ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ – หน้า 19 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ

ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ

บทที่ 18 เผยเสน่ห์ปลายจวัก

 ทุกคนเดินตามอยู่ด้านหลังฉู่อ๋องและชวีหลิงเอ้า ไม่ต้องใช้เกี้ยวก็เดินจากลานด้านหน้ามาถึงเรือนรุ่ยหลินของกู่เหล่าไท่จวิน แต่ยามที่ชวีหลิงเอ้าจะนำฉู่อ๋องเดินเข้าไปในห้องหลักของเรือนรุ่ยหลินนั้นจู่ๆ ฉู่อ๋องก็ผ่อนฝีเท้าลง ช่วงเอวที่เมื่อครู่ยังยืดตรงพลันงุ้มค่อมเล็กน้อย ยิ่งกว่านั้นเขายังไอเสียงดังใส่ทางตำแหน่งของห้องอุ่นสองสามคำรบ เสียงที่แลดูไร้เรี่ยวแรงเล็กน้อยค่อยๆ พูดกับชวีหลิงเอ้าว่า “แก่แล้ว ใช้การไม่ได้แล้ว เพิ่งเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็หอบจนกลายเป็นแบบนี้ สุดท้ายก็ยังสู้คนหนุ่มคนสาวอย่างพวกเจ้าไม่ได้จริงๆ”

ชวีหลิงเอ้าเห็นฉู่อ๋องพูดเช่นนี้ ในใจจึงรู้สึกขบขัน แต่ใบหน้ายังคงเคารพนอบน้อมเช่นเดิม เขาพูดตามวาจาของฉู่อ๋องต่อไปว่า “ท่านอ๋องน่ะยิ่งแก่ยิ่งแข็งแรง นึกถึงเมื่อปีนั้นที่ท่านอ๋องกับอดีตฮ่องเต้กรีธาทัพออกรบ ชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกล คนรุ่นหลังเล่าขานกันมาจนถึงทุกวันนี้และยังเคารพเลื่อมใสท่านอ๋องอย่างสุดแสน หากไม่มีพวกท่านอ๋องหลั่งเลือดกรำศึก คนรุ่นหลังไหนเลยจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขเช่นนี้ได้”

ฉู่อ๋องเห็นชวีหลิงเอ้าพูดจากใจจริงอย่างน่าฟังยิ่งจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ แต่กลับไม่เปลี่ยนท่าทางเดินเหินไม่ค่อยสะดวกที่ทำอยู่ในตอนนี้ หลังจากนั้นก็ไออีกสองสามคำรบ ชี้ไปที่ห้องหลักพลางเอ่ยปาก “พวกเรารีบเข้าไปกันเถิด อย่าให้ฝ่าบาทกับเหล่าไท่จวินรอนาน”

ชวีหลิงเอ้าพยักหน้าทันที ประคองฉู่อ๋องเข้าไปในห้องหลักด้วยตนเอง ถึงแม้คนอื่นๆ จะเข้าไปในห้องหลักแล้ว แต่ก็มิได้เข้าไปในห้องอุ่นเพราะยังไม่ได้ถูกเรียก จึงรอคอยอยู่ด้านนอก

เสียงไอของฉู่อ๋องเมื่อครู่ดังเข้าไปถึงห้องอุ่นตั้งแต่แรกแล้ว ทุกคนที่อยู่ด้านในล้วนรอคอยการมาถึงของเขา ยิ่งกว่านั้นฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ยังรับสั่งให้คนเตรียมที่นั่งเบาะนุ่มรออยู่อีกด้าน

“กระหม่อม…แค่กๆ…กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท…แค่กๆ…” พอเข้ามาในห้องอุ่นฉู่อ๋องก็รีบคุกเข่าถวายบังคมอวี้เฉียนตี้ แต่ยามนี้เสียงไอของเขากลับรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก กว่าจะพูดจบประโยคหนึ่งต้องหยุดพักอยู่หลายครั้ง อีกทั้งเสียงหอบระหว่างพูดยังรุนแรงยิ่ง คล้ายกับหายใจหายคอไม่ค่อยทัน

ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้เห็นฉู่อ๋องต้องการจะทำความเคารพตนอย่างงกๆ เงิ่นๆ จึงเสด็จลงมาจากที่นั่งตำแหน่งประธานทันที ทรงประคองฉู่อ๋องที่ย่อตัวลงครึ่งหนึ่งขึ้นด้วยพระองค์เอง ตรัสอย่างสัตย์ซื่อจริงใจ “ฉู่อ๋องไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรอก ตอนอดีตฮ่องเต้ยังมีพระชนม์ชีพก็ทรงอนุญาตให้เจ้ามิต้องคุกเข่าถวายบังคม พอมาถึงเราจะสั่งให้เจ้าคุกเข่าคารวะได้ที่ไหนกัน หนำซ้ำฉู่อ๋องยังไอรุนแรงถึงเพียงนี้ ไม่สบายใช่หรือไม่ ต้องการให้เราเรียกหมอหลวงมาตรวจรักษาหรือไม่”

ฉู่อ๋องถูกพยุงไว้จึงไม่อาจถวายบังคม แต่จารีตระหว่างกษัตริย์และขุนนางไม่อาจละทิ้ง เขาจึงส่ายหน้า ยืนกรานจะคุกเข่าลง พอถวายบังคมโดยเสร็จสิ้นสมบูรณ์จึงถูกชวีหลิงเอ้าประคองขึ้นยืนอีกครั้ง จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างพึงพอใจและซาบซึ้ง “ขอบพระทัย…ฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม…กระหม่อมอายุมากแล้ว…เมื่อก่อนตอนกรำศึกอยู่ในสนามรบก็ได้รับบาดเจ็บ…ถึงแม้ตอนนี้วสันตฤดูอบอุ่นบุปผาบานสะพรั่ง…แต่สุดท้ายก็ยังคงหนาวเหน็บอยู่บ้าง…โรคเรื้อรังเหล่านี้ยืดเยื้อมาตั้งแต่เหมันตฤดู…ล้วนเป็นโรคคนแก่ทั้งนั้น…ลำบากฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วง”

พูดจบฉู่อ๋องก็เริ่มไอขึ้นมาอีก มือซ้ายของเขาควักผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมสีเทาฝุ่นผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้ออย่างสั่นเทา มองทุกคนแวบหนึ่งด้วยสายตาขออภัยเล็กน้อย จากนั้นปิดริมฝีปากทั้งสองแล้วไอขึ้นมาอย่างรุนแรง

“ฉู่อ๋องไม่เป็นไรจริงๆ หรือ ข้าคิดว่าเรียกหมอหลวงมาตรวจชีพจรหน่อยดีกว่า เช่นนี้ฝ่าบาทกับข้าจะได้วางใจ อย่างไรฉู่อ๋องก็มีความดีความชอบจากการศึก ตรากตำสร้างคุณูปการใหญ่หลวงเพื่อแคว้นซีฉู่ พวกเราจะปล่อยให้ขุนนางผู้มีคุณูปการต่อแผ่นดินเจ็บป่วยแต่ไม่รักษาได้เยี่ยงไร” ไทเฮาทอดพระเนตรเห็นฉู่อ๋องไอจนทั้งหน้าแดงเถือกจึงตรัสด้วยความพะวงพระทัยทันที

ทว่านางไม่เอ่ยเสียยังดีกว่า พอพูดจบฉู่อ๋องก็ลุกขึ้นยืนจากที่นั่งเบาะนุ่มอีกครั้ง ประสานมือคำนับด้วยสองมือสั่นเทา เคราขาวเหนือริมฝีปากสั่นระริก กล่าวว่า “กระหม่อมขอบพระทัยในความหวังดีของไทเฮา…เพียงแต่…นี่ล้วนเป็นโรคเรื้อรัง…ไม่หนักหนาสาหัส…ไม่ต้องรบกวนหมอหลวงในวังดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

พูดจบฉู่อ๋องก็หันไปทางกู่เหล่าไท่จวินผู้เป็นเจ้าของวันเกิดในวันนี้ กล่าวอวยพรจากใจจริง “น้องกู่เอ๋ย…พวกเราเองก็มิได้พบหน้ากันมาหลายปี…วันนี้เป็นวันดีของเจ้า…พี่ฉู่อย่างข้าคนนี้ก็อยากมาขอดื่มเหล้ามงคลที่จวนเจ้า…น้องสาวโปรดอย่าได้ถือสา”

กู่เหล่าไท่จวินจะถือสาได้อย่างไร พอคิดถึงเมื่อครั้งอดีตฮ่องเต้ยกทัพพิชิตใต้หล้า จวนฝู่กั๋วกงก็คอยติดตามอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ จึงมีมิตรไมตรีกับฉู่อ๋องอยู่หลายส่วน

ทว่าหลังจากเสร็จสิ้นเรื่องครั้งนั้นฉู่อ๋องก็ไม่มีความสนใจในงานราชกิจอีกต่อไป แต่กลับตั้งอกตั้งใจทำตัวเป็นท่านอ๋องผู้ว่างงาน วันๆ เอาแต่ปิดประตูไม่รับแขกและค่อยๆ ห่างเหินกับตระกูลใหญ่ทั้งหลายในเมืองหลวง

วันนี้เขาสามารถมาอวยพรวันเกิดได้ ในใจกู่เหล่าไท่จวินย่อมยินดีปรีดายิ่งนัก

เมื่อเห็นว่าบัดนี้ฉู่อ๋องถูกโรคเก่ารุมเร้ากายา ในใจของกู่เหล่าไท่จวินก็รู้สึกอาดูรเล็กน้อย พอนึกถึงว่าพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาปีนั้นบัดนี้ค่อยๆ น้อยลงไปเรื่อยๆ จะไม่ทำให้หวนนึกถึงวันวานได้อย่างไร

“พี่ฉู่ ร่างกายท่านเป็นเช่นนี้ วันนี้ยังมาอวยพรน้อง น้องอดปลาบปลื้มใจไม่ได้จริงๆ พวกเราไม่ได้พบกันมาหลายปี แต่ท่านยังจำวันเกิดน้องได้ ช่างมีน้ำใจไมตรียิ่งนัก แต่ท่านก็ต้องดูแลสุขภาพร่างกายตนเองบ้าง อย่าอวดดีเตะถ่วงเวลาเยียวยารักษา” กู่เหล่าไท่จวินพลันเอ่ยออกมาจากจิตใจ แค่ฟังเสียงของนางก็รู้ว่าความห่วงหาอาทรที่มีต่อฉู่อ๋องเป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน แต่วาจาของนางกลับแลกมาด้วยการไอโขลกที่รุนแรงยิ่งขึ้นของฉู่อ๋อง เขาใช้มือขวาทุบอก สีหน้าท่าทางทุกข์ทรมาน

ชวีหลิงเอ้าเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็รีบรับถ้วยชาที่สาวใช้ส่งมาให้ ส่งไปถึงข้างปากของฉู่อ๋องด้วยตนเอง ส่วนมืออีกข้างก็ลูบแผ่นหลังฉู่อ๋องเบาๆ เพื่อให้เขาหายใจสะดวก

ฉู่อ๋องดื่มชาไปสองสามอึกอย่างทุลักทุเลแล้วโบกมือให้ชวีหลิงเอ้าเป็นการบอกว่าให้ยกออกไป หลังจากหอบหายใจเฮือกถึงได้เอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทก็ทรงเห็น ร่างกายโทรมๆ ของกระหม่อมแม้อยากจะรับใช้ชาติแต่ก็คงไม่มีโอกาสแล้ว ตอนนี้ก็หลงเหลือเพียงชื่อเสียงนิดๆ หน่อยๆ ทำให้ฝ่าบาทกับไทเฮาต้องหัวเราะแล้ว”

ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้เห็นเขาถ่อมตัวเช่นนี้ก็รีบรับสั่งกับหลิวกงกงที่อยู่ข้างพระวรกาย ตรัสเสียงก้องกังวาน “นำโสมภูเขาจากเขาฉางไป๋ซานที่ได้รับบรรณาการมาเมื่อปลายปีที่แล้วจากคลังหลวงมาสองต้น ส่งไปที่จวนฉู่อ๋อง ให้ฉู่อ๋องบำรุงรักษาร่างกายให้ดี”

ฉู่อ๋องได้ยินเช่นนี้ บนใบหน้าก็ปรากฏแววซาบซึ้งตื้นตัน ลุกขึ้นคำนับโดยไม่สนการทัดทานของฮ่องเต้และไทเฮา

ไทเฮาทอดพระเนตรเห็นฉู่อ๋องเคร่งครัดในจารีตถึงเพียงนี้ ทั้งยังเห็นเขาไอโขลกรุนแรงมาก จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาให้เขาได้ผ่อนคลายสักครู่ จากนั้นมองไปทางชวีหลิงเอ้าพลางตรัสถาม “น้องรอง ข้าให้ไปพาเมิ่งเอ๋อร์เข้ามามิใช่หรือ คนไปไหนเสียล่ะ”

เมื่อครู่ชวีหลิงเอ้ากำลังปรนนิบัติฉู่อ๋องจึงหลงลืมอวิ๋นเชียนเมิ่งไปชั่วขณะ ยามนี้เห็นไทเฮาตรัสถึงจึงกล่าวยิ้มๆ “เฉินอ๋อง อัครเสนาบดีฉู่ และเมิ่งเอ๋อร์ล้วนรออยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ฝ่าบาทกับไทเฮาทรงประสงค์เรียกเข้าเฝ้าพร้อมกันเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ทอดพระเนตรไทเฮาแวบหนึ่ง เห็นไทเฮาแย้มพระสรวลให้เขาเล็กน้อยจึงตรัสอย่างสบายพระทัยเช่นกัน “เชิญเข้ามาให้หมดเถิด วันนี้เป็นงานเลี้ยงครอบครัว ไม่มีกฎข้อบังคับมากมายถึงเพียงนั้น ให้ทุกคนผ่อนคลายกันสักหน่อย อย่าเคร่งครัดในจารีตระหว่างกษัตริย์กับขุนนางมากเกินไปเลย”

ชวีหลิงเอ้าได้ยินฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ตรัสเช่นนั้นจึงค้อมตัวถอยออกไปอย่างนอบน้อม ไม่นานนักกลุ่มคนหลายคนก็เดินตามหลังเขาเข้ามาในห้องอุ่น

แม้ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ตรัสว่าให้ผ่อนคลายสักเล็กน้อย แต่จะมีคนกล้าผ่อนคลายจริงๆ เสียที่ไหนกัน

หากเรื่องนี้ถูกคนมีเจตนาร้ายเห็นเข้า ต่อไปถูกคนยกมาพูดถึง นั่นมิใช่การขุดหลุมฝังศพตนเองหรอกหรือ

กลุ่มคนหลายคนต่างเดินเข้ามาถวายบังคมอย่างพินอบพิเทา หลังจากนั้นก็ไปยืนอยู่ข้างกายญาติของแต่ละคนตามรูปแบบของงานเลี้ยงครอบครัว

เฉินอ๋องมาอยู่ข้างกายหลินเหล่าไท่จวิน แน่นอนว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งถูกกู่เหล่าไท่จวินดึงไปนั่งลงด้วยกัน อวิ๋นเสวียนจือยืนอยู่เงียบๆ อีกด้านโดยลำพัง ส่วนฉู่เฟยหยางไปยืนข้างกายฉู่อ๋อง

ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ทอดพระเนตรเห็นฉู่เฟยหยางมาถึงจึงทรงอดบ่นมิได้ “อัครเสนาบดีฉู่ เจ้าต้องเป็นห่วงเป็นใยฉู่อ๋องให้มากๆ เราว่าสุขภาพร่างกายของฉู่อ๋องชวนให้คนไม่วางใจจริงๆ ”

ฉู่เฟยหยางได้ยินก็ก้มหน้ามองฉู่อ๋องที่ไอไม่หยุด นัยน์ตาที่หลุบลงครึ่งหนึ่งฉายแววเหนื่อยใจวาบผ่านอย่างรวดเร็ว ยื่นมือใหญ่ออกไปตบหลังฉู่อ๋องแรงๆ กล่าวด้วยความห่วงใย “ช่วงนี้ท่านปู่คงจะถูกลมและความเย็นน่ะพ่ะย่ะค่ะ หากร่างกายไม่สู้ดี วันหลังอย่าออกจากจวนอ๋องจะดีกว่า”

ฉู่อ๋องเดิมทีก็ใบหน้าแดงก่ำอยู่แล้ว ยามนี้ถูกฉู่เฟยหยางออกแรงตบเช่นนี้ เกรงว่าใบหน้าชรานั้นคงจะคั้นโลหิตออกมาได้แล้ว ซ้ำเห็นหลานรักของตนจะกักบริเวณตนเองอีก เขาจึงรีบเงยหน้ามองฉู่เฟยหยางทันที ถลึงตาใส่ฉู่เฟยหยางในมุมที่ไม่มีคนมองเห็น ทว่าคำพูดที่ออกจากปากกลับเต็มไปด้วยความปลื้มปีติ “หลานไม่ต้องเป็นห่วงสุขภาพของปู่หรอก ขอแค่เจ้าแบ่งเบาภาระของฝ่าบาทอย่างเต็มที่ ปฏิบัติหน้าที่เพื่อฝ่าบาทด้วยความจงรักภักดีก็ถือเป็นวาสนาของปู่แล้ว ส่วนปู่น่ะหรือ คนเราพอแก่ตัวลง ถึงแม้ร่างกายจะเทียบกับแต่ก่อนมิได้ ทว่าการออกมาเดินยืดเส้นยืดสายบ่อยๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ถึงจะเป็นเคล็ดช่วยให้อายุยืนยาวนะ”

เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด ฉู่หนานซานก็รู้สึกว่าแรงบนแผ่นหลังของตนหนักหน่วงขึ้นทุกขณะ ตบจนร่างทั้งร่างของเขาแทบจะคะมำไปข้างหน้าได้ ในใจอดไม่ได้ที่จะแอบด่าฉู่เฟยหยางว่าไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโส

ทว่าชวีหลิงเอ้าที่อยู่อีกด้านกลับเก็บเรื่องราวทั้งหมดนี้เข้าสู่สายตา แม้จะขบขันกับวิธีการอยู่ร่วมกันของปู่หลานคู่นี้ แต่กลับทนเห็นฉู่หนานซานถูกฉู่เฟยหยางรังแกไม่ได้จริงๆ จึงเดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยเสียงเบา “ให้สาวใช้มาปรนนิบัติท่านอ๋องเถิด อัครเสนาบดีฉู่เชิญนั่ง”

ส่วนฉู่เฟยหยางกลับมองฉู่อ๋องที่ยามนี้ไอโขลกจนพูดจาไม่ออกขึ้นมาจริงๆ อย่างพึงพอใจ จากนั้นเขาจึงคลายมือออก นั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายฉู่หนานซาน

กระทั่งถึงตอนนี้ไทเฮาถึงได้มีช่องว่างตรัสถามอวิ๋นเชียนเมิ่ง “เมื่อครู่เกิดเรื่องใดขึ้นที่เรือนด้านหน้าหรือ ข้าได้ยินฉวีกงกงรายงานว่ามีคุณหนูบุตรสาวขุนนางตกน้ำ ส่วนเจ้ากรมอาญากลับสงสัยว่าเจ้าเป็นคนทำ ซ้ำในมือยังมีหลักฐานและพยานด้วย เมิ่งเอ๋อร์ ข้าเห็นเจ้าเติบโตมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ข้าย่อมเชื่อใจเจ้า แต่หากเจ้าเป็นคนทำจริงๆ ข้าจะไม่ให้ท้ายเด็ดขาด หากมีคนใส่ร้ายป้ายสีเจ้า ข้ากับฝ่าบาทจะเป็นธุระจัดการแทนเจ้าเอง”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นไทเฮาตรัสถึงเรื่องนี้จึงรีบลุกขึ้นเดินไปตรงกลางห้อง คุกเข่าให้เหล่าคนที่อยู่บนที่นั่งตำแหน่งประธานทันที กล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจทว่าแข็งกร้าว “ฝ่าบาทและไทเฮาโปรดให้ความเป็นธรรมด้วยเพคะ เมื่อครู่หม่อมฉันวิเคราะห์ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวให้ใต้เท้าซูฟังแล้ว แต่ใต้เท้าซูกับซูฮูหยินเอาแต่ใส่ร้ายหม่อมฉัน ยิ่งไปกว่านั้นยังให้บุตรสาวรองเจ้ากรมอาญาพูดจาไร้สัมมาคารวะดูหมิ่นมารดาของหม่อมฉัน ไทเฮา ฝ่าบาท แค่หม่อมฉันถูกใส่ร้ายก็ยังไม่อาจกล้ำกลืนเรื่องนี้ลงไปได้อยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมารดาผู้ให้กำเนิดตนเองถูกหมิ่นด่าต่อหน้าผู้คน ขอไทเฮากับฝ่าบาททรงตัดสินด้วยความยุติธรรม คืนความบริสุทธิ์ให้หม่อมฉันและมารดาด้วยเพคะ”

พูดจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็โขกศีรษะให้ไทเฮาและฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้สามคำรบอย่างหนักแน่น

คนที่อยู่ภายในห้องได้ยินวาจานี้ก็พากันมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่ง เห็นเพียงยามนี้นางสองตาแดงเรื่อ หยาดน้ำที่คลอหน่วยอยู่ในดวงตาดื้อรั้นไม่ยอมไหลรินลงมา ทว่าริมฝีปากทั้งสองของนางกลับสั่นระริก เห็นได้ว่าได้รับความคับข้องหมองใจอย่างถึงขีดสุด ดูแล้วชวนให้คนเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน

ไทเฮาตรัสด้วยความสะเทือนพระทัย “ฝ่าบาท หร่วนซูเฟยมารดาของท่านก็สิ้นเพราะคลอดบุตรยาก คล้ายคลึงกับสภาพของเมิ่งเอ๋อร์ วันนี้พอย้อนคิดดู ใจของแม่ก็ทรมานมากเหมือนกัน แต่พวกเจ้าล้วนเป็นคนจิตใจงามมีความกตัญญู ทุ่มเทตอบแทนต่อคนที่มีบุญคุณกับตนเองอย่างแท้จริง แม่ย่อมปลาบปลื้มยินดีอย่างหาที่สุดมิได้ แต่ไม่รู้ว่าคุณหนูรองเจ้ากรมอาญาที่เติบโตท่ามกลางครอบครัวที่มีพร้อมทั้งบิดามารดา เหตุใดจิตใจถึงได้ชั่วร้ายเหลือเกิน อายุแค่นี้ก็ยังไม่ยอมปล่อยไปแม้กระทั่งคนตาย สตรีไร้ศีลธรรมเช่นนี้หากไม่ลงโทษให้หนักๆ ในวันข้างหน้าคุณหนูตระกูลใหญ่ทั้งหลายรวมไปถึงประชาชนทั่วไปจะไม่เอาเป็นเยี่ยงเป็นอย่างหรือ พอถึงตอนนั้นแคว้นซีฉู่ยังจะมีหน้าเรียกตนเองว่าแว่นแคว้นแห่งแบบแผนจารีตได้อีกหรือ จะไม่ให้พวกหมานอี๋ หัวเราะเยาะเอาได้อย่างไร”

“แค่กๆๆๆ” ยามนี้ฉู่อ๋องเริ่มไอขึ้นอีกครั้ง ฉู่เฟยหยางเห็นเช่นนั้นก็คิดจะยื่นมือไปตบหลังเขา แต่กลับเห็นร่างกายของฉู่อ๋องเบี่ยงหลบอย่างแนบเนียน กล่าวอย่างเข้าอกเข้าใจทันที “ฝ่าบาท ไทเฮา เด็กน้อยไร้มารดาผู้นี้น่าสงสารเสียจริง เฟยหยางของพวกข้าก็ไม่มีมารดามาตั้งแต่เล็ก บิดาของเขาก็งานยุ่งรัดตัว ลำบากเจ้าเด็กคนนี้ต้องถูกเลี้ยงอยู่ข้างกายข้ามาโดยตลอด กระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่ตบแต่งภรรยา ต่อไปหากข้าล่วงพ้นหนึ่งร้อยปี จะให้ข้าเอาหน้าที่ไหนไปพบบรรพบุรุษสกุลฉู่เล่า”

ทุกคนไม่คิดว่าฉู่อ๋องจะดันเอ่ยปากขึ้นในตอนนี้ แต่ในวาจาธรรมดาๆ นี้กลับแฝงด้วยความไม่ชอบมาพากล รู้สึกน่าสนใจขึ้นมาชั่วขณะ ทุกคนตั้งอกตั้งใจรอดูว่าการตัดสินครั้งนี้จะคลี่คลายลงเช่นไร

ส่วนฉู่เฟยหยางกลับขมวดหัวคิ้วเบาๆ กับวาจาของฉู่อ๋อง ในใจแอบก่นด่าปู่ตนเองอย่างอดไม่ได้ อยู่ดีไม่ว่าดีก็พูดเรื่องที่ตนยังไม่ได้แต่งภรรยาออกมา หากคิดว่าจวนอ๋องไร้ชีวิตชีวาจริงๆ ล่ะก็ ไยต้องเอาแต่จับตาหลานชายของตนเองด้วยเล่า สู้เอาเวลาไปคิดวางแผนเพื่อตัวเขาเองเสียยังดีกว่า

ฉู่อ๋องคล้ายกับรับรู้ถึงความคิดของฉู่เฟยหยาง สองมือที่เต็มไปด้วยรอยด้านคู่นั้นกลับกดลดลงบนตัวฉู่เฟยหยาง มองอีกฝ่ายด้วยแววตารักใคร่เอ็นดูเปี่ยมล้น คิดจะเอ่ยวาจาแต่กลับไออย่างรุนแรงไม่หยุด

วาจาของฉู่อ๋องกระเพื่อมระลอกคลื่นขึ้นในใจทุกคน โดยเฉพาะในใจของคนสกุลชวีต่างเชื่อมั่นไปแล้วว่าซูหยวนผู้นี้เห็นว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งไร้มารดาคุ้มครองจึงรังแกเด็กสาวอย่างโจ่งแจ้ง

ยามนี้ไทเฮาตรัสขึ้นอีกครา “ตำหนักในกำลังจะจัดงานคัดเลือกสาวงาม ชื่อของคุณหนูเจ้ากรมอาญาผู้นั้นถูกส่งไปแล้ว แต่ครั้งนี้เกิดเรื่องเสื่อมเสียต่อหน้าพระพักตร์เช่นนี้ คุณหนูซูคงไม่อาจเข้าวังได้แล้ว”

ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้เองก็ไม่อยากเสียเวลากับเรื่องนี้มากเกินไปจึงผงกพระเศียรให้ไทเฮา ตรัสกับอวี๋กงกงที่อยู่ข้างพระวรกาย “ประกาศราชโองการของเราออกไป รองเจ้ากรมอาญาอบรมสั่งสอนบุตรธิดาไม่เข้มงวด ทำให้ธิดาตนใส่ร้ายคุณหนูสกุลอวิ๋น เดิมควรลงโทษสถานหนัก แต่วันนี้เป็นวันดีของกู่เหล่าไท่จวิน เราผ่อนหนักให้เป็นเบา ลงโทษหักเบี้ยหวัดครึ่งปี พร้อมกันนั้นลงโทษให้คุณหนูสกุลสิงคัด ‘บัญญัติสตรี’ หนึ่งร้อยจบ ส่วนเจ้ากรมอาญา เขามีฐานะเป็นถึงเจ้ากรมแต่กลับไม่ทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ไม่สืบหาความจริงให้กระจ่างก็ใส่ร้ายผู้อื่น ลงโทษหักเบี้ยหวัดหนึ่งปี ถอดป้ายชื่อของคุณหนูสกุลซูที่ถูกส่งเข้าไปในวังออก ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจเข้าร่วมการคัดเลือกสาวงามได้อีก”

ครั้นเห็นเรื่องราวได้ข้อสรุปแล้ว อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ยอบกายคำนับทุกคน แล้วจึงถอยออกจากห้องอุ่นไป

 

เพิ่งจะก้าวออกจากเรือนรุ่ยหลินก็ถูกคนกอดเอาไว้เต็มรัก กลิ่นหอมสดชื่นแผ่กำจายมาจากด้านหลัง มุมปากอวิ๋นเชียนเมิ่งย้อมด้วยรอยยิ้มบางๆ เอ่ยปากเสียงเบา “ท่านพี่ ท่านเริ่มแกล้งเมิ่งเอ๋อร์อีกแล้ว”

เมื่อถูกเดาได้ว่าเป็นใคร ชวีเฟยชิงกลับยังคงตื่นเต้นดีใจเหมือนเดิม จูงมืออวิ๋นเชียนเมิ่งพลางเดินไปช้าๆ ทว่ารอยยิ้มทางหางตากลับชัดเจนขึ้นทุกขณะ “เมื่อครู่ข้าได้ยินจากข้างนอกแล้ว เจ้ากรมอาญาผู้นั้นสมควรถูกลงโทษจริงๆ บุตรสาวแบบนั้นยังจะกล้าส่งเข้าวังอีก กลัวว่าคงจะอยู่ในนั้นได้ไม่เกินสามวันกระมัง!”

พูดจบจมูกเล็กสวยงามของชวีเฟยชิงก็อดย่นเล็กน้อยไม่ได้ สีหน้านางเวลานี้น่ารักเป็นหนักหนา

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาเที่ยงแล้ว จึงจูงชวีเฟยชิงเดินตรงไปยังเรือนทิงอวี่

 

ขณะที่กำลังเดินผ่านเฉลียงทางเดินอันคดเคี้ยววกวน กลับเห็นหรงอวิ๋นเฮ่อที่ผมขาวทั่วทั้งศีรษะนั่งอยู่บนตั่งไม้ข้างเฉลียงทางเดิน แม้มิได้เอ่ยวาจาใดๆ แต่ภายใต้แสงอาทิตย์เส้นผมสีขาวนั้นช่างเตะตายิ่งนัก ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งกับชวีเฟยชิงมองแวบเดียวก็เห็นทันที

ตอนนี้แน่ชัดว่าหรงอวิ๋นเฮ่อเองก็เห็นทั้งสองเช่นกัน จะให้หนีไปไหนก็ไม่ได้ ทั้งสองจึงจำต้องเดินเข้าไปทักทาย

“อวิ๋นเชียนเมิ่งแห่งจวนอัครเสนาบดีคารวะคุณชายหรงเจ้าค่ะ”

“ชวีเฟยชิงแห่งจวนฝู่กั๋วกงคารวะคุณชายหรงเจ้าค่ะ”

หรงอวิ๋นเฮ่อกลับไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดๆ แต่ยามนัยน์ตาคู่นั้นเห็นว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งยืนอยู่ตรงหน้าโดยไร้รอยขีดข่วนก็วางใจลงเล็กน้อย พยักหน้าเบาๆ ทันที ไม่รอให้ทั้งสองจากไปก็เป็นฝ่ายหนีไปก่อน

“เป็นคนแปลกประหลาดขนานแท้!” ชวีเฟยชิงมองแผ่นหลังหรงอวิ๋นเฮ่อที่ไกลออกไป บ่นอุบอิบเสียงเบา

อวิ๋นเชียนเมิ่งยิ้มๆ แต่ไม่เอ่ยวาจา เนิ่นนานผ่านไปถึงค่อยพูดขึ้นประโยคหนึ่ง “บางคนรูปโฉมงามราวกับหยกแต่จิตใจดุจเดรัจฉาน ทว่าบางคนแม้เกิดมาพร้อมเรื่องน่าเสียดายแต่กลับเป็นคนจิตใจดีงาม ท่านพี่อย่าตัดสินคนแค่ที่รูปลักษณ์ภายนอกนะเจ้าคะ”

ชวีเฟยชิงได้ยินดังนั้น ดวงตาก็เผยแววฉงน คว้าตัวเมิ่งเอ๋อร์มาใกล้พร้อมกับถามย้ำ “เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ ข้าได้ยินว่าเหล่าไท่จวินสกุลหรงเป็นคนรักสันโดษยิ่ง คุณชายหรงผู้นี้ก็ถูกเลี้ยงดูข้างกายเฉินเหล่าไท่จวินมาตั้งแต่ยังเล็ก ด้านอุปนิสัยใจคอก็เลยคล้ายคลึงกับเฉินเหล่าไท่จวินผู้นั้นมากทีเดียว เมื่อครู่พอเห็นพวกเราก็ไม่พูดอะไรสักคำเลยด้วย”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นนางอยากรู้อยากเห็นถึงเพียงนี้จึงพยักหน้าเบาๆ กล่าวช้าๆ “นิสัยสันโดษก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคนไม่ดีนี่นา คนที่เอาแต่แย้มยิ้มทั้งวันพวกนั้นต่างหากถึงจะน่ากลัวจริงๆ ต่อไปท่านพี่ก็อย่าถูกรูปลักษณ์ภายนอกหลอกเข้าล่ะ ไม่อย่างนั้นคนที่จะเสียเปรียบก็คือตัวท่านพี่เองนะเจ้าคะ”

ชวีเฟยชิงเห็นนางพูดจาฉะฉานมีเหตุมีผลจึงจดจำเอาไว้ในใจ พยักหน้าอย่างหนักแน่น จากนั้นทั้งสองคนก็เดินจูงมือกันไปยังเรือนทิงอวี่

ทว่าทั้งสองเพิ่งจะจากไป เงาร่างสูงเพรียวก็เดินออกมาจากหลังภูเขาจำลองในสวนดอกไม้ จดจ้องเงาร่างสีม่วงนั้นอยู่เป็นนานจนไม่อาจตื่นจากภวังค์ ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่องผมยาวสีขาวเงินพร่างพราวระยับราวกับหิมะ

 

ภายในห้องครัวเล็กตอนนี้แม่นมแต่ละคนกำลังดูแรงไฟอย่างระมัดระวัง ไอร้อนเป็นสายพวยพุ่งออกมาเหนือเตาไฟนั้น เกลียวกลิ่นหอมหวนล่องลอยเข้าสู่จมูกของทุกคน ทำให้ความอยากอาหารทวีขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ทันใดนั้นชวีเฟยชิงก็อดไม่ได้ที่จะวิ่งไปยังหน้าเตาไฟ ยื่นมือหมายจะเปิดฝาหม้อขึ้น โชคดีที่สาวใช้ซึ่งอยู่อีกด้านมือเร็วตาไวห้ามนางเอาไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นผิวเนียนนุ่มของชวีเฟยชิงคงจะถูกลวกเป็นแผลไปนานแล้ว

อวิ๋นเชียนเมิ่งถูกการกระทำของชวีเฟยชิงทำให้ตื่นตระหนกจนเหงื่อออกชุ่มไปทั้งร่าง รีบดึงมือทั้งสองข้างของนางมาตรวจดู ปากเอ่ยถามด้วยความกังวลใจ “ไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ ถูกลวกหรือไม่”

ชวีเฟยชิงเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นห่วงเป็นใยตนเองจากใจจริง มุมปากจึงผลิยิ้มบางๆ ดึงแขนเสื้อลงพร้อมกล่าวรับประกัน “ไม่เป็นไร ว่าแต่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่หรือ หอมยิ่งกว่าอาหารที่จวนโหวของพวกเราทำเสียอีกนะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับยิ้มอย่างลึกลับ จากนั้นหันไปทางแม่ครัวที่กำลังดูไฟอยู่ “ดูแรงไฟตามที่ข้ากำชับไว้หรือไม่ ไม่มีคนมายุ่งกับวัตถุดิบที่ข้าเตรียมไว้แล้วใช่ไหม”

แม่ครัวผู้นั้นเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งระมัดระวังถึงเพียงนี้ ในใจก็ยิ่งเพิ่มความระวังรอบคอบ ตอบกลับอย่างจริงจัง “เรียนคุณหนู ทุกอย่างได้จัดเตรียมตามที่คุณหนูสั่ง กระทั่งถึงตอนนี้ฝาหม้อยังไม่ได้เปิดออกเลยเจ้าค่ะ”

ชวีเฟยชิงได้ยินคำตอบของแม่ครัว ในดวงตาเต็มไปด้วยความฉงน ถามอวิ๋นเชียนเมิ่งเสียงเบา “ตั้งแต่พวกเราออกไปจนกลับมาเป็นเวลาครึ่งชั่วยามเต็มๆ นี่คืออะไรถึงได้ตุ๋นนานเช่นนี้”

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับให้พวกสาวใช้พับแขนเสื้อให้นาง หยิบวัตถุดิบอื่นๆ ซึ่งอยู่อีกด้านมาแล้วเริ่มลงมือทำอาหาร แต่ยังคงตอบคำถามของชวีเฟยชิงด้วยน้ำอดน้ำทน “เหล่าไท่จวินอายุมากแล้ว ทานอาหารที่แข็งเกินไปไม่ได้เจ้าค่ะ ดังนั้นตอนเตรียมอาหารให้ท่านจะต้องคอยระวังความแข็งความอ่อนของอาหาร ลำไส้และกระเพาะของผู้สูงอายุไม่ค่อยแข็งแรง ทนรับการกระตุ้นไม่ไหว”

ชวีเฟยชิงฟังจนสับสนงุนงง แต่ก็รู้สึกว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งพูดอะไรที่มีเหตุผล จึงเบิกตาโตเดินตามอยู่ข้างหลังนาง มองนางหยิบจับวัตถุดิบแต่ละอย่างด้วยมือไม้คล่องแคล่วอย่างสนใจใคร่รู้

“หากท่านพี่ไม่มีธุระอะไร ไปหยิบชาเขียวมาให้เมิ่งเอ๋อร์ดีกว่า” อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าอีกนิดเดียวร่างของชวีเฟยชิงก็จะแนบติดกับแผ่นหลังของตนแล้ว ห้องครัวนี้มีพื้นที่น้อย หมุนขยับร่างกายก็ไม่สะดวก อีกทั้งยามนี้มีคนที่ไม่ช่วยงานเพิ่มมาอีกคน อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงได้แต่ไล่นางออกไป

ชวีเฟยชิงเห็นว่าในที่สุดตนเองก็มีเรื่องให้ทำจึงเดินออกไปข้างนอกอย่างตื่นเต้นดีใจ ในขณะที่อวิ๋นเชียนเมิ่งกำลังยินดีที่พื้นที่กว้างขึ้นมาเล็กน้อย ชวีเฟยชิงก็วกกลับมาอีกครั้งราวกับสายลม ในมือยังถือชาเขียวไว้สิบกว่าชนิด พูดถามอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “เมิ่งเอ๋อร์ นี่คือชาหลงจิ่ง ก่อนฤดูฝน นี่คือชาปี้หลัวชุน นี่คือชาผู่เอ่อร์ นี่คือชาเถี่ยกวนอิน ชามากมายขนาดนี้พวกเราจะใช้ชนิดไหนหรือ”

ด้วยอุณหภูมิความร้อนสูงจากในครัว ทำให้ยามนี้บนศีรษะอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงผุดหยาดเหงื่อพราย นางที่ในมือกำลังยุ่งสาละวนกวาดตามองถุงชาในมือชวีเฟยชิงแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “ชาปี้หลัวชุนแล้วกันเจ้าค่ะ หยิบใบชาออกมา ให้พวกสาวใช้บดใบชาเป็นผง”

ชวีเฟยชิงเป็นคุณหนูสกุลใหญ่จะเคยลงครัวได้อย่างไร ยามนี้พอได้ยินอวิ๋นเชียนเมิ่งพูดเรื่องพวกนี้ก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ไฉ่ปัวสาวใช้ใหญ่ประจำตัวนางกลับคล่องแคล่วปราดเปรียว พอได้ยินคำสั่งอวิ๋นเชียนเมิ่งก็รับถุงชาในมือชวีเฟยชิงมาแล้วนำออกไปบดเป็นผง

ชวีเฟยชิงเห็นงานในมือตนถูกคนอื่นแย่งไปก็พลันกระวนกระวาย จึงเดินเข้าไปดึงตัวอวิ๋นเชียนเมิ่งให้นางมอบหมายภารกิจให้ตนอีก แต่คาดไม่ถึงว่าในขณะที่อวิ๋นเชียนเมิ่งกำลังหั่นผักอยู่นั้น พอถูกนางดึงมีดในมือก็พลันกรีดเข้าเนื้อบาดโดนนิ้วชี้ข้างขวาทันใด นิ้วขาวผ่องปานต้นหอมลอกนั้นหลั่งโลหิตสดๆ ทำให้ชวีเฟยชิงตื่นตกใจจนรีบควักผ้าเช็ดหน้าออกมาห่อให้นางเอาไว้ ปากพูดขอโทษไม่หยุด “เมิ่งเอ๋อร์…ข้า…ล้วนเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง…รีบไปหาหมอกับข้าเร็วเข้า”

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองดูท่าทางลนลานของนาง กลับรู้สึกเหมือนตนเป็นฝ่ายรังแกนางแทน จึงยกนิ้วขึ้นดูอย่างละเอียด พอเห็นว่าบาดแผลที่โดนบาดค่อนข้างลึกแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บไปถึงเส้นเอ็นและกระดูกจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อนิ้วเอาไว้ให้แน่นๆ แล้วหั่นผักต่อไป “ท่านพี่ ข้าไม่เป็นไร แต่ว่าท่านออกไปก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ ห้องครัวเล็กนี้มันร้อนเกินไปจริงๆ ท่านออกไปสูดอากาศหน่อยเถิด พอจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วข้าค่อยไปหาหมอ”

ชวีเฟยชิงเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งยืนกรานเช่นนี้ พร้อมทั้งเห็นว่าตนเองเป็นคนทำให้นิ้วนางโดนบาดเป็นแผลจึงไม่กล้ารั้งอยู่ต่อไป ได้แต่เดินออกจากห้องครัวเล็กพลางหันกลับมามองเป็นระยะๆ สั่งให้สาวใช้ไปเชิญท่านหมอ ส่วนตนเองก็รออยู่นอกห้องครัว

พอไม่มีชวีเฟยชิงความเร็วในการทำอาหารของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ว่องไวขึ้นทุกขณะ สามเค่อให้หลังอาหารทั้งหมดก็สำเร็จเรียบร้อย ส่วนผงชาเขียวที่เมื่อครู่ให้สาวใช้ไปตระเตรียมก็จัดการเสร็จแล้ว

ชวีเฟยชิงได้ยินเสียงทอดน้ำมันดังมาจากในห้องครัวเล็ก อีกครึ่งเค่อให้หลังก็เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินนำพวกสาวใช้ที่ในมือยกอาหารชั้นเลิศออกมา

“เมิ่งเอ๋อร์ ท่านหมอมาแล้ว” ชวีเฟยชิงเดินเข้าไปหา ยกสองมือของอวิ๋นเชียนเมิ่งมาตรวจดูอย่างละเอียดลออ เห็นเพียงผ้าเช็ดหน้าสีชมพูผืนนั้นเปรอะเปื้อนด้วยรอยเลือดเต็มไปหมดจึงพลันเจ็บปวดใจไม่หยุด

อวิ๋นเชียนเมิ่งกังวลว่าอาหารเย็นแล้วจะส่งผลกระทบต่อรสชาติ จึงเดินมายังเรือนด้านในกับชวีเฟยชิงอย่างรวดเร็ว ขณะที่ให้ท่านหมอตรวจอาการก็สั่งให้สาวใช้เช็ดหยดเหงื่อบนใบหน้านาง เติมแป้งประทินโฉมบางๆ จากนั้นทั้งสองก็รีบรุดไปยังเรือนรุ่ยหลิน

 

เดิมทีอวิ๋นเชียนเมิ่งคิดว่ารอมานานขนาดนี้คงจะเหลือเพียงแค่คนจวนฝู่กั๋วกงกับพวกไทเฮา แต่พอก้าวเข้าไปในห้องอุ่น คนที่อยู่ภายในห้องกลับนั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขาดหายไปแม้แต่คนเดียว แต่ละคนต่างมองมาที่ตนด้วยสายตาใคร่รู้

“ยายเด็กคนนี้มาได้เสียที พวกเราทุกคนท้องกิ่วกันหมดแล้วนะ” ไทเฮาเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งอึ้งงันเล็กน้อยจึงตรัสไขข้อสงสัยให้นาง

อวิ๋นเชียนเมิ่งแย้มยิ้มอ่อนช้อย เดินเข้าไปทำความเคารพพร้อมกับชวีเฟยชิง หลังจากนั้นลุกขึ้นยืนยกอาหารที่ตระเตรียมไว้ขึ้นวางบนโต๊ะยาวที่ถูกจัดเอาไว้แล้วทีละอย่างๆ ตามลำดับ

สายตาของทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองลงบนอาหารจานแรกที่ถูกวาง บนจานกระเบื้องเคลือบสีขาวใช้ผักจัดแต่งเป็นรูปต้นสนหนึ่งต้นและนกกระเรียนมงกุฎแดงสองตัว ทุกคนถูกลวดลายอันงามล้ำนี้ดึงดูดอย่างห้ามไม่อยู่

“ท่านยาย อย่างแรกนี้เป็นอาหารจานเย็น จานหลักคือสนกระเรียนอายุมั่นเจ้าค่ะ ทำขึ้นจากเห็ดหอม เนื้อไก่แห้ง แตงกวา ไข่ขาว ไข่ฟู ผักแห้ง และอิงเถา* อาหารชนิดนี้รสชาติอ่อนๆ เอร็ดอร่อย เหมาะเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยที่สุดเลยเจ้าค่ะ ส่วนจานเคียงคือห้าบุตรประทานพร สี่สมุทรร่วมฉลอง มิตรหยกชั้นเซียน สามดาวหัวลิง ห้าบุตรประทานพรที่จริงแล้วคือเมล็ดผลไม้ห้าชนิด ส่วนสี่สมุทรร่วมฉลองคืออาหารทะเลสี่ชนิด มิตรหยกชั้นเซียนคือเผือกและเห็ดหอม สามดาวหัวลิงคือยำเห็ดหัวลิง เชิญฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮา และท่านยายลิ้มรสได้เลยเจ้าค่ะ”

ทุกคนยังไม่ได้กินก็ถูกการจัดวางที่เป็นเอกลักษณ์นี้ดึงดูดไว้ชะงัด ไม่น่าเชื่อว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะใช้วัตถุดิบธรรมดาๆ จัดแต่งออกมาเป็นอาหารที่งดงามมีชีวิตชีวาเช่นนี้ได้ ทุกคนต่างคีบอาหารในจานตนเองขึ้นมา มองแล้วมองอีกอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วพลันตระหนักได้ว่าเป็นอย่างที่อวิ๋นเชียนเมิ่งบอกจริงๆ จึงวางอาหารใส่ปากอย่างอดใจรอไม่ไหวอยู่บ้าง

“รสชาติอร่อยจริงๆ ด้วย แต่ก็ยังคงความสดใหม่เป็นธรรมชาติ ทั้งยังไม่แย่งรสชาติอาหารจานที่มาทีหลังด้วย มิหนำซ้ำเนื้อไก่นี่ยังเคี้ยวง่ายมาก ทำให้คนที่ฟันไม่ดีอย่างข้าเองก็กินได้อย่างเอร็ดอร่อย” กู่เหล่าไท่จวินเอ่ยปากชมเป็นคนแรก จากนั้นชวีเฟยชิงจึงมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยความนับถือเต็มเปี่ยม

เมื่อดูจากสีหน้าคนอื่นๆ ก็สามารถมองออกว่าพึงพอใจต่ออาหารเรียกน้ำย่อยจานนี้ โดยเฉพาะพวกฮ่องเต้ที่ปกติเสวยอาหารอันประณีตบรรจงทว่าไร้รสชาติในวังจนเคยชินก็ยังเสวยเพิ่มอีกหลายคำ

อวิ๋นเชียนเมิ่งมิได้กระหยิ่มยิ้มย่องเพราะคำชมเชยของเหล่าไท่จวิน นางหันตัวกลับ ยกอาหารจานร้อนจานต่อไปขึ้นโต๊ะด้วยตนเอง

“เหล่าไท่จวิน อาหารจานร้อนจานแรกชื่อว่าลูกหลานเต็มบ้านคือไข่นกกระทาตุ๋นผักเขากวางเจ้าค่ะ จานที่สองเรียกว่าครอบครัวสุขสันต์คือสะโพกไก่ผัดนกกระทา จานที่สามเรียกว่าอายุวัฒนะคือปลิงทะเลต้มผักเสวี่ยหลี่หง จานที่สี่เรียกว่าบารมีเทียมฟ้าคือมันปูผัดเต้าหู้ จานที่ห้าเรียกว่าอรหันต์ชุมนุมเป็นรวมมิตรผัก จานที่หกเรียกว่ารุ่งโรจน์ห้าชั่วคนคือปลาจะละเม็ดนึ่ง จานที่เจ็ดเรียกว่าเผิงจู่ ประทานพรคือแกงไก่ป่าต้มฝูหลิง ส่วนจานสุดท้ายนี้เรียกว่าหวนคืนวัยเยาว์ จริงๆ แล้วคือเต่าทองผัดไก่บ้าน ตบท้ายด้วยน้ำแกงถ้วยนี้ ตั้งชื่อให้ว่าน้ำพุหวานธารหยกคือโสมคนตุ๋นกับนกพิราบเจ้าค่ะ”

กระทั่งอาหารจานร้อนทั้งหมดถูกยกขึ้นจนครบถ้วน อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ถอยไปอยู่อีกด้าน รอคอยให้ทุกคนได้ลิ้มลอง ทว่าตอนนี้ทุกคนมีแก่ใจลิ้มรสเสียที่ไหนกัน ต่างก็พากันตื่นตะลึงไปกับชื่ออาหารของอวิ๋นเชียนเมิ่งไปตั้งแต่แรกแล้ว

“ช่างเป็นเด็กที่มีความคิดพลิกแพลงจริงๆ น้องกู่ เจ้าเป็นคนมีวาสนาแท้ๆ เลย แม่หนูนี่ถึงกับคิดสร้างสรรค์ตั้งชื่ออาหารความหมายมงคลเช่นนี้เพื่ออวยพรวันเกิดให้เจ้า ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาโดยแท้ เมื่อก่อนตอนกรีธาทัพอยู่ในสนามรบ ยามแม่ทัพใหญ่ฉลองวันเกิด อย่างมากก็มีแค่บะหมี่อายุยืนถ้วยเดียว โชคดีที่วันนี้ข้าได้มางานวันเกิดเจ้า มิเช่นนั้นคงพลาดเรื่องดีๆ ไปมากมาย” ฉู่อ๋องเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยามนี้เห็นอาหารเยอะแยะมากมาย โรคเรื้อรังพลันหายดี อาการไอก็คล้ายกับหายสนิทแล้ว พออ้าปากก็พูดชมเชยอวิ๋นเชียนเมิ่งตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ท่านอ๋องชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ เชียนเมิ่งแค่นำภูมิปัญญาของคนโบราณมาประยุกต์ใช้ มิได้แสดงฝีมือโดดเด่นเป็นพิเศษเลยเจ้าค่ะ” อวิ๋นเชียนเมิ่งยอบกายให้ฉู่หนานซาน น้ำเสียงเรียบนิ่งอ่อนโยน ไม่ได้ยินความหยิ่งผยองอวดดีแม้แต่กระผีกริ้น

ฉู่อ๋องเห็นนางมีมารยาทงามเช่นนี้จึงยังคิดจะเอ่ยปากชื่นชมอีก แต่ข้างหูกลับมีเสียงเย็นชาของเฉินเหล่าไท่จวินดังขึ้น “ดูเหมือนอาการไอของท่านอ๋องจะหายดีแล้ว ตอนนี้ถึงได้พูดจาเสียงดังกังวานเพียงนี้”

ถึงจะถูกเปิดโปงต่อหน้าผู้คน แต่ฉู่อ๋องก็หาได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ทว่ากลับเริ่มไอโขลกขึ้นมาแทน เขาดึงแขนเสื้อฉู่เฟยหยางเอาไว้ ให้ฉู่เฟยหยางหยิบยาเม็ดที่ใส่ไว้ข้างเอวของตนออกมา

ส่วนฉู่เฟยหยางมองปู่ของตนเองด้วยรอยยิ้มจางๆ มือค่อยๆ หยิบขวดยา จากนั้นก็เทยาเม็ดซึ่งอยู่ด้านในออกมาส่งให้ฉู่อ๋อง ก่อนที่ฉู่อ๋องจะโยนยาเม็ดเข้าปากอย่างรวดเร็ว

อวิ๋นเชียนเมิ่งยืนอยู่ใกล้ ทั้งยังสายตาแหลมคม จึงพบว่ายาเม็ดของฉู่อ๋องเมื่อครู่เป็นเพียงเมล็ดซิ่งเมล็ดหนึ่งเท่านั้น นางรู้สึกขำขันขึ้นมาทันใด แต่ก็เกิดความสนใจใคร่รู้ต่อฉู่อ๋องที่ทุกคนให้ความเคารพยำเกรงผู้นี้มากขึ้นหลายส่วน

ในขณะที่อวิ๋นเชียนเมิ่งจดจ่อความสนใจอยู่กับฉู่อ๋อง ทางด้านนั้นก็เริ่มทานอาหารกันแล้ว เหล่าไท่จวินทั้งสี่ล้วนอายุมากแล้ว มิได้นิยมชมชอบอาหารแข็งๆ รวมถึงของคาวกลิ่นรุนแรงเหล่านั้น แต่กลับชื่นชอบอาหารที่อวิ๋นเชียนเมิ่งปรุงขึ้นจากวัตถุดิบธรรมดาๆ ยิ่งนัก

ส่วนฮ่องเต้กับฮองเฮาแม้ว่าพระชนมายุยังไม่มาก มิได้ชื่นชอบอาหารที่อ่อนเกินไปเหล่านี้เป็นพิเศษ แต่อาหารที่อวิ๋นเชียนเมิ่งทำชนะด้วยรสชาติของวัตถุดิบที่ถูกรีดเค้นออกมาทุกหยาดทุกหยด กอปรกับยามที่อวิ๋นเชียนเมิ่งปรุงใช้น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว และน้ำส้มสายชูเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มิได้เติมเครื่องเทศแต่งกลิ่นอื่นๆ อีก ทว่ากลับทำให้ฮ่องเต้และฮองเฮาเสวยอย่างเต็มอิ่มปริ่มเปรม

โดยเฉพาะฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ ทรงโปรดปรานผักเสวี่ยหลี่หงที่ไม่เคยเสวยมาก่อนยิ่งนัก จึงเสวยแล้วเสวยอีก

งานเลี้ยงวันเกิดสิ้นสุดลง ในใจทุกคนต่างพึงพอใจมาก

เจียงมู่เฉินวางถ้วยและตะเกียบในมือลง จ้องมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยสายตาแฝงแววสืบเสาะ แต่เห็นว่าพอนางเห็นทุกคนวางถ้วยตะเกียบลงก็หมุนกายออกไปข้างนอก

ฉู่เฟยหยางได้กลิ่นอ่อนๆ คล้ายกับมีแต่ก็เหมือนไม่มีในยามที่อวิ๋นเชียนเมิ่งเดินผ่านข้างกายเขา สายตาหรี่ลงน้อยๆ มองสำรวจทั่วทั้งเรือนร่างของอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างลึกล้ำ

อวิ๋นเชียนเมิ่งออกไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับเข้ามา ในมือยังยกของหวานจานหนึ่งเข้ามาด้วย เห็นเพียงของหวานนั้นเขียวสดวาววับ เป็นขนมแป้งกรอบทรงกลมสีเขียวชิ้นเล็กๆ ส่วนขอบของขนมนั้นก็โรยด้วยเม็ดงา ทำให้ดูสีสันสดใสสวยงามน่าทานยิ่งนัก

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่ายามนี้ทุกคนกำลังมองตนเองอย่างเปี่ยมด้วยความคาดหวังจึงไม่อ้อมค้อมวกวน แย้มยิ้มพลางกล่าวอธิบาย “เหล่าไท่จวิน นี่คือของหวานเจ้าค่ะ เรียกว่าหัตถ์พุทธลูบศีรษะ ที่จริงแล้วเป็นแค่ขนมฝอปิ่งชาเขียวธรรมดาๆ แต่ว่าตั้งชื่อให้ไพเราะ ขอฝ่าบาท ไทเฮา ฮองเฮา และเหล่าไท่จวินอย่าได้รังเกียจ”

กู่เหล่าไท่จวินพึงพอใจกับอาหารวันนี้เป็นอย่างมาก ไหนเลยจะมาจับผิดอวิ๋นเชียนเมิ่งอีก

หลังจากพวกฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้คีบขนมฝอปิ่งชาเขียวแล้ว นางก็รีบคีบตามด้วยหนึ่งชิ้น รู้สึกเพียงกลิ่นหอมจรุงใจของชาเขียวกระจายไปทั่วปาก ขนมฝอปิ่งชาเขียวนี้ดูเหมือนเป็นขนมหวาน แต่กลับเจือรสหวานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คงเป็นเพราะยายหนูเมิ่งเอาใจใส่พิถีพิถัน รู้ดีว่าผู้สูงอายุกินของหวานมากไม่ได้ จึงลดปริมาณน้ำตาลที่อยู่ภายในลง

ทุกคนไม่คิดว่าฝอปิ่งชาเขียวที่มิได้ถือว่างดงามประณีตนี้กลับมีรสชาติสดใหม่ถึงเพียงนี้ ซ้ำยังกำจัดความมันเลี่ยนที่หลงเหลืออยู่ในปากเมื่อครู่นี้ได้พอดิบพอดี

ผ่านไปชั่วครู่ฝอปิ่งชาเขียวเต็มจานก็ไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว ทุกคนลูบท้องที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยพลางมองอวิ๋นเชียนเมิ่ง ต่างล้วนมีสีหน้าไม่นึกไม่ฝัน

ฉู่เฟยหยางกลับสังเกตเห็นว่าบริเวณแขนเสื้ออวิ๋นเชียนเมิ่งเปรอะสีแดงเป็นจุดๆ นัยน์ตาอมยิ้มบึ้งตึงขึ้นหลายส่วน

กู่เหล่าไท่จวินสงสารที่อวิ๋นเชียนเมิ่งยุ่งสาละวนมาครึ่งค่อนวันจึงกล่าวอย่างรักใคร่เอ็นดู “เมิ่งเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ออกไปทานอาหารกันเถิด”

อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้ดีแก่ใจว่ากู่เหล่าไท่จวินเป็นห่วงตนเองจึงพยักหน้าขานรับ ถอยออกไปพร้อมกับชวีเฟยชิง

ทว่ายามนี้แม่นมข้างกายจี้ซูอวี่กลับเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเร็วรี่ เชิญชวีเฟยชิงไปต้อนรับหญิงสาวจากสกุลต่างๆ ที่ลานด้านหน้า อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าป้าสะใภ้ใช้โอกาสนี้ให้ชวีเฟยชิงเรียนรู้การควบคุมดูแลเรื่องราวต่างๆ ภายในจวน จึงแย้มยิ้มพลางพูดเกลี้ยกล่อมชวีเฟยชิงที่ไม่ยอมจากไป

เพิ่งจะหมุนตัวกลับก็เห็นฉู่เฟยหยางยืนอยู่เบื้องหลังตน นัยน์ตาสีดำวาววับคู่นั้นกำลังมองมาอย่างแฝงรอยยิ้ม ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งตกใจจนหัวใจเต้นช้าไปหนึ่งจังหวะ รีบปรับท่าทางของตนให้เรียบร้อย ถอยหลังไปเล็กน้อยหนึ่งก้าว เว้นระยะห่างกับฉู่เฟยหยางแล้วทำความเคารพ “คารวะอัครเสนาบดีฉู่เจ้าค่ะ”

แน่นอนว่าฉู่เฟยหยางย่อมมองเห็นความตื่นตระหนกในชั่วพริบตาที่อวิ๋นเชียนเมิ่งมองเห็นเขา พร้อมกันนั้นยังเห็นว่าตอนนี้นางฝืนบังคับให้ตนเองสงบนิ่ง ในใจรู้สึกว่านางแตกต่างจากผู้อื่นจริงๆ

หากเปลี่ยนเป็นสตรีคนอื่นถูกบุรุษแปลกหน้าเข้าใกล้ เกรงว่าคงจะตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปแล้ว แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ในชั่วพริบตา ทั้งยังใช้ท่าทีเยือกเย็นถึงขีดสุดมาตอบโต้อย่างคล่องแคล่ว

ตกลงแล้วเป็นสตรีแบบไหนกันแน่ นางผ่านเรื่องอะไรมากันแน่ ไฉนถึงสุขุมราวกับคนที่มีชีวิตมาแล้วหลายชาติก็ไม่ปาน

ทว่าตอนนี้ฉู่เฟยหยางมิได้มาที่สวนดอกไม้เพื่อสืบหาความลับเรื่องชาติกำเนิดของนาง เขาควักขวดกระเบื้องเคลือบใบหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ รีบยื่นไปตรงหน้านางทันที และกล่าวอย่างจริงจัง “มือได้รับบาดเจ็บก็อย่าให้ถูกน้ำ ทายานี้ทุกๆ วัน ไม่เกินสิบวันผิวพรรณก็จะกลับมาเหมือนเดิม”

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองขวดกระเบื้องเคลือบตรงหน้า ทว่ามิได้ยื่นมือออกไปรับ แต่กลับกำลังครุ่นคิดถึงเจตนาของฉู่เฟยหยาง นอกจากนี้แคว้นซีฉู่มีข้อเรียกร้องต่อสตรีเข้มงวดมาก ไม่อนุญาตให้บุรุษและสตรีแอบส่งมอบสิ่งของให้กันและกันเด็ดขาด

ฉู่เฟยหยางกลับไม่ยอมให้นางค่อยๆ คิดอย่างช้าๆ กอปรกับเขาก็มิใช่คนเคารพในจารีตธรรมเนียมอยู่แล้ว เมื่อเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งคิดไตร่ตรองซ้ำไปซ้ำมาจึงยัดโอสถใส่มือนางอย่างเผด็จการ ส่วนตนเองก็ค่อยๆ เดินหายไปในสวนดอกไม้อย่างเงียบเชียบเหมือนขามา

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองขวดยาที่เพิ่มเข้ามาอยู่ในมือตน ในใจพลันหงุดหงิดแต่ก็จนปัญญา จึงได้แต่เก็บไว้ในแขนเสื้อ คิดจะกลับไปเรือนทิงอวี่ของชวีเฟยชิงเพื่อพักผ่อนสักครู่

ทว่ายังเดินไปไม่พ้นสามสิบจั้งก็เห็นหรงอวิ๋นเฮ่อเดินตรงเข้ามา เดิมอวิ๋นเชียนเมิ่งคิดจะหลบหลีก แต่หลังจากหรงอวิ๋นเฮ่อมองเห็นนางฝีเท้าก็เร่งความเร็วขึ้น เดินมาถึงตรงหน้านางอย่างรวดเร็ว ยื่นขวดกระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินใบหนึ่งมาตรงหน้านาง หลังจากนั้นก็กระแอมไอ กล่าวอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ท่านย่าให้ข้านำมามอบให้เจ้า”

พูดจบก็วางขวดกระเบื้องไว้ข้างเท้าอวิ๋นเชียนเมิ่งก่อนจะหันกายเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองดูขวดกระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินที่ข้างเท้า นึกถึงขวดกระเบื้องเคลือบสีขาวที่อยู่ในแขนเสื้อ พลันรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาทันใด

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com