและเจียงเหล่าไท่จวินมองหน้ากันแล้วยิ้ม กู่เหล่าไท่จวินมอบโอกาสตอบคำถามให้แก่เจียงเหล่าไท่จวิน นางยิ้มพลางตอบ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วงเพคะ พวกข้าล้วนแข็งแรงดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าฝ่าบาท ไทเฮา และฮองเฮาจะเสด็จมา เสียมารยาทยิ่งนักที่ต้อนรับได้ไม่พรั่งพร้อม ขอให้ฝ่าบาทโปรดประทานอภัยด้วย”
คำพูดนี้เจียงเหล่าไท่จวินพูดแทนกู่เหล่าไท่จวิน ทั้งสองสกุลความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่ง กู่เหล่าไท่จวินเองก็พยักหน้าให้เจียงเหล่าไท่จวิน
ฮองเฮาทรงก้าวไปข้างหน้าช้าๆ รับหยกหรูอี้คู่หนึ่งจากมือนางกำนัลแล้วมอบใส่มือกู่เหล่าไท่จวินด้วยพระองค์เอง ก่อนจะแย้มพระสรวลตรัส “นี่คือของขวัญวันเกิดที่ฝ่าบาทกับหลานสะใภ้ได้เตรียมไว้ให้เหล่าไท่จวิน ขอให้เหล่าไท่จวินสมปรารถนาทุกสิ่งอย่าง สุขเกษมตลอดกาลนาน!”
กู่เหล่าไท่จวินมองหยกหรูอี้อันหนักอึ้งในมือ รีบยอบกายคุกเข่ากราบกรานทันที ทว่าถูกฮ่องเต้และฮองเฮาพยุงเอาไว้พร้อมกัน ยามนี้ไทเฮาจึงเดินเข้ามาพลางตรัสยิ้มๆ “ท่านแม่ นี่คือน้ำใจของพวกเด็กๆ วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดอายุครบหกสิบของท่าน พวกเรามาเยือนเป็นการส่วนตัวเลยจะเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย ขอท่านแม่อย่าได้มีพิธีรีตองมากเกินไป”
ได้ยินไทเฮาตรัสเช่นนี้ กู่เหล่าไท่จวินพลันหวาดหวั่น รีบนำคนทั้งสามซึ่งมีฐานะสูงส่งและขุนนางใหญ่หลายคนไปยังเรือนรุ่ยหลินของตนทันที ส่วนขุนนางฝ่ายนอกรวมถึงบุตรหลานและภรรยาให้อยู่ที่ลานด้านหน้าเพราะจำนวนคนเยอะเกินไป
เมื่อทั้งสามคนนี้จากไป บรรยากาศในงานก็คึกคักขึ้นเล็กน้อย
พวกบุตรหลานตระกูลใหญ่ที่เดิมทีคิดจะลอบเข้าไปในเรือนฮ่วนซีเห็นว่าได้พบเจอคุณหนูที่เก็บตัวอยู่ในห้องสมดังปรารถนาจึงพากันเผยแววตายินดีปรีดา สายตาสำรวจรูปโฉมเรือนร่างของหญิงสาวที่อยู่ในงานอย่างหยาบคายเล็กน้อย พาให้บรรดาหญิงสาวจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเงียบๆ
เหล่าหญิงสาวแม้จะเกลียดชังสายตาหยาบโลนของบุรุษ ทว่าพวกนางเองก็แอบมองบุรุษที่อยู่ในงานเช่นกัน ต่างแอบเสาะหาสามีผู้เพียบพร้อมที่ตนถูกใจจากบรรดาชายหนุ่มทั้งหลาย
ในจำนวนนั้นเฉินอ๋องกับอัครเสนาบดีฉู่ซึ่งติดตามฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้มาร่วมงานต่างโดดเด่นไปคนละแบบ แม้ทั้งคู่ต้องตามฮ่องเต้เข้าไปในเรือนด้านใน แต่ก็ให้โอกาสคุณหนูทั้งหลายได้เห็นเป็นบุญตา
เฉินอ๋องนั้นเย็นชาเคร่งขรึม ส่วนอัครเสนาบดีฉู่นั้นสุภาพหล่อเหลา ทั้งสองต่างมีรูปร่างสูงเพรียว กลิ่นอายสูงศักดิ์ และฐานะที่ไม่แพ้ให้แก่กันและกัน จึงกลายเป็นจุดสนใจให้หญิงสาวในงานวิพากษ์วิจารณ์และแอบเหลือบมองไปชั่วขณะ แม้แต่พวกชวีเฟยชิงก็อดไม่ได้ที่จะมองทั้งคู่อีกหลายที
ทว่าในงานยังมีอีกบุคคลหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจ แต่กลับทำให้ผู้คนหลีกหนีด้วยความกริ่งเกรง นั่นก็คือหรงอวิ๋นเฮ่อ
เขาซึ่งมีผมสีขาวทั้งศีรษะดูแปลกแยกท่ามกลางผู้คนอย่างเห็นได้ชัด ข้างกายของเขานอกจากซื่อเอ๋อร์ซึ่งเป็นเด็กรับใช้ก็ไม่มีคนอื่นอีก แม้แต่บุรุษสูงศักดิ์เหล่านั้นก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขามากเกินไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณหนูทั้งหลายที่อยู่ในงาน แต่หรงอวิ๋นเฮ่อดูคล้ายเคยชินกับเรื่องเหล่านี้อยู่แล้วจึงมิได้รู้สึกว่าไม่เหมาะสมแต่อย่างใด เพียงแค่นั่งอยู่อีกด้านเงียบๆ สายตาสงบนิ่ง ทำให้คนดูไม่ออกว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่
ตอนนั้นเองหญิงงามวัยกลางคนผู้หนึ่งถลาออกมาจากเรือนด้านใน วิ่งตรงไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่ง มือขวาที่เงื้อสูงทำให้คนรู้ได้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ในดวงตาฉู่เฟยหยางและเฉินอ๋องฉายแววหนาวเหน็บผ่านวาบ ทั้งสองขยับร่างกายพร้อมกัน คนหนึ่งขวางอยู่เบื้องหน้าหญิงงามวัยกลางคนผู้นั้น ส่วนอีกคนบังอยู่หน้าอวิ๋นเชียนเมิ่ง ส่วนหรงอวิ๋นเฮ่อซึ่งอยู่อีกด้าน เพราะว่าอยู่ห่างออกมาค่อนข้างไกล จึงทันแค่ลุกขึ้นยืน
“ไม่เห็นหรือว่านี่คือจวนฝู่กั๋วกง เป็นที่ที่ เจ้าจะวางอำนาจบาตรใหญ่ได้อย่างนั้นหรือ” เฉินอ๋องเปล่งเสียงอย่างเย็นชาทำให้หญิงงามวัยกลางคนพลันตัวสั่นเทิ้ม คุกเข่าลงกับพื้นโดยพลัน
ฉู่เฟยหยางมองดูเฉินอ๋องที่ทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยเหลือสาวงาม ความสนใจวาบผ่านในดวงตา กล่าวเรียบเฉย “ท่านอ๋องไยต้องเกิดโทสะด้วย มิสู้ฟังวาจาของนางก่อนจะดีกว่า”
หญิงงามวัยกลางคนผู้นั้นเห็นอัครเสนาบดีฉู่พูดแทนตนจึงเงยหน้ากล่าวทันที “เรียนท่านอ๋อง อัครเสนาบดีฉู่ คุณหนูจวนอัครเสนาบดีผู้นี้รังแกคนรุนแรงยิ่ง ถึงกับผลักบุตรสาวของหม่อมฉันตกทะเลสาบ ซ้ำยังทำให้บุตรสาวของหม่อมฉันเสื่อมเสียต่อหน้าผู้คนอีก หม่อมฉันโกรธจนเลือดขึ้นหน้าไปชั่วขณะถึงได้ลืมตัวไปเจ้าค่ะ”
เจ้ากรมอาญาซูหยวนกำลังเดินเข้ามา ดวงตาที่ย้อมด้วยไอดุดันคู่นั้นพุ่งตรงมายังอวิ๋นเชียนเมิ่งทันที เขาขมวดคิ้วน้อยๆ กล่าวเสียงต่ำลึก “คุณหนูอวิ๋น พวกเราสองตระกูลก็เป็นญาติพี่น้องกัน ข้าเองก็ถือเป็นลุงของเจ้า เยวี่ยเอ๋อร์ก็เป็นญาติผู้พี่ของเจ้า ไม่รู้ว่าระหว่างเจ้ากับญาติผู้พี่เกิดเรื่องไม่พอใจอะไรขึ้น เหตุใดถึงต้องผลักนางตกน้ำด้วย เจ้าก็รู้ว่าสตรีต้องให้ความสำคัญกับศีลธรรมจรรยาเป็นที่สุด เจ้าทำร้ายเยวี่ยเอ๋อร์เช่นนี้ตกลงมีเจตนาใดกันแน่ หรือว่าได้รับคำสั่งมาจากผู้อื่น หากวันนี้เจ้าบอกชื่อคนที่บงการอยู่เบื้องหลังมา ลุงสัญญากับเจ้าว่าจะไม่พูดเรื่องฉาวโฉ่เช่นนี้ออกไปเด็ดขาด มิฉะนั้น ใครก็ได้มานี่ที!”
พูดจบซูหยวนก็เริ่มทำตัวไร้เหตุผล ตวาดเสียงดังหมายจะให้ผู้ติดตามของตนจับตัวอวิ๋นเชียนเมิ่งไป
ทว่าเสียงตวาดดังลั่นของซูหยวนมิได้ทำให้ผู้ติดตามเคลื่อนไหว แต่กลับพาให้ฉู่เฟยหยางหัวเราะเบาๆ จากนั้นคล้ายกับซูหยวนเพิ่งสังเกตเห็นเจียงมู่เฉินและฉู่เฟยหยางที่ยืนอยู่เบื้องหน้า จึงประสานมือคำนับทั้งสองอย่างประหวั่นพรั่นพรึงน้อยๆ กล่าวอย่างอ่อนน้อม “ผู้น้อยเสียมารยาทแล้ว มิได้สังเกตว่าท่านอ๋องและอัครเสนาบดีฉู่อยู่ที่นี่ ขอให้ท่านทั้งสองเห็นแก่ที่ผู้น้อยห่วงใยบุตรสาวโปรดอย่าได้ถือสา ส่วนนางสารเลวนี่ นางไม่รู้กฎระเบียบ หากพุ่งไปชนทั้งสองท่านก็ขอให้ท่านอ๋องและอัครเสนาบดีฉู่โปรดอภัย!”
เจียงมู่เฉินเย็นชาเหมือนเช่นที่ผ่านมา ดวงตาทั้งสองข้างเหลือบมองเจ้ากรมอาญาซูหยวนอย่างเยียบเย็นแวบหนึ่งแต่ไม่เอ่ยวาจาใดๆ ทว่าร่างกายยังคงขวางอยู่หน้าซูฮูหยินเหมือนเดิม
ส่วนฉู่เฟยหยางกลับยกมุมปากน้อยๆ รอยโค้งงดงามสมบูรณ์แบบทำให้คุณหนูที่อยู่ในงานแอบเทใจให้เขาทันที แต่ตัวเขากลับไม่ใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว กวาดตามองระหว่างซูหยวนกับเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง นัยน์ตาสีดำสนิทประดุจแต่งแต้มด้วยสีน้ำมันกลับแฝงด้วยเกล็ดหิมะท่ามกลางรอยแย้มยิ้ม ทำให้ซูหยวนสั่นสะท้านทั้งกายและใจเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงเอ่ยถามเบาๆ อย่างไม่ยี่หระของฉู่เฟยหยางดังขึ้นข้างหู “ใต้เท้าซูเข้มงวดกับกฎระเบียบและการอบรมสั่งสอนของครอบครัวเสียจริง และไม่ดูว่าที่นี่คือสถานที่ใด ถึงกับให้ท้ายภรรยาทำร้ายผู้อื่นที่นี่ ท่านก็รู้ว่าหากฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้เข้า จุดจบของใต้เท้าซูจะเป็นเยี่ยงไร ไม่ต้องให้ข้าเตือน ในฐานะที่ใต้เท้าซูเป็นเจ้ากรมอาญาคงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ วิธีลงโทษหนึ่งพันหนึ่งวิธีของกรมอาญานั้นน่าสนุกยิ่งนัก”
ซูหยวนรู้สึกเพียงว่าเสียงของฉู่เฟยหยางไม่ดังมาก น้ำเสียงนุ่มละมุน แต่เหตุใดเหงื่อเย็นถึงผุดซึมออกมาจากแผ่นหลังเขาเป็นชั้นๆ ยิ่งไปกว่านั้นซูหยวนร่วมงานในราชสำนักด้วยกันกับอัครเสนาบดีฉู่ย่อมรู้ถึงความเก่งกาจของฉู่เฟยหยาง ปกติใบหน้ามักจะประดับรอยยิ้ม แต่ฉู่เฟยหยางที่เข้าสู่สนามรบกลับเป็นแม่ทัพหน้าเย็น ความสามารถในการฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาแม้แต่เจ้ากรมอาญาที่ทรมานผู้กระทำผิดคดีร้ายแรงอยู่เป็นประจำอย่างตนเองเห็นแล้วยังร่างสั่นเทิ้มรุนแรง
อวิ๋นเชียนเมิ่งฉวยโอกาสนี้เอ่ยถามอย่างเฉยชา “บ้านเดิมของท่านแม่ข้าก็คือจวนฝู่กั๋วกง ท่านโหวของที่นี่ถึงจะเป็นท่านลุงที่แท้จริงของข้า ไม่ทราบว่าใต้เท้าซูแห่งจวนสกุลซูกลายเป็นลุงของข้าตั้งแต่เมื่อไร หรือว่าท่านลุงอีกสองท่านของข้าที่แยกบ้านออกไปจากจวนตั้งแต่ปีก่อนนู้นเปลี่ยนแซ่ของบรรพบุรุษหลังจากแยกตัวเป็นอิสระ ไม่ยินดีเป็นลูกหลานสกุลชวี? จุดนี้ทำให้ข้าสับสนงุนงงจริงๆ ใต้เท้าซูโปรดพูดอธิบายให้ละเอียด จะได้ให้ฮูหยินและคุณหนูที่อยู่ในงานเปิดหูเปิดตาสักครา”
ซูหยวนไม่คิดว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะไม่ไว้หน้าตนต่อหน้าผู้อื่นถึงเพียงนี้ ยิ่งกว่านั้นยังเหน็บแนมตนต่อหน้าธารกำนัล รอยยิ้มบนใบหน้าจึงหายวับไปทันใด แปรเปลี่ยนเป็นท่าทางเหี้ยมเกรียมแทน ความเกลียดชังในดวงตามากพอจะทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งตายได้แปดรอบสิบรอบ “ในเมื่อคุณหนูอวิ๋นไม่ยอมรับความสัมพันธ์ฉันลุงหลานระหว่างเจ้ากับข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าคุณหนูเหมือนกัน แต่มีอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องที่บุตรสาวข้าตกน้ำวันนี้ ข้าจะไม่ยอมเลิกราแต่โดยดีเด็ดขาด! คุณหนูอวิ๋นผลักคนตกน้ำ มีเจตนาพยายามฆ่า สมควรรับโทษประหาร! พอถึงเวลาเผชิญหน้ากับพยานและหลักฐาน ไม่รู้ว่าคุณหนูอวิ๋นยังจะแข็งกร้าวเช่นนี้อยู่หรือไม่”
ตอนนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายมีการเตรียมการเอาไว้อย่างชัดเจน ในใจพลันรู้สึกขบขัน หัวใจสงบนิ่งยิ่งนัก ทว่าจู่ๆ ก็เอ่ยปากกับคนโดยรอบด้วยเสียงดังขึ้น “วันนี้ฮูหยินและคุณหนูทุกท่าน อัครเสนาบดีฉู่ เฉินอ๋องล้วนอยู่ในงาน ขอทุกท่านเป็นประจักษ์พยานแก่เชียนเมิ่ง ข้าอยากจะเห็นนักว่าพยานและหลักฐานที่ใต้เท้าซูพูดถึงคืออะไรถึงได้มั่นอกมั่นใจเช่นนี้”
พูดจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็สาวเท้าไปข้างหน้าสองสามก้าว ไม่ต้องการการปกป้องจากฉู่เฟยหยางและเจียงมู่เฉิน นางยืนอยู่ตรงหน้าซูหยวนด้วยตนเอง นัยน์ตาที่แฝงด้วยความแน่วแน่เต็มเปี่ยมคู่นั้นจ้องตรงไปยังซูหยวน รอให้เขานำหลักฐานออกมา
ซูหยวนไหนเลยจะกลัวเด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เขายิ้มเย็นเยียบให้อวิ๋นเชียนเมิ่ง ทันใดนั้นก็หยิบหยกประดับทรงบุปผาสีม่วงชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้าง หยกประดับชิ้นนั้นใช้เส้นด้ายสีม่วงอ่อนร้อยเข้าด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นเครื่องประดับที่สตรีสวมใส่ไว้ที่ข้างเอว
สายตาของทุกคนมองไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่งทันที วันนี้นางก็สวมชุดกระโปรงสีม่วงเช่นกัน เสียงโจษจันค่อยๆ ดังขึ้นในทันใด ดูเหมือนมุ่งร้ายต่ออวิ๋นเชียนเมิ่งยิ่งนัก
ทว่าซูหยวนไม่รู้ว่าชาติที่แล้วอวิ๋นเชียนเมิ่งคือหัวหน้าหน่วยคดียาเสพติด ในสายตานางละครปาหี่เด็กน้อยพรรค์นี้เป็นเรื่องน่าขำขันเสียจริงๆ จึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมทว่ากลับยิ้มแย้มไม่พูดไม่จา ปล่อยให้ทุกคนซุบซิบนินทาแต่เจ้าตัวเอื่อยเฉื่อยสบายใจ
กลับเป็นซูหยวนที่ในดวงตาฉายแววตะลึงงันวาบผ่าน คิดไม่ถึงว่าแม้ความตายจะมาเยือนศีรษะ แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ยังเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนถึงเพียงนี้ ถึงกับใช้ความเงียบงันมาต่อกรกับตน จึงเอ่ยปากอย่างเต็มไปด้วยแววคาดคั้น “คุณหนูอวิ๋นจำหยกประดับชิ้นนี้ได้สินะ แต่ไม่ทราบว่าหยกของคุณหนูอวิ๋นถูกกำแน่นอยู่ในมือของบุตรสาวข้าได้อย่างไร ลูกสาวข้าคงจะดึงมาจากบนร่างคุณหนูตอนที่ถูกผลักลงน้ำกระมัง”
พอวาจานี้โพล่งออกมา เรือนด้านหน้าก็เสียงดังเกรียวกราว พวกฮูหยิน คุณหนู คุณชายสูงศักดิ์เหล่านั้นพากันมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่ง หวาดกลัวราวกับเห็นหญิงงามอสรพิษก็ไม่ปาน
นัยน์ตาที่เย็นชามาแต่ไหนแต่ไรของเฉินอ๋องก็กวาดมองอวิ๋นเชียนเมิ่งแวบหนึ่งเช่นกัน ส่วนฉู่เฟยหยางก็ยิ่งจับจ้องอวิ๋นเชียนเมิ่ง ในดวงตาฉายแววใคร่รู้ คงจะคาดหวังรอคำแก้ตัวต่อจากนี้ของอวิ๋นเชียนเมิ่งมากทีเดียว
อวิ๋นเชียนเมิ่งมองดูหยกประดับที่เปล่งประกายมันขลับท่ามกลางแสงอาทิตย์ชิ้นนั้น ทั้งยังเห็นท่าทางในใจมีไม้ไผ่ ของซูหยวน ทว่าไม่เอ่ยแก้ตัว กลับพูดต่อไปว่า “พยานเล่า?”
ซูหยวนผงะอึ้งเล็กน้อย ไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของอวิ๋นเชียนเมิ่งเท่าไรนัก แต่เห็นเด็กสาวตัวเล็กๆ อย่างนางยังคงปากแข็งมาจนถึงตอนนี้ กลัวว่าไม่เห็นโลงศพคงจะไม่หลั่งน้ำตา จึงจะช่วยให้ใจอยากรู้ของอวิ๋นเชียนเมิ่งได้สมปรารถนา เอ่ยเสียงก้องไปทางด้านหลัง “คุณหนูสิง เชิญออกมาเถิด”
สิงจินเตี๋ยที่เมื่อครู่วิ่งตะบึงออกไปจากเรือนฮ่วนซีเพื่อแต่งหน้าแต่งตัว ยามนี้ค่อยๆ เดินออกมาจากหลังประตูโค้งบานหนึ่งโดยที่อาภรณ์จัดแต่งเรียบร้อย แต่งหน้าวิจิตรประณีต ขณะเดียวกันปากก็ยังมิได้หยุดพัก บนใบหน้าที่มองดูอวิ๋นเชียนเมิ่งมีแต่ท่าทางราวจะกำจัดเภทภัยเพื่อราษฎร “ข้าเป็นพยานได้ อวิ๋นเชียนเมิ่งผลักพี่เยวี่ยร่วงตกน้ำจริงๆ ฮูหยินทุกท่าน พวกท่านถูกอวิ๋นเชียนเมิ่งหลอกแล้ว สตรีผู้นี้โหดเหี้ยมอำมหิต แค่พูดคุยกับพี่เยวี่ยไม่ถูกคอกันก็เกิดความริษยา จ้องหาโอกาสทำร้ายชีวิตผู้อื่น จิตใจของนางชั่วร้ายถึงเพียงนี้ ทำให้ลูกผู้หญิงอย่างข้ารู้สึกหวาดกลัวจริงๆ”
อวิ๋นเชียนเมิ่งมองดูสิงจินเตี๋ยที่เก่งในทางชอบทำให้เสียเรื่องปรากฏตัวออกมา รู้สึกเพียงว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นแค่ละครฉากหนึ่ง พร้อมทั้งเห็นว่าหากซูหยวนกำจัดตนไปไม่ได้คงจะไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี จึงไม่อ่อนข้อให้อีกต่อไป ยิ้มเย็นพลางมองไปทางสิงจินเตี๋ย เอ่ยถามกลับ “ตอนที่คุณหนูซูตกน้ำ คุณหนูสิงก็ไม่ได้อยู่ที่เรือนฮ่วนซีแล้ว หรือว่าคุณหนูสิงมีตาทิพย์หูทิพย์หรืออย่างไร ถึงได้ยินบทสนทนาระหว่างข้ากับคุณหนูซูได้ อีกทั้งยังมองเห็นรายละเอียดตอนคุณหนูซูตกน้ำได้ด้วย ข้าไม่ยักรู้ว่าแคว้นซีฉู่ของพวกเราได้ให้กำเนิดอัจฉริยบุคคลอย่างคุณหนูสิงเช่นนี้ หากพาไปออกทัพจับศึก แคว้นซีฉู่ของพวกเราคงจะไม่มีทางปราชัยเป็นแน่”
คำกระทบกระเทียบเสียดสียกหนึ่งทำให้ใบหน้าเล็กๆ ภายใต้เครื่องประทินโฉมของสิงจินเตี๋ยตบะแตกไปตั้งนานแล้ว ใบหน้าทั้งดวงดุร้ายขึ้นมาทันใด กระทืบเท้าเร่าๆ ชี้ไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งพร้อมก่นด่า “อวิ๋นเชียนเมิ่ง! ทั้งๆ ที่เป็นเจ้าลงมือทำร้ายผู้อื่นอย่างโหดเหี้ยม แต่ตอนนี้กลับเล่นแง่ไม่ยอมรับผิด ใช้วิธีการต่ำทรามของคนถ่อยพรรค์นี้ เสียทีที่เจ้ายังเป็นคุณหนูใหญ่จวนอัครเสนาบดี เสียทีที่มารดาของเจ้าเป็นคุณหนูจวนฝู่กั๋วกง ช่างชวนให้คนพานดูถูกไปถึงบ้านเดิมของมารดาเจ้าจริงๆ!”
ไม่รู้ว่าสิงจินเตี๋ยพอถูกดูแคลนแล้วสมองช้าลงหรืออย่างไร ตอนเอ่ยวาจาไม่รู้จักกาลเทศะเลยแม้แต่นิดเดียว สักแต่จะชี้หน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งด่าจวนฝู่กั๋วกง ทันใดนั้นทุกคนพลันเก็บสายตามองดูละครสนุกๆ ค่อยๆ พากันถอยหลังสองสามก้าวเพื่อมิให้กลายเป็นปลาที่ติดร่างแห
ครั้นวาจาสิงจินเตี๋ยโพล่งออกจากปาก ซูหยวนก็ร้องในใจว่าแย่แล้ว
แม้ว่าสกุลซูกับจวนฝู่กั๋วกงไม่ได้ญาติดีกันเท่าไรเหตุเพราะบุตรสาวทั้งสอง แต่หลายปีมานี้ล้วนพยายามฉีกหนังหน้าบางๆ นั้นออก วันนี้พอถูกสิงจินเตี๋ยปั่นป่วน เกรงว่าเรื่องแก่งแย่งชิงดีระหว่างคุณหนูจะยกระดับกลายเป็นปัญหาระหว่างสองจวน และเมื่อดูจากที่วันนี้ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้เสด็จมาอวยพรวันเกิดที่จวนฝู่กั๋วกงด้วยพระองค์เอง นี่หมายความว่าจวนฝู่กั๋วกงได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ไม่ใช่ผู้ที่สกุลซูเล็กๆ จะสามารถวิ่งเข้าปะทะใส่ได้จริงๆ
พอคิดเช่นนี้ท่าทางวางโตของซูหยวนเมื่อครู่ก็ค่อยๆ ลดเลือนลงเล็กน้อย ในดวงตามองไปทางเฉินอ๋องอย่างแฝงความพะวง ทว่าอีกฝ่ายท่าทีเรียบเฉยเยือกเย็นมาโดยตลอด ทำให้เขาคาดเดาความคิดของเฉินอ๋องไม่ออก
ทว่าวาจาของสิงจินเตี๋ยกลับทิ่มแทงเข้าที่หัวใจของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ความเจ็บปวดที่มาโดยกะทันหันเช่นนี้ราวกับซึมลึกเข้าสู่ไขกระดูก เป็นความเจ็บปวดที่แค่ถูกคนพูดสะกิดเข้าเพียงเล็กน้อยก็จะท่วมท้นอย่างไร้ขีดจำกัด
อวิ๋นเชียนเมิ่งย่อมรู้ดีว่านี่เป็นความคิดคะนึงและความเคารพรักซึ่งมีต่อมารดาที่เจ้าของร่างคนก่อนหลงเหลือเอาไว้ในร่างกาย เก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกของหัวใจ แต่วันนี้ เพราะเรื่องของตนกลับทำให้อวิ๋นฮูหยินที่เสียชีวิตไปแล้วถูกหมิ่นเกียรติเช่นนี้จึงพาให้อวิ๋นเชียนเมิ่งโทสะท่วมท้นหัวใจทันที บรรยากาศอ่อนโยนที่เดิมทีรายล้อมรอบกายถูกทำลายลงโดยพลัน ความเย็นเยียบหนาวเหน็บเสียดกระดูกพุ่งตรงออกมาปะทะเข้าใส่สิงจินเตี๋ยที่อยู่ตรงหน้า อีกทั้งเสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่งตอนนี้ก็ราวกับแฝงเกล็ดน้ำแข็งเจือหิมะ เย็นเฉียบยิ่งนัก
“คุณหนูสิงเกิดในตระกูลที่มีขนบมารยาท ย่อมรู้จักการเคารพมารดาผู้อื่น ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแม้จะไม่ได้ประสูติแต่ไทเฮา ทว่ากลับทรงเคารพมีมารยาทต่อไทเฮา ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีของบุตรกตัญญู แต่คุณหนูสิงมีครบทั้งบิดามารดา ชาติกระกูลดีงาม แต่กลับไม่เข้าใจหลักการนี้ ตกลงว่าเป็นเพราะการอบรมสั่งสอนของที่บ้านคุณหนูสิงไม่เข้มงวด หรือว่าเดิมคุณหนูสิงก็เป็นคนยโสโอหังอยู่แล้ว แม้แต่ผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วก็ยังไม่เคารพเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นทุกท่านที่อยู่ในงานคงจะเข้าใจกระจ่าง รองเจ้ากรมสิงบิดาของคุณหนูสิงเป็นผู้ใต้บัญชาของใต้เท้าซู ใต้เท้าซูหาคนผู้นี้มาเป็นพยาน ในใจจะมีความยุติธรรมให้พูดถึงได้แม้แต่เพียงนิดอย่างนั้นหรือ หรือไม่กลัวว่าผู้อื่นจะคิดว่าใต้เท้าซูสมคบคิดหาประโยชน์ส่วนตน มีเจตนาวางแผนก่อกบฏ”
วาจาที่อวิ๋นเชียนเมิ่งพูดกังวานมีพลัง แต่ก็แฝงด้วยความน้อยอกน้อยใจและเข้มแข็งเล็กน้อย โดยเฉพาะยามพูดถึงชวีรั่วหลีที่เสียชีวิตไปแล้ว ทั่วทั้งร่างยิ่งถูกปกคลุมด้วยความโศกศัลย์ พลันทำให้ฮูหยินและคุณหนูเหล่านั้นนึกถึงชาติกำเนิดอันน่าเวทนาของนาง ค่อยๆ พากันใช้สายตาตำหนิติเตียนจ้องไปยังสิงจินเตี๋ย ส่วนบรรดาบุรุษหนุ่มที่อยู่อีกด้านก็ยิ่งส่งเสียงให้กำลังใจ
สิงจินเตี๋ยเคยเห็นภาพสถานการณ์เช่นนี้เสียที่ไหนกัน ทุกคนอยากจะแล่เนื้อเถือหนังนางทั้งเป็นใจจะขาด ทำให้นางตกใจเสียขวัญจนนั่งแปะลงกับพื้น สองขาเตะมั่วซั่ว สองมือตบตีซี้ซั้ว สุดท้ายก็ร้องไห้เสียงดังขึ้น
เมื่อครู่อวิ๋นเชียนเมิ่งเพิ่งจะโยนเหาใส่หัวเขาและทำให้ซูหยวนหน้าซีดเผือดเช่นเดียวกัน ทำได้เพียงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ยกหยกประดับในมือขึ้นสูง เดินวนรอบลานด้านหน้าหนึ่งรอบให้ทุกคนเห็นรูปร่างของหยกประดับในมือเขาชัดๆ แล้วจึงกลับมายืนหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยซักถาม “ขอให้คุณหนูอวิ๋นพูดเรื่องหยกประดับนี้ดีกว่า ข้าคิดว่าบุตรสาวของข้าคงไม่หยิบของติดตัวคุณหนูอวิ๋นไปโดยไม่มีสาเหตุกระมัง ถ้าหากตอนนี้คุณหนูอวิ๋นยอมรับผิด ข้าก็จะให้แล้วกันไป มิเช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าขอตัดญาติขาดมิตรกัน”
ยามนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งโกรธถึงขีดสุดจนกลับกลายเป็นแย้มยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มแผ่ไปไม่ถึงก้นบึ้งของดวงตา นัยน์ตาที่แฝงด้วยเกล็ดน้ำแข็งคู่นั้นมองซูหยวนอย่างเยียบเย็น กล่าวอย่างแจ่มแจ้งกระจ่างชัด “ใต้เท้าซูเป็นเจ้ากรมอาญาของราชสำนักจริงๆ หรือไม่ อาศัยแค่หยกชิ้นเดียวก็ตัดสินว่าข้าเป็นฆาตกรได้ หากเป็นเช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นข้าก็ขอถกเหตุผลกับใต้เท้าอย่างชัดๆ สักครา ข้อหนึ่ง วันนี้เป็นงานครบรอบวันเกิดของกู่เหล่าไท่จวิน จวนฝู่กั๋วกงผู้คนไปมาขวักไขว่ คุณหนูและฮูหยินทุกท่านล้วนแต่งกายออกงานอย่างเลิศหรูอลังการ หากหนึ่งในนั้นไม่ระวังเผลอทำเครื่องประดับหรือผ้าเช็ดหน้าอะไรร่วงหล่นยามเดินเหินก็เป็นเรื่องที่พบเห็นกันได้ทั่วไป ข้อสอง นี่ก็เป็นเรื่องที่ฮูหยินและคุณหนูทุกท่านล้วนเห็นกันทั่ว ตอนคุณหนูซูตกน้ำ เชียนเมิ่งก็พยายามช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง ยิ่งกว่านั้นยังคิดจะคว้าตัวคุณหนูซูเอาไว้ไม่ให้ตกน้ำ ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน เชียนเมิ่งเองก็ไม่ระวังคว้าผ้าคาดเอวของคุณหนูซูจนหลุด ในทางกลับกัน เพื่อเอาชีวิตรอดคุณหนูซูย่อมคว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวนางที่สุดเอาไว้ เช่นสิ่งของบางอย่างบนตัวข้า นี่ก็เป็นสิ่งที่มีเหตุมีผลสามารถตรวจสอบได้ ข้อสาม ใต้เท้าซูมีฐานะเป็นขุนนางฝ่ายนอกย่อมไม่สามารถเข้าไปยังเรือนฮ่วนซีที่สตรีพักได้ แต่ท่านกลับไม่สืบหาข้อเท็จจริง อาศัยแค่ฟังคำพูดเรื่อยเปื่อยก็ตัดสินว่าเชียนเมิ่งเป็นฆาตกร ช่างชวนให้คนเสียขวัญโดยแท้ ภายภาคหน้าหากคนสกุลซูมีเภทภัยยังจะมีใครกล้ายื่นมือช่วยเหลืออีกเล่า คิดว่าผู้อื่นล้วนไม่กลัวใต้เท้าซูแว้งกัดอย่างนั้นหรือ ข้อสี่ ใต้เท้าซูเพิ่งจะพูดว่าจะไว้หน้าไม่ป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป แต่ที่นี่ยามนี้มีคนยืนอยู่มากมาย เชียนเมิ่งอดทนแล้วอดทนอีกไม่อยากจะทำให้ชื่อเสียงของคุณหนูซูเสียหาย แต่ใต้เท้าซูกลับทำให้เรื่องนี้วุ่นวายใหญ่โต ท่านพูดกลับไปกลับมาเช่นนี้ศักดิ์ศรีของขุนนางอยู่ที่ใด ไม่จำเป็นต้องให้เชียนเมิ่งอธิบายกระมัง”
ซูหยวนเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งบีบจนตนหมดหนทางเช่นนี้จึงรู้สึกอับอายขายหน้าจนหมดสิ้น เท้าข้างหนึ่งของเขาเตะลงบนหลังซูฮูหยิน ดุด่าอย่างโกรธเกรี้ยว “นังสารเลว ไม่สอบถามเรื่องราวให้กระจ่างก็ใส่ร้ายผู้อื่น เจ้าจะให้น้องสาวยืนอยู่ในจวนอัครเสนาบดีต่อไปได้อย่างไร”
ซูฮูหยินถูกสามีของตนปฏิบัติเช่นนี้จึงตกใจจนขวัญกระเจิง หมอบคลานกับพื้นพยายามขอร้องวิงวอน แต่ต่อให้ตอนนี้นางน่าสงสารแค่ไหนก็ไม่มีผู้ใดสงสาร
ยามนี้เองในเรือนด้านในกลับมีคนผู้หนึ่งเดินออกมา ท่านโหวแห่งจวนฝู่กั๋วกงชวีหลิงเอ้าที่ทั่วร่างกำจายกลิ่นอายสูงศักดิ์เดินออกมา เมื่อเขาเห็นหลานสาวที่ไม่ได้พบกันมานาน นัยน์ตาซื่อตรงคู่นั้นก็ปรากฏรอยยิ้มบางๆ กล่าวเสียงนุ่มนวล “ให้เมิ่งเอ๋อร์ต้องคับข้องหมองใจแล้ว ฝ่าบาทกับไทเฮาทรงรับสั่งเรียกเจ้าเข้าไปแน่ะ”
“ฮ่องเต้น้อยก็มาหรือ? ท่านโหว ขอประทานโทษจริงๆ ท่านอ๋องเช่นข้ามาสายแล้ว” ยามนี้ชายชราอายุราวๆ หกสิบปีผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาจากประตูใหญ่ของจวนฝู่กั๋วกง เขาสวมชุดชินอ๋องสีม่วงอมแดง ทั้งยังเรียกตนเองว่า ‘ท่านอ๋อง’ ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งสนใจใคร่รู้ฐานะของเขาขึ้นมาทันใด
“ผู้น้อยคารวะฉู่อ๋องขอรับ ท่านอ๋องมาเยือนก็ถือเป็นเกียรติแก่จวนฝู่กั๋วกงยิ่ง เรียกว่ามาสายที่ไหนกันขอรับ” ชวีหลิงเอ้าจำผู้ที่มาใหม่ได้ ใบหน้าพลันประดับรอยยิ้มจริงใจพร้อมเข้าไปต้อนรับ เขาซึ่งมีฐานะเป็นถึงโหวกลับค้อมประสานมือคำนับชายชราที่เพิ่งเดินเข้ามาเมื่อครู่
ทุกคนได้ยินคำเตือนสติของชวีหลิงเอ้า พร้อมกันนั้นเห็นชวีหลิงเอ้าต้อนรับคนผู้นี้อย่างให้เกียรติถึงเพียงนี้ ในใจก็พลันตะลึงพรึงเพริด ทุกคนล้วนคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เห็นมังกรเทพเห็นเศียรไม่เห็นหางอย่างฉู่อ๋อง จึงพากันทำความเคารพอย่างนอบน้อมตามชวีหลิงเอ้า “คารวะท่านอ๋อง ขอให้ท่านอ๋องอายุยืนหมื่นปีหมื่นๆ ปี!”
ครั้นฉู่อ๋องผู้นั้นได้ยินได้เห็นทุกคนคำนับแสดงความเคารพก็หัวเราะฮ่าๆ กล่าวอย่างเบิกบาน “ทุกคนไม่ต้องเกรงอกเกรงใจถึงเพียงนี้หรอก ข้ามาวันนี้ก็แค่อยากขอดื่มสุรามงคลของเหล่าไท่จวินสักจอก”
พูดจบนัยน์ตาที่แฝงประกายระยิบระยับของฉู่อ๋องคู่นั้นก็กวาดมองฉู่เฟยหยางที่อยู่อีกด้านอย่างเฉยชา แต่นอกจากเศษเสี้ยวแววประหลาดใจที่ได้เห็นฉู่อ๋องในทีแรกแล้ว ตอนนี้ฉู่เฟยหยางก็กลับคืนสู่ท่าทีเมื่อครู่
“เช่นนั้นก็ขอเชิญท่านอ๋องตามผู้น้อยเข้าไป หากท่านแม่เห็นท่านมาอวยพรวันเกิดจะต้องดีใจมากแน่ๆ ขอรับ” ชวีหลิงเอ้าส่งสายตาให้อวิ๋นเชียนเมิ่งให้นางรีบตามตนเองมา จากนั้นจึงต้อนรับฉู่อ๋องไปยังเรือนรุ่ยหลินอย่างอ่อนน้อม
ฉู่เฟยหยางเห็นฉู่อ๋องเข้าไปยังเรือนด้านในของจวนฝู่กั๋วกงทั้งอย่างนี้ ในใจก็ไม่วางใจอยู่บ้าง จึงขยับกายตามเข้าไป
ยามนี้เจียงมู่เฉินยิ่งทนดูฉู่เฟยหยางกับอวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่ด้วยกันตามลำพังไม่ได้ เหลือบตามองซูหยวนที่ทำตัวขายหน้าอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วเดินไปเรือนด้านในโดยไม่พูดไม่จา
“เจ้าหลิง จวนฝู่กั๋วกงของพวกเจ้านี่มีชีวิตชีวาดีจริงๆ ไหนเลยจะเปล่าเปลี่ยววังเวงเหมือนจวนฉู่อ๋องของข้า แม้แต่เงาสตรีสักคนยังไม่มี” ตลอดทางที่เดินมา บ่าวรับใช้รูปร่างเจ้าเนื้อเหมือนหยางอวี้หวนหรือผอมเพรียวอย่างเจ้าเฟยเยี่ยน มีให้ฉู่อ๋องมองดูจนพูดไม่หยุด หางตายังไม่ลืมที่จะแอบเหลือบมองฉู่เฟยหยางที่อยู่ด้านหลัง
ทว่าสายตาของฉู่เฟยหยางกลับอยู่บนร่างอวิ๋นเชียนเมิ่ง ในดวงตามีแต่แววสืบเสาะอย่างลึกล้ำ
ชวีหลิงเอ้าได้ยินเช่นนั้นจึงพลันเหงื่อตกเล็กน้อย ไม่รู้ว่าวันนี้ฉู่อ๋องมาเยือนมีธุระสำคัญอันใด เห็นเขาสบายอารมณ์เช่นนี้กลับทำให้ชวีหลิงเอ้าไม่รู้ว่าควรจะต่อคำอย่างไร
“ฉู่อ๋องยิ่งแก่ยิ่งแข็งแรง หากคิดว่าจวนอ๋องไม่มีชีวิตชีวาก็รับบ่าวสาวงดงามสักหลายคนก็ได้ ทั้งเสริมความมีชีวิตชีวา ทั้งยังสืบทอดลูกหลานได้อีกด้วย” สายตาหลบๆ ซ่อนๆ ของฉู่อ๋องไหนเลยจะรอดพ้นดวงตาของฉู่เฟยหยาง ยามได้ยินฉู่อ๋องเอ่ยเรื่องนี้ออกมาภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน ฉู่เฟยหยางก็โต้กลับอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ
ฉู่อ๋องคล้ายกับไม่ได้ยินคำเสียดสีเหน็บแนมของฉู่เฟยหยาง ดวงตายิ้มหรี่ทั้งสองข้างมองไปบนร่างอวิ๋นเชียนเมิ่งซึ่งเดินตามอยู่อีกด้านทันที รู้สึกเพียงว่าแม่นางน้อยยิ่งมองใกล้ๆ ก็ยิ่งสะสวยเรียบร้อย กลิ่นอายสุขุมฉลาดเฉลียวบนร่างยิ่งทำให้ฉู่อ๋องพึงพอใจยิ่ง จึงดึงชวีหลิงเอ้าที่ขวางกลางระหว่างทั้งสองออกมา ขยับเข้าไปข้างกายอวิ๋นเชียนเมิ่ง ถามเสียงเบา “ยายหนู เจ้าหมั้นหมายกับผู้ใดไว้แล้วหรือไม่”
ตั้งแต่อวิ๋นเชียนเมิ่งมาที่ยุคโบราณก็ยังไม่เคยพบเจอคนที่เปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งเห็นว่าฉู่อ๋องผู้นี้แม้จะมีฐานะสูงส่งแต่กลับเรียบง่ายเป็นมิตร โดยเฉพาะนัยน์ตาวาววับเป็นประกายคู่นั้นมีเพียงรอยยิ้มไร้ซึ่งแผนร้ายใดๆ จึงตอบกลับไปเบาๆ “เรียนท่านอ๋อง ยังเจ้าค่ะ”
ฉู่อ๋องคล้ายกับพึงพอในใจคำตอบของอวิ๋นเชียนเมิ่งมากจึงพยักหน้าติดๆ กัน พูดคำว่า ‘ดี’ ติดๆ กันสามคำ หลังจากนั้นก็ดึงชวีหลิงเอ้าที่ถูกเขาเบียดไปอยู่อีกด้านเดินไปข้างหน้า เอ่ยถามเสียงก้อง “ท่านโหว ฐานะวงศ์ตระกูลของจวนอ๋องข้าไม่ถือว่าต่ำต้อยกระมัง”
ทีแรกชวีหลิงเอ้าคิดว่าฉู่อ๋องเพียงแค่ถามไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น แต่พอยามนี้เห็นในดวงตาอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความเอาจริงเอาจัง หัวใจทั้งดวงพลันชะงักค้าง คิดได้ว่าปีนี้ฉู่อ๋องอายุเกินหกสิบแล้ว แต่เมิ่งเอ๋อร์เพิ่งจะถึงวัยออกเรือน ในใจแอบร่ำร้องว่าแย่แล้วทันที
ฉู่เฟยหยางที่อยู่อีกด้านกลับมุ่นหัวคิ้วเบาๆ ส่วนเฉินอ๋องยิ่งมองอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยแววตาซับซ้อนมากกว่าเดิม