ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ
ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ
บทที่ 1 ถอนหมั้นในท้องพระโรง
ศีรษะเจ็บปวดราวกับจะปริแตก อวิ๋นเชียนเมิ่งพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งทั้งสองข้าง แต่กลับพบว่าสิ่งที่สะท้อนเข้าสู่ดวงตาข้างขวาคือสีแดงฉาน
ศีรษะซึ่งเดิมทีปวดแปลบไม่หยุด ยามนี้ยิ่งทวีความเจ็บปวดรวดร้าวพร้อมกับการลืมตาขึ้นของนาง
ในสายตาที่พร่าเลือน อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้สึกเพียงว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในห้องที่มีกลิ่นอายโบราณ อีกทั้งนอกจากกลิ่นหอมที่อบอวลอยู่รอบด้านแล้วยังเจือด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
อวิ๋นเชียนเมิ่งจำได้ว่าตนเองกำลังปฏิบัติภารกิจไล่หาตัวหัวหน้าขบวนการค้ายาเสพติดกับเพื่อนร่วมงานที่สถานีตำรวจอยู่แท้ๆ แล้วทำไมถึงมานอนอยู่ที่นี่ได้ล่ะ
ศีรษะที่ได้รับบาดเจ็บพลันปวดแปลบ ในสมองของอวิ๋นเชียนเมิ่งฉายภาพเหตุการณ์นับไม่ถ้วนในชั่วพริบตา…
เจ้าของร่างนี้ก็ชื่ออวิ๋นเชียนเมิ่งเช่นเดียวกัน เป็นบุตรสาวในภรรยาเอกของอวิ๋นเสวียนจือ อัครเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งแคว้นซีฉู่ ทว่าชวีซื่อ มารดาผู้ให้กำเนิดกลับป่วยเสียชีวิตตอนอวิ๋นเชียนเมิ่งอายุครบเดือน
ในจวนอัครเสนาบดีฝ่ายขวาอันกว้างขวางโอ่อ่าก็ได้ซูชิงซึ่งเป็นอนุภรรยาของอวิ๋นเสวียนจือควบคุมดูแลนับแต่นั้นมา
อวิ๋นเชียนเมิ่งสูญเสียมารดาตั้งแต่ยังเด็กจึงทำให้มีนิสัยขี้ขลาดอ่อนแอ ถูกน้องสาวต่างมารดารังแกดูหมิ่นแต่ก็ไม่กล้าต่อต้าน โชคดีที่พี่สาวร่วมอุทรของชวีซื่อเป็นไทเฮาองค์ปัจจุบันของแคว้นซีฉู่ พระนางทรงจัดแจงให้อวิ๋นเชียนเมิ่งหมั้นหมายเป็นชายาเฉินอ๋องตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่หารู้ไม่ว่าในใจเฉินอ๋องมิได้เห็นด้วยกับการหมั้นหมายครั้งนี้เลย ยามนี้ถึงได้โวยวายขอราชโองการถอนหมั้นไปถึงตำหนักจินหลวน จึงนำไปสู่เรื่องที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงก่อนหน้านี้
ภาพเหตุการณ์ในสมองหยุดลงในชั่วพริบตาที่อวิ๋นเชียนเมิ่งโขกเสาตาย ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งในยามนี้พลันรู้สึกปวดศีรษะมากผิดปกติ อดส่งเสียงครวญด้วยความเจ็บปวดเบาๆ มิได้
“เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าฟื้นเสียที!” เสียงตกใจระคนดีใจดังขึ้นเหนือศีรษะในทันที
อวิ๋นเชียนเมิ่งได้ยินสุ้มเสียงที่แฝงด้วยความน่าเกรงขามนั้น หลังจากรอให้ความมืดมิดตรงหน้าค่อยๆ จางหายไปถึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ยามนี้กลับเห็นว่ามีสตรีอายุราวๆ สี่สิบปีนั่งอยู่ข้างเตียง ในดวงตานางเจือด้วยแววเป็นกังวล ทว่าความสูงศักดิ์น่ายำเกรงบนสีหน้ากลับทำให้คนเห็นแล้วบังเกิดความหวาดหวั่น กอปรกับชุดชาววังสีแดงเข้มของนาง บนศีรษะปักด้วยปิ่นทองหงส์คาบมุก เกรงว่าไทเฮาที่ปรากฏในสมองเมื่อครู่ก็คือนางนี่แหละ!
“ไทเฮา…” ใบหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งปรากฏความหวาดเกรง ดิ้นรนหมายจะลงไปนั่งบนพื้น แต่จนปัญญาที่ร่างกายไม่เป็นใจ ไม่ถึงครึ่งเค่อ ก็ตัวเอียงกระเท่เร่พิงเสาเตียง ทำได้เพียงมองไปยังไทเฮาซึ่งอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาขออภัย
“นางเด็กน้อยไฉนถึงหัวรั้นเช่นนี้ สุ่ยเอ๋อร์ ปิงเอ๋อร์ ยังไม่รีบประคองเจ้านายพวกเจ้าให้นอนดีๆ อีก” ไทเฮาทรงประคองอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยพระองค์เอง จากนั้นตรัสสั่งสาวใช้สองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยพระสุรเสียงเย็นเยียบทันที
“เจ้าวางใจเถิด เรื่องวันนี้ข้าจะไม่ปล่อยไปเฉยๆ แน่!” ไทเฮาทอดพระเนตรสีหน้าขาวซีดไร้สีเลือดของอวิ๋นเชียนเมิ่ง โทสะในดวงพระเนตรทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น พระนางหันพระวรกายเล็กน้อย สายพระเนตรเย็นเฉียบพุ่งไปยังชายวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่ข้างเตียง ยิ้มเย็นพลางตรัส “เมื่อครู่ตอนอยู่ในท้องพระโรง เหตุใดอัครเสนาบดีอวิ๋นถึงไม่เอ่ยวาจาใดๆ คิดว่าหลานสาวของข้าไม่ควรค่าให้เอ่ยวาจาอย่างนั้นหรือ หรือว่าเมิ่งเอ๋อร์ไม่ใช่บุตรสาวของเจ้า”
บุรุษผู้นั้นถูกไทเฮาซักไซ้ถาม สีหน้าจึงย่ำแย่โดยพลัน กล่าวอย่างนอบน้อมทันที “ไทเฮาโปรดทรงระงับความพิโรธ กระหม่อมเองก็คิดไม่ถึงว่าเฉินอ๋องจะเอ่ยเรื่องถอนหมั้นในท้องพระโรง พอกระหม่อมได้สติกลับคืนมา เมิ่งเอ๋อร์ก็…”
ครั้นได้ยินบทสนทนาระหว่างคนทั้งสอง สายตาของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ค่อยๆ หันไปยังบุรุษที่อยู่ข้างเตียงผู้นั้น ถึงแม้จะเอ่ยวาจาอย่างเคารพนบนอบ แต่น้ำเสียงที่พูดนั้นกลับไม่มีความรักใคร่บุตรสาวของตนเองแม้แต่น้อยนิด สิ่งที่แฝงมากับอากัปกิริยานอบน้อมนั้นมีเพียงขนบจารีตระหว่างขุนนางและนายเหนือหัวเท่านั้น
สิ่งนี้ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเข้าใจในบัดดล เกรงว่าหญิงสาวที่ตายไปแล้วแม้แต่ก่อนเกิดมาก็ไม่เคยได้รับความรักจากอวิ๋นเสวียนจือ ถึงได้พบกับจุดจบน่าสังเวชปานนี้
และตนเองก็โชคร้ายถูกยิง แต่กลับมีชีวิตรอดมาอยู่ในร่างนี้แทนหญิงสาวผู้นั้น
หัวคิ้วขมวดแน่นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ หากมิใช่เพราะความเจ็บปวดบนศีรษะบอกนางว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง อวิ๋นเชียนเมิ่งคงคิดว่าทุกอย่างนี้เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น
ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือต้องรีบแก้ไขการหมั้นหมายที่ทุกคนไม่เห็นชอบนั้นโดยเร็วที่สุด
“ไทเฮาเพคะ” เสียงอ่อนระโหยเบี่ยงเบนความสนใจของไทเฮาได้ในทันที อวิ๋นเชียนเมิ่งพยายามยืนขึ้นโดยมีสุ่ยเอ๋อร์และปิงเอ๋อร์คอยประคอง นางคารวะไทเฮาอย่างนิ่มนวล
“เจ้าทำอะไรน่ะ รีบนอนลงเร็วๆ เข้า มีเรื่องอันใดรอให้บาดแผลหายก่อนค่อยว่ากัน” ความเย็นชาในพระเนตรของไทเฮาหายวับไปทันใด พระนางทอดพระเนตรอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างเปี่ยมล้นไปด้วยความรักใคร่สงสาร ยิ่งกว่านั้นพระหัตถ์ข้างหนึ่งยังถือผ้าเช็ดหน้าไหมเช็ดรอยเลือดที่ติดอยู่บนตาขวาให้นางอีกด้วย
“ไทเฮาทรงเวทนาเมิ่งเอ๋อร์ เป็นวาสนาของเมิ่งเอ๋อร์ยิ่งนัก เพียงแต่เมิ่งเอ๋อร์มีเรื่องหนึ่งอยากขอร้อง ขอไทเฮาทรงช่วยให้สมปรารถนาด้วยเพคะ” พูดไปอวิ๋นเชียนเมิ่งก็คุกเข่าลง ไม่ว่าสุ่ยเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์จะดึงอย่างไรก็ดึงไม่ขึ้น
พอเห็นท่าทีแข็งกร้าวของอวิ๋นเชียนเมิ่ง อวิ๋นเสวียนจือซึ่งอยู่อีกด้านก็พลันขมวดคิ้วน้อยๆ จากนั้นเอ่ยว่า “อะไรอีกเล่า! ที่เจ้าทำก่อนหน้านี้ก็สูญศักดิ์ศรีคุณหนูจวนอัครเสนาบดีจนหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้ยังจะกล้าพูดข่มขู่ไทเฮาอีก เจ้า…”
“เมิ่งเอ๋อร์อยากเข้าเฝ้าฮ่องเต้หน้าท้องพระโรงเพคะ” แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับไม่รอให้อวิ๋นเสวียนจือตำหนิจบก็ชิงเอ่ยขึ้นก่อน
“ได้!” ไทเฮาถึงกับโพล่งตอบรับคำขอร้องของอวิ๋นเชียนเมิ่งในทันที
“แต่เจ้าต้องจำไว้ให้ดีว่าห้ามทำการบุ่มบ่ามอีก!” ทว่ายามสายพระเนตรของไทเฮากวาดมองยังบาดแผลบนศีรษะของอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับตรัสเสริมอีกหนึ่งประโยค คล้ายกับทรงกังวลว่าพออวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นเฉินอ๋องจะสูญสิ้นสติสัมปชัญญะอีกครั้ง
อวิ๋นเชียนเมิ่งฟังคำเตือนในวาจาไทเฮาออกจึงก้มหน้าน้อยๆ เอ่ยปากอย่างสุขุมเยือกเย็น “เพคะ”
“อัครเสนาบดีอวิ๋นก็ตามข้ามาแล้วกัน อย่างไรเจ้าก็เป็นบิดาของเมิ่งเอ๋อร์” ไทเฮาทรงหันกลับไปตรัสกับอวิ๋นเสวียนจือ พระเนตรเฉียบแหลมคู่นั้นฉายแววติเตียน เหมือนกับกำลังตำหนิว่าอวิ๋นเสวียนจือไม่ห่วงใยบุตรสาว
เมื่อรู้สึกได้ถึงความไม่พอพระทัยที่ไทเฮามีต่อตนเอง อวิ๋นเสวียนจือจึงช้อนสายตากวาดมองอวิ๋นเชียนเมิ่งที่กำลังก้มหน้าแวบหนึ่งแล้วจึงกล่าวอย่างพินอบพิเทา “น้อมรับบัญชาไทเฮา”
คนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ย่างเท้าเดินไปยังตำหนักจินหลวนภายใต้การนำของไทเฮา
อาจเป็นเพราะไทเฮาทรงเห็นใจที่อวิ๋นเชียนเมิ่งได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะจึงผ่อนฝีพระบาทลง แต่กลับเป็นการให้เวลาอวิ๋นเชียนเมิ่งทำความคุ้นเคยกับความสัมพันธ์ของบุคคลต่างๆ พอดิบพอดี
“กระหม่อมถวายบังคมไทเฮา อ้าว คุณหนูอวิ๋นผู้นี้เป็นอะไรไปหรือ ไฉนถึงเปรอะเปื้อนโลหิตไปทั่วทั้งร่างเล่า” ขณะที่อวิ๋นเชียนเมิ่งกำลังจัดการกับภาพเหตุการณ์ในสมอง เสียงหยอกล้อก็ดังขึ้นจากเบื้องหน้า เสียงเยาะเย้ยถากถางนั้นทำให้ฝีเท้าของทุกคนหยุดลงชั่วคราว
“เหตุใดอัครเสนาบดีฉู่จึงมาอยู่ที่นี่ได้” เมื่อเห็นว่ามีคนเอาสภาพของอวิ๋นเชียนเมิ่งมาพูดล้อเลียนอย่างโจ่งแจ้ง สีพระพักตร์ของไทเฮาก็ง้ำงอเล็กน้อย ในพระสุรเสียงเจือด้วยความไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจนยิ่ง
อวิ๋นเสวียนจือก็ใบหน้าเขียวคล้ำเช่นกัน ริมฝีปากที่เม้มแน่นกลับเผยความโกรธเกรี้ยวของตนออกมา
อวิ๋นเชียนเมิ่งเงยหน้าขึ้นน้อยๆ สายตามองเลยผ่านไทเฮาที่อยู่ตรงหน้าไปยังบุรุษใบหน้าประดับรอยยิ้มผู้หนึ่งซึ่งกำลังยืนอยู่หน้าทางเข้าตำหนักจินหลวน เขาสวมชุดขุนนางขั้นหนึ่งชั้นเอกสีม่วงอมแดง รูปร่างสูงสง่าขับเน้นให้ดูสูงศักดิ์ยิ่งนัก โดยเฉพาะจอนผมเป็นระเบียบราวมีดตัด คิ้วเข้มดุจหมึกวาด ใบหน้าราวกลีบดอกท้อ ดวงตาวาววับดั่งลูกคลื่นแห่งสารทฤดู ยามนี้กำลังจ้องมองพวกเขาคล้ายกับจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ยิ่งทำให้คนผู้นี้ดูหล่อเหลาอย่างยิ่งยวด ชวนให้คนสนอกสนใจยิ่งกว่าเฉินอ๋องผู้เย็นชาในความทรงจำเสียอีก
เมื่อครู่ไทเฮาเพิ่งจะตรัสเรียกเขาว่า ‘อัครเสนาบดีฉู่’ เกรงว่าคนผู้นี้คงจะเป็นอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่เฟยหยางผู้เลื่องชื่อกระมัง
“กราบทูลไทเฮา กระหม่อมมีเรื่องกราบทูลฝ่าบาท จึงประจวบเหมาะพบกับไทเฮาพอดิบพอดีพ่ะย่ะค่ะ” ถึงแม้จะตอบคำถามของไทเฮา แต่สายตาของฉู่เฟยหยางกลับจ้องผ่านทุกคนไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่ง นัยน์ตาที่แฝงความฉลาดเฉลียวท่ามกลางรอยยิ้มบางๆ ยามเห็นสีหน้าเยือกเย็นของอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็กลบทับด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม ก่อนจะเลิกม่านประตูออกด้วยตนเอง ทูลเชิญไทเฮาเสด็จเข้าไปด้านใน
การกระทำของฉู่เฟยหยางทำให้พระเนตรของไทเฮามีแววหงุดหงิดวาบผ่าน ทว่าขันทีผู้น้อยได้รายงานไปยังด้านในว่าพระนางเสด็จมาถึงแล้ว จึงได้แต่เดินเข้าไปในท้องพระโรงพร้อมกับฉู่เฟยหยาง
“เหตุใดเสด็จแม่ถึงเสด็จมาด้วยองค์เองเล่า” ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ทรงให้เกียรติไทเฮายิ่ง จึงลุกยืนขึ้นต้อนรับไทเฮา
ยามที่เฉินอ๋องซึ่งเดิมทียืนอยู่ในท้องพระโรงมองเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่ง ความชิงชังในดวงตาของเขาก็พลันปรากฏขึ้นทันที
เพียงแต่ครั้งนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งมิได้มีท่าทีตระหนกตกใจหรือเศร้าหมองเพราะความรังเกียจที่ชัดแจ้งของเฉินอ๋องแต่อย่างใด ตัวนางในยามนี้ค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามาในท้องพระโรงตามหลังไทเฮาโดยมิได้แยแสต่อสายตาใครทั้งสิ้น
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งปะทะสู่ใบหน้าของทุกคนในท้องพระโรง สายตาของอวิ๋นเชียนเมิ่งจดจ้องอยู่ที่เสามังกรสีแดงเสานั้นอย่างห้ามไม่อยู่
ถึงแม้เสานั้นจะถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว แต่บนพรมรอบๆ ยังคงเหลือรอยเลือดสีแดงเข้มอยู่ กลิ่นเครื่องหอมที่ลอยตลบอบอวลในท้องพระโรงจึงยังคงไม่สามารถกลบกลิ่นคาวเลือดที่แสบจมูกนั้นได้
สีหน้าเย็นชาของเฉินอ๋องนั้นยามมองเห็นนางดวงตาก็ปรากฏความเกลียดชังออกมาอย่างชัดเจน ทำให้เศษเสี้ยวความโกรธวาบผ่านในใจอวิ๋นเชียนเมิ่ง
ดูท่าว่าในใจของเฉินอ๋อง ชีวิตคนคงด้อยค่าถึงเพียงนี้!
ถึงแม้ตนเองจะไม่เห็นด้วยกับการที่อวิ๋นเชียนเมิ่งปลิดชีพตนเองและยังเหยียดหยามความอ่อนแอของนางยิ่งนัก แต่คนผู้นี้ก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว นางก็เป็นเพียงแค่คนน่าสงสารผู้หนึ่งเท่านั้น
อวิ๋นเชียนเมิ่งถวายบังคมฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ตามทุกคนเล็กน้อย จากนั้นยืนนิ่งอยู่อีกด้าน สายตาทอดมองไปเบื้องหน้า เมินเฉยเฉินอ๋องไปโดยสิ้นเชิง
“ย่อมมาเพราะเรื่องยายหนูเมิ่งน่ะสิ เฉินอ๋อง ยายหนูเมิ่งเป็นธิดาในภรรยาเอกแห่งจวนอัครเสนาบดี อีกทั้งยังเป็นหลานสาวของข้า เจ้ายังมีอันใดไม่พอใจอีก” เฉินอ๋องยืนอยู่ในท้องพระโรงด้วยใบหน้าเย็นเยียบ ความโกรธกริ้วฉายวาบอยู่ในพระเนตรของไทเฮา
วาจาของไทเฮาทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งอดลอบขมวดคิ้วกับตนเองไม่ได้ ก่อนจะแสร้งทำท่าทางหลงใหลในทันที จดจ้องเฉินอ๋องด้วยความรักลึกซึ้งอีกครา ปากเอ่ยพึมพำเสียงแผ่ว “ท่านอ๋อง…”
เสียงเรียกอันลุ่มหลงทำให้ในดวงตาเฉินอ๋องราวกับจับตัวเป็นน้ำแข็ง เอ่ยอย่างไม่ยั้งไมตรียิ่งกว่าเก่า “ข้าพูดกระจ่างแล้ว ชั่วชีวิตนี้ไม่มีวันรับเจ้าเป็นภรรยาเด็ดขาด เก็บความเพ้อฝันในใจเจ้าไปเสีย”
“วาจานี้ท่านอ๋องพูดจริงหรือเจ้าคะ” อวิ๋นเชียนเมิ่งเก็บสายตาเลื่อนลอยเมื่อครู่ เอ่ยปากย้ำเพื่อความแน่ใจอย่างเยือกเย็นผิดปกติ
“จริงแท้แน่นอน!” เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดอวิ๋นเชียนเมิ่งถึงเปลี่ยนสีหน้าได้รวดเร็วเพียงนี้ แต่เมื่อนึกถึงท่าทางอ่อนแอก่อนหน้านี้ของนาง เฉินอ๋องก็เอ่ยตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นก็ตามแต่เฉินอ๋องปรารถนา!” วาจาของเฉินอ๋องเพิ่งจะสิ้นคำ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็พูดตอบทันที สุ้มเสียงเย็นเยียบกระทบเข้าหูของทุกคนที่อยู่ในที่นั้น วาจานี้กล่าวเพียงประโยคสั้นๆ ทว่ากลับทำให้ทุกคนตกใจจนตะลึงงันไป
ไม่มีใครเข้าใจว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ก่อนหน้านี้ยังอ้อนวอนขอร้องจนถึงขั้นคัดค้านอย่างไม่เสียดายชีวิต ไฉนถึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ถึงกับช่วยให้เฉินอ๋อง ‘สมปรารถนา’
สิ่งนี้ทำให้ในใจของทุกคนสับสนงุนงงยิ่ง คิดว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งใช่ศีรษะกระแทกจนสมองใช้การไม่ได้ไปชั่วขณะหรือไม่ จึงพากันมองไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่กลางท้องพระโรงด้วยความหวาดระแวง
ถึงแม้อวิ๋นเชียนเมิ่งในตอนนี้หน้าผากได้รับบาดเจ็บจนรูปโฉมเสียหาย ทว่าความสุขุมเยือกเย็น แววไม่นบนอบไม่โอหังในดวงตากลับเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจยิ่งกว่าคืออวิ๋นเชียนเมิ่งในยามนี้คล้ายกับเปลี่ยนเป็นคนละคน รัศมีแห่งความมั่นใจในตนเองกำจายออกมาทั่วทั้งสรรพางค์กาย ถึงกับทำให้ทุกคนตะลึงลานในทันใด
“เจ้าคิดว่าข้าจะหลงกลแผนแกล้งปล่อยเพื่อจับของเจ้า?” ยามนี้เสียงเย้ยหยันกลับทำลายความเงียบสงัดในท้องพระโรง เฉินอ๋องมองไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยดวงตาเปี่ยมแววหยามเหยียด วาจาที่ออกมาจากปากหมิ่นเกียรติอย่างถึงที่สุด
ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับผลิยิ้มจางๆ ท่ามกลางสายตางุนงงประหลาดใจของทุกคน จากนั้นคุกเข่าคำนับฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ทันที “ขอฝ่าบาททรงประกาศราชโองการล้มเลิกสัญญาหมั้นหมายของหม่อมฉันกับเฉินอ๋องด้วยเพคะ นับแต่นี้ไปบุรุษแต่งงานสตรีออกเรือน ต่างคนต่างไม่เกี่ยวข้องกัน!”
ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับพูดจริง!
หากบอกว่าวาจาของนางก่อนหน้านี้ทำให้ทุกคนคิดในใจว่าเป็นเพราะความโกรธเกรี้ยว แต่ยามนี้เห็นนางถึงกับทูลขอราชโองการด้วยตนเอง ในดวงตาของทุกคนพากันทอประกายความรู้สึกที่แตกต่างกันไป
“เมิ่งเอ๋อร์ เลิกพูดจาเลอะเลือนเสีย ข้าจะเป็นธุระให้เจ้าเอง จะยอมให้เจ้าตัดสินใจเรื่องสำคัญของชีวิตโดยพลการได้เยี่ยงไร!” ผู้ที่เปล่งเสียงขึ้นเป็นคนแรกก็คือไทเฮา พระนางถลึงพระเนตรใส่อวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยสายตาเปี่ยมแววตักเตือน ยิ่งกว่านั้นพระหัตถ์ข้างหนึ่งยังกดหัวไหล่ของอวิ๋นเชียนเมิ่งเอาไว้ด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย พระนางลอบออกแรงเบาๆ เตือนให้อวิ๋นเชียนเมิ่งหุบปาก
“เมิ่งเอ๋อร์ขอบพระทัยไทเฮามากเพคะที่ทรงห่วงใย แต่ว่าเฉินอ๋องมิได้มีใจให้ข้า แล้วข้าจะไปบีบบังคับให้ผู้อื่นลำบากใจได้อย่างไร ถึงแม้เมิ่งเอ๋อร์แต่งงานไปก็เกรงว่าคงจะไม่มีความสุข ไทเฮาทรงเห็นใจเมิ่งเอ๋อร์ กลัวว่าเมิ่งเอ๋อร์คงจะใช้ชีวิตอย่างยากลำบากสินะเพคะ” ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งคล้ายกับไม่รู้สึกถึงความลำบากยากเข็ญของไทเฮาเลยแม้แต่น้อย กลับเอ่ยปากด้วยใบหน้าแน่วแน่ ทำให้ไทเฮาหาวาจามาโต้แย้งไม่ได้ชั่วขณะ
เฉินอ๋องซึ่งอยู่อีกด้านเพิ่งพบว่าบัดนี้ตนเองถูกหญิงสาวตัวเล็กๆ ผู้หนึ่งเล่นงานเข้าให้จริงๆ!
ก่อนหน้านี้แสร้งทำท่าทางน่าสงสารเวทนา แต่พอหลอกให้เขาพูดเสร็จก็เปลี่ยนหน้าโดยพลัน
ยามนี้เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งใบหน้าสงบนิ่ง สายตาเยือกเย็นผิดปกติไร้ซึ่งความหลงใหลที่มีต่อเขาอีกต่อไป พลันทำให้ในใจเฉินอ๋องรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ทั้งๆ ที่เมื่อครู่สตรีผู้นี้ยังฆ่าตัวตายเพราะเขาอยู่เลย แล้วเหตุใดถึงมีท่าทีไม่แยแสเขาเช่นนี้เล่า
“อวิ๋นเชียนเมิ่ง เจ้า…” เฉินอ๋องเพิ่งคิดจะเอ่ยปาก แต่กลับถูกเสียงของบุรุษหนุ่มจากอีกด้านตัดบทเอาดื้อๆ
“ฝ่าบาท ในเมื่อเฉินอ๋องกับคุณหนูอวิ๋นต่างยินยอมล้มเลิกสัญญาหมั้นหมาย แล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงไม่ดลบันดาลให้ผู้อื่นสมปรารถนาเล่าพ่ะย่ะค่ะ โลกนี้จะได้ลดคู่เวรคู่กรรมลงไปอีกหนึ่งคู่” ไม่คาดว่าฉู่เฟยหยางซึ่งนิ่งเงียบมาโดยตลอดกลับเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน อีกทั้งวาจาของเขายังดึงดูดสายตาโกรธเกรี้ยวของเฉินอ๋องได้ทันที
การแต่งงานของชินอ๋อง* ผู้หนึ่งใช่เรื่องที่อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายสามารถเจ้ากี้เจ้าการได้เสียที่ไหน
เพียงแต่การถอนหมั้นครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน หากยามนี้ตนเองรั้งอวิ๋นเชียนเมิ่งไว้นั้นไม่เท่ากับว่าเขาตบปากตนเองหรอกหรือ
ในระหว่างที่เฉินอ๋องกำลังครุ่นคิด อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับเอ่ยขึ้นอีกคราว่า “ขอฝ่าบาทกับไทเฮาทรงเห็นแก่ที่เมิ่งเอ๋อร์สูญเสียมารดาตั้งแต่เยาว์วัยช่วยให้เรื่องนี้สมปรารถนาด้วยเพคะ”
เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งสีหน้าแน่วแน่ ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้กับไทเฮาจึงแลกเปลี่ยนสายพระเนตรกันแวบหนึ่ง ตรึกตรองอยู่ครู่ใหญ่แล้วถึงตรัสด้วยความเสียดาย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ยกเลิกไปเสีย”
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” เมื่อได้ยินคำตอบที่ตนเองพอใจ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ผ่อนลมหายใจอย่างหนักหน่วง ก้มศีรษะขอบพระทัยฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้เสียงใส
“เสด็จแม่ เรื่องที่เหลือต้องขอให้พระองค์เปลืองแรงแล้ว เรายังมีเรื่องต้องปรึกษากับอัครเสนาบดีฉู่” เมื่อเห็นว่าละครฉากนี้สิ้นสุดลงในที่สุด ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้จึงตรัสกับไทเฮาอย่างนอบน้อม แต่สุดท้ายแล้วพระเนตรที่แฝงด้วยความเฉียบขาดคู่นั้นกลับกวาดมองอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ก้มหน้ามาโดยตลอด
ไทเฮาทอดพระเนตรฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ตรัสเช่นนั้น ในพระทัยจึงอดผิดหวังมิได้ ทว่าบนพระพักตร์ยังคงเยือกเย็นดังเดิม ก่อนตรัสขึ้นอย่างอ่อนโยน “ราชกิจเป็นเรื่องเร่งด่วน ข้าจะพาเด็กคนนี้กลับวังข้าก่อน”
สิ้นคำก็ทรงนำทุกคนออกจากตำหนักจินหลวน แต่ยามที่เฉียดผ่านฉู่เฟยหยาง ฝีพระบาทของไทเฮากลับหยุดชะงักเล็กน้อย แววพระเนตรอ่อนโยนกลับกวาดมองฉู่เฟยหยางอย่างแฝงด้วยความเฉียบขาดแวบหนึ่ง
ทว่าฉู่เฟยหยางกลับประดับรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าไว้ตลอดเวลา ไม่หวาดกลัวสายพระเนตรที่แฝงความน่ายำเกรงของไทเฮาแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นความสนใจทั้งหมดก็พุ่งไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ไม่เคยมองดูเขาเลย
“ไทเฮา กระหม่อมยังมีธุระ ขอทูลลาก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ!” เพิ่งจะก้าวออกจากท้องพระโรง เฉินอ๋องก็หาข้ออ้างแล้วหันกายจากไป ทว่าสายตาปราดสุดท้ายก่อนจากไปกลับมอบให้อวิ๋นเชียนเมิ่ง นัยน์ตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะคู่นั้นจ้องตรงมายังอวิ๋นเชียนเมิ่งคล้ายกับจะทิ่มแทงให้ทะลุร่างนาง
ครั้นทุกคนกลับไป ไทเฮาจึงถอดรอยแย้มพระโอษฐ์บนพระพักตร์ออก มองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งที่เจ้ากี้เจ้าการตัดสินใจเอาเองด้วยสายพระเนตรระคนแววเย็นเยียบ
“ขอไทเฮาทรงลงโทษที่เมื่อครู่เมิ่งเอ๋อร์ใจกล้ากระทำการบุ่มบ่ามด้วยเพคะ” หารู้ไม่ว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่าไทเฮาทรงไม่พอพระทัย นางรีบคุกเข่าลงรับผิดทันที แต่กลับถูกไทเฮาประคองขึ้นมา
ในพระทัยไทเฮาพลันบังเกิดความประหลาดใจต่ออวิ๋นเชียนเมิ่งในตอนนี้ จากนั้นก็เข้าใจเหตุผลในทันที สายพระเนตรติเตียนเบนไปยังอวิ๋นเสวียนจือ ตรัสด้วยพระสุรเสียงเย็นเยียบเล็กน้อย “ช่างเถิด วันนี้เจ้าได้รับความคับข้องใจมากพอแล้ว ประเดี๋ยวนั่งราชรถหงส์ของข้ากลับจวนไปพักผ่อนให้ดีๆ เถิด บาดแผลบนศีรษะเจ้าต้องรักษาให้หายนะ หากอี๋เหนียง ที่จวนอัครเสนาบดีไม่ยินยอม เจ้าก็ให้สุ่ยเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์กลับมาหาข้า”
ว่าแล้วไทเฮาก็ทรงหยิบป้ายทองขนาดเท่าฝ่ามือออกมามอบให้สุ่ยเอ๋อร์ที่กำลังประคองอวิ๋นเชียนเมิ่งพร้อมรับสั่งว่า “หากคุณหนูมีเรื่องใดที่จวน ป้ายคำสั่งนี้สามารถทำให้เจ้ากับปิงเอ๋อร์เข้าออกวังของข้าได้อย่างอิสระ”
สิ้นคำไทเฮาก็ไม่รั้งรออีก พานางกำนัลของตนออกจากท้องพระโรงทันที เหลือเพียงอวิ๋นเสวียนจือที่สีหน้าย่ำแย่กับอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความสงบ