ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ
ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ
บทที่ 19 คลื่นลูกเก่ายังไม่สงบ คลื่นลูกใหม่ก็ผุดขึ้น
ในเรือนรุ่ยหลิน บรรดาเหล่าไท่จวินผู้ทรงศักดิ์และพวกฉู่อ๋องกำลังหวนรำลึกถึงภาพความทรงจำเมื่อครั้งกรีธาทัพออกกรำศึกไปทั่วทุกสารทิศ เจียงมู่เฉินเห็นฉู่เฟยหยางหายออกไปจากห้องอุ่นตั้งนานแล้ว ในใจพลันวาดผ่านด้วยความไม่สบอารมณ์ จึงหาข้ออ้างออกไปจากเรือนรุ่ยหลินเช่นเดียวกัน ตลอดทางที่เดินไปถึงลานด้านหน้าก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของฉู่เฟยหยาง จึงเดินไปยังทิศทางของสวนดอกไม้แทน
ส่วนอวิ๋นเชียนเมิ่งนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ย่อกายลงเก็บขวดกระเบื้องเคลือบน้ำเงินไว้ในแขนเสื้อ ถอนหายใจเบาๆ แล้วรีบเก็บงำความเหนื่อยใจบนใบหน้าทันที ครั้นเห็นว่าเมื่อครู่ตนเองสั่งให้สาวใช้ไปช่วยงานชวีเฟยชิงจนหมด ตอนนี้ข้างกายเลยไม่มีใครอยู่ด้วยแม้แต่คนเดียว จึงเดินตรงไปยังเรือนทิงอวี่ด้วยฝีเท้าเร็วไวเพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น
“พวกเจ้าดูชัดแล้วจริงๆ นะ อีกประเดี๋ยวคงไม่มีคนโผล่มาใช่ไหม ข้าเห็นคุณหนูอวิ๋นผู้นั้นกับคุณหนูใหญ่จวนฝู่กั๋วกงตัวติดกันไม่ห่าง ถ้าหากถูกจับได้ล่ะก็ ข้าคง…” ในขณะเดียวกันนี้ด้านนอกของสวนดอกไม้จวนฝู่กั๋วกงมีเงาร่างลับๆ ล่อๆ สามสายเดินวนไปวนมานอกกำแพงไม่หยุด บุรุษหนุ่มคนหนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็คือหยวนชิ่งโจวแห่งจวนหานกั๋วกง ยามนี้เขากำลังเอ่ยถามสาวใช้สองคนอย่างละล้าละลัง
ตั้งแต่ครั้งก่อนหลังจากพบอวิ๋นเชียนเมิ่งบนท้องถนนก็ทำให้เขาเฝ้าคิดถึงคะนึงหา จึงไม่ยอมปล่อยโอกาสอันดีเช่นนี้ไปแน่นอน
ยามนี้เห็นหยวนชิ่งโจวอยู่ในเสื้อคลุมยาวผ้าดิ้น ใบหน้าแดงก่ำ แววตาเลื่อนลอยเล็กน้อย ยามพูดจาก็พ่นกลิ่นเหล้าออกมาคละคลุ้ง ยิ่งกว่านั้นร่างยังยืนพิงกำแพงอย่างไม่มั่นคงเสียด้วยซ้ำ แค่ดูก็รู้ว่าเมื่อครู่ตอนอยู่ในงานเลี้ยงคงจะดื่มเหล้าไปหลายอึกเป็นแน่
“คุณชายวางใจได้ เมื่อครู่พวกเราเห็นคุณหนูชวีพาสาวใช้ทุกคนไปที่ลานด้านหน้าแล้วเจ้าค่ะ ในสวนดอกไม้ตอนนี้มีเพียงคุณหนูอวิ๋นคนเดียว ท่านแอบอยู่ที่นี่ ฉวยโอกาสตอนนางเดินผ่านภูเขาจำลองกอดนางเอาไว้ พาตัวนางเข้าไปในภูเขาจำลอง อยากจะทำอะไรคนอื่นก็มองไม่เห็นเจ้าค่ะ” สาวใช้ในชุดกระโปรงสีเขียวหนึ่งในนั้นกลอกตาใส่หยวนชิ่งโจวอย่างไม่พอใจยิ่ง ทั้งยังเห็นว่าเขามีแต่กลิ่นเหล้าเต็มปากเต็มร่าง ในดวงตาจึงเต็มไปด้วยแววเหยียดยาม แต่เพื่อความสุขของคุณหนูตน นางจึงไม่อาจไม่หลอกล่อเจ้าคนบ้ากามนี้มาที่นี่ คิดวางแผนการให้กับเขา
พูดจบ บนใบหน้าหยวนชิ่งโจวก็ปรากฏสีหน้าอดใจรอไม่ไหว สาวใช้ชุดเขียวในใจหยามเหยียด แต่บนใบหน้ากลับยิ้มหวานล้ำยิ่งขึ้น
สิ้นคำนางก็ไปแอบตรงทางเข้าทางลัดเมื่อสักครู่กับสาวใช้ชุดเหลือง ทั้งสองเคลื่อนกายหลบอยู่หลังกำแพงเตี้ยๆ ดวงตาทั้งสองข้างจ้องดูเหตุการณ์ด้านนอกเขม็ง
หยวนชิ่งโจวตอนนี้ไม่สนใจแล้วว่าเหตุใดสาวใช้สองคนนี้จู่ๆ ถึงมาปรากฏตัวต่อหน้าตนเอง และเหตุใดสาวใช้สองคนนี้ต้องสร้างโอกาสให้เขากับอวิ๋นเชียนเมิ่ง
ตัวเขาในตอนนี้ตัณหาขึ้นสมองไปเสียแล้ว ครั้นเห็นทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยจึงเดินโซซัดโซเซเข้าไปด้านหลังภูเขาจำลอง ตัวอ่อนยวบยาบเอนพิงผนังหินของภูเขาจำลอง หรี่นัยน์ตาที่เปล่งประกายราคะคู่นั้นพลางจับจ้องอวิ๋นเชียนเมิ่งที่เดินใกล้เข้ามาทุกขณะตาไม่กะพริบ
อวิ๋นเชียนเมิ่งเดินทะลุเฉลียงทางเดินมายังลานด้านหลัง ยามนี้ลมเบาๆ สายหนึ่งพัดโชยขึ้นมาพอดิบพอดี สายลมเย็นๆ อันแผ่วเบาอุ่นละมุนนั้นพัดพากลิ่นหอมจรุงใจของบุปผานานาพรรณมาด้วย และยังเจือด้วยกลิ่นเหล้าคละคลุ้งรวมถึงกลิ่นกำยานเทียม ซึ่งกลิ่นกำยานเทียมนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งคุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างไรแล้ว
อวิ๋นเชียนเมิ่งค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลง ดวงตาทั้งสองข้างมองสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างรอบคอบระมัดระวัง รู้สึกเพียงว่าสถานที่ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างสวนดอกไม้และลานด้านหลังแห่งนี้วันนี้แลดูแปลกประหลาดกว่าปกติ ราวกับเป็นกับดักที่รอให้นางกระโดดลงไป
ส่วนคนที่เฝ้าอยู่ทั้งสองข้างกลับมองดูอวิ๋นเชียนเมิ่งอิดๆ ออดๆ ด้วยใจร้อนรุ่มดั่งไฟลน ในใจล้วนไม่แน่ใจว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งรู้ตัวแล้วหรือไม่
ทว่ายามนี้ความรู้สึกเหมือนถูกเพ่งเล็งและบรรยากาศรอบข้างนำพามาชัดเจนมากขึ้นทุกที ยิ่งทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งมั่นใจในความหวาดระแวงของตน นางพลันสีหน้าเคร่งขรึม ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม กวาดมองรอบๆ ด้านด้วยสายตาเย็นชา นางอยากจะรู้นักว่าใครมันกล้าลอบทำร้ายตนในอาณาเขตของจวนฝู่กั๋วกง
นางยืนนิ่งเฉยๆ ไม่ขยับเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้สองคนนั้นร้อนใจจนทนไม่ไหว สาวใช้ชุดเขียวผู้นั้นผลักสาวใช้ชุดเหลืองออกไป
สาวใช้ชุดเหลืองมิได้ยืนมั่นแม้แต่ฝีเท้าเดียว ถลาไปตรงหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างล้มลุกคลุกคลาน จากนั้นทำความเคารพอวิ๋นเชียนเมิ่งพร้อมกล่าว “คุณหนูใหญ่ให้บ่าวหานานเลยนะเจ้าคะ”
สาวใช้ชุดเขียวเห็นสาวใช้ชุดเหลืองเริ่มเอ่ยพูดกับอวิ๋นเชียนเมิ่งแล้ว จึงหมุนกายมุ่งไปยังลานด้านหน้าทันที
เวลานี้อวิ๋นเชียนเมิ่งจำได้ว่านี่คือเฟิงเอ๋อร์สาวใช้ชั้นสองข้างกายอวิ๋นรั่วเสวี่ย ทว่ายามนี้เฟิงเอ๋อร์ไม่อยู่ปรนนิบัติข้างกายอวิ๋นรั่วเสวี่ย แต่กลับวิ่งมาหาตนที่นี่ ช่างน่าสงสัยโดยแท้
อวิ๋นเชียนเมิ่งผลิยิ้มบางๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน เอ่ยปากถามอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา “เหตุใดเจ้าถึงไม่อยู่ปรนนิบัติข้างกายน้องรอง วิ่งมาที่นี่ทำไมกัน”
เฟิงเอ๋อร์เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งสีหน้าเหมือนปกติ อดคิดในใจไม่ได้ว่าคุณหนูใหญ่คงจะยังไม่รู้ว่าข้างหน้ามีคนซ่อนอยู่จึงยิ้มพลางตอบ “เรียนคุณหนูใหญ่ คุณหนูรองให้บ่าวมาปรนนิบัติคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้คุณหนูรองเห็นว่าคุณหนูจวนท่านโหวพาสาวใช้ของคุณหนูใหญ่ไปที่ลานด้านหน้าด้วย กลัวว่าถ้าหากข้างกายคุณหนูใหญ่ไม่มีคนอยู่ด้วยจะไม่สะดวก จึงได้ให้บ่าวมาหานี่แหละเจ้าค่ะ บ่าวหาในสวนดอกไม้แล้วรอบหนึ่ง ในที่สุดก็หาคุณหนูใหญ่เจอเสียที ช่วงนี้มีลมพัดแล้ว แม้ว่าเดือนสามอากาศจะค่อยๆ อุ่นขึ้น แต่ลมก็ยังเจือด้วยไอเย็น ให้บ่าวปรนนิบัติคุณหนูกลับไปพักผ่อนที่เรือนทิงอวี่ดีกว่าเจ้าค่ะ”
อวิ๋นเชียนเมิ่งฟังวาจาของเฟิงเอ๋อร์ด้วยมุมปากอมยิ้ม เห็นความเร็วในการพูดของสาวใช้ผู้นี้ค่อนข้างเร็ว อีกทั้งสายตายังแอบมองไปทางภูเขาจำลองที่อยู่เยื้องไปทางด้านหลังบ่อยๆ ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งพลันกระจ่างแจ่มแจ้ง แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดด้วยความลำบากใจ “ที่นี่ทิวทัศน์สวยงามยิ่งนัก มิหนำซ้ำยามลมวสันต์ในเดือนสามพัดปะทะใบหน้าก็นุ่มนวลราวกับมีผ้าไหมไล้ลูบใบหน้า ทัศนียภาพอันน่าสำราญใจถึงเพียงนี้ ไม่ต้องรีบกลับไป นอกจากนั้นข้าเชื่อว่าอีกไม่นานท่านพี่ก็กลับมาแล้ว ข้ารออยู่ที่นี่ก็พอ เจ้าเป็นสาวใช้ที่ปรนนิบัติน้องรอง ถ้าน้องรองเรียกใช้เจ้าจะได้สะดวกมือ ไม่จำเป็นต้องคอยตามอยู่ข้างกายข้า กลับไปเสียเถอะ”
พูดจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็หันกายมุ่งไปยังทิศทางของสวนดอกไม้ สายตาของเฟิงเอ๋อร์ที่ร้อนใจมองกำแพงเตี้ยๆ นั้นแวบหนึ่งอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง จากนั้นก็วิ่งไปเบื้องหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งโดยไม่ต้องคิด เปิดปากเอ่ยห้าม “คุณหนูใหญ่ ท่านกลับไปเรือนทิงอวี่เถิดเจ้าค่ะ”
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าสาวใช้คนหนึ่งกลับกล้าขวางทางตน ทั้งยังเห็นในดวงตาของเฟิงเอ๋อร์มีแต่แววลุกลี้ลุกลน รอยยิ้มที่ดวงตาจึงค่อยๆ เยียบเย็นขึ้น มุมปากเม้มแน่น ส่งเสียงตวาดทันใด “เจ้ามีฐานะอันใด กล้าขวางทางข้าเชียวหรือ! หรือว่าข้าอยากจะไปที่ไหนก็ต้องให้เจ้ามาควบคุม เป็นผู้ใดสั่งสอนกฎระเบียบอย่างนั้นหรือ ถึงได้ปล่อยให้เจ้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ สาวใช้ที่ไม่รู้จักมารยาทเช่นนี้จวนอัครเสนาบดีของข้าไม่ต้องการหรอก กลับไปข้าจะสั่งให้หลิ่วอี๋เหนียงหาพ่อค้าทาสมาพาตัวเจ้าไป”
เฟิงเอ๋อร์คอยติดตามอยู่ข้างกายอวิ๋นรั่วเสวี่ยมาตั้งแต่เด็กจึงเห็นการเปลี่ยนแปลงของอวิ๋นเชียนเมิ่งในระยะนี้อยู่ในสายตาด้วยเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นยังเห็นว่าแม้แต่ซูชิงก็ยังเสียเปรียบในเงื้อมมือของอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ตอนรับมือกับอวิ๋นเชียนเมิ่งเมื่อครู่จึงระแวดระวังมากกว่าทุกครา
ทว่าก็ยังถูกอวิ๋นเชียนเมิ่งจับผิดจนได้ เห็นเพียงยามนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งสีหน้าเคร่งขรึม ประกายเย็นเยียบปรากฏวาบในดวงตาพาให้คนบังเกิดความหวาดหวั่นในใจ โดยเฉพาะเมื่อครู่นางยังเอ่ยถึงพ่อค้าทาสที่เหล่าบ่าวรับใช้หวาดกลัวเป็นที่สุด พร้อมทั้งนึกถึงหงเซียงที่ก่อนหน้านี้ถูกพ่อค้าทาสเอาตัวไปเพราะวิ่งชนคุณหนูใหญ่ ทำให้เฟิงเอ๋อร์ที่ฉลาดหลักแหลมลนลานขึ้นมาทันใด รีบคุกเข่าให้อวิ๋นเชียนเมิ่งทันที ดึงมุมกระโปรงอีกฝ่ายพลางพูดอ้อนวอน “คุณหนูใหญ่ เป็นความผิดของบ่าวเองเจ้าค่ะ ขอร้องคุณหนูอย่าไล่บ่าวออกไปเลยนะเจ้าคะ ที่บ้านบ่าวยังมีพ่อแม่ต้องเลี้ยงดู ขอร้องคุณหนูใหญ่โปรดสงสารบ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
อวิ๋นเชียนเมิ่งมองความผิดปกติในลานบ้านแห่งนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรกแล้ว ไหนเลยจะหลงกลนาง จึงไม่สนใจเฟิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างเท้าอีก มุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้ต่อไป เฟิงเอ๋อร์ไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะเดินไปข้างนอกทั้งๆ ที่ตนเองขวางกั้นอยู่ ร่างที่หมอบอยู่กับพื้นลุกขึ้นถลาไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งทันใด แต่หารู้ไม่ว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งเตรียมการระวังเอาไว้แล้ว นางเบี่ยงกายหลบ ซ้ำยังผลักเฟิงเอ๋อร์ไปทางภูเขาจำลอง
“อะไรนะ พั่นหลันเจ้าพูดว่าอะไรนะ ท่านพี่ถูกบุรุษขวางทางเอาไว้ที่ลานด้านหลังหรือ!” ยามนี้พวกชวีหลิงเอ้าสามีภรรยาพาบุตรธิดาทั้งสองมาร่วมรับประทานอาหารกับแขกเหรื่อที่มาร่วมอวยพรที่ลานด้านหน้า แต่ทางฝั่งโต๊ะจัดเลี้ยงของสตรี อวิ๋นรั่วเสวี่ยที่เดิมทีกำลังทานอาหารอย่างเงียบๆ หลังจากได้ฟังคำรายงานของพั่นหลันสาวใช้ประจำตัวก็ถึงกับยืนขึ้น ย้อนถามสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ตนเสียงดังอย่างลืมตัว
ซูหยวนที่นั่งอยู่ไกลออกไปก็ลุกยืนขึ้นเช่นกัน ประสานมือคำนับให้ชวีหลิงเอ้า จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านโหว รีบไปดูคุณหนูอวิ๋นที่ลานด้านหลังเถิด อย่าให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นอันขาด!”
วาจาของซูหยวนเพิ่งจะสิ้นสุดก็รู้สึกว่าแววเย็นเยือกแผ่ลามขึ้นมาบนร่าง พอมองจ้องไปก็เห็นชวีฉางชิงบุตรชายคนโตของจวนฝู่กั๋วกงกำลังใช้สายตาเย็นชาถึงขีดสุดจ้องมองเขา แม้ชวีฉางชิงอายุเพียงแค่สิบแปด แต่อย่างไรเขาก็เป็นนักรบที่ตะลุยโรมรันกับข้าศึกในสนามรบมาแล้ว ไอสังหารบนร่างจึงมีแต่มากกว่า ไม่มีน้อยกว่าซูหยวน ในความเย็นชาปราดนั้นระคนด้วยไอสังหารรุนแรง ทำให้ซูหยวนหัวใจพลันสะดุ้งเฮือก แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งทำให้เยวี่ยเอ๋อร์ของเขาสูญเสียโอกาสที่จะได้เป็นพระสนม ซูหยวนย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะได้ทำลายชื่อเสียงอวิ๋นเชียนเมิ่งให้ป่นปี้ไปแน่นอน
ทุกคนได้ยินวาจาของซูหยวนมีเหตุมีผลจึงพากันพยักหน้า ในสายตาของทุกคนล้วนฉายแววสะใจในคราวเคราะห์ของผู้อื่น เกรงว่าบรรดาฮูหยิน คุณหนู ขุนนาง และพวกผู้สูงศักดิ์ที่วันๆ ไม่มีอะไรให้ทำเหล่านี้คงจะชอบดูคนอื่นขายขี้หน้าเป็นที่สุด
จี้ซูอวี่กับชวีเฟยชิงก็ขมวดคิ้วมองชวีหลิงเอ้า รอคอยให้เขาตัดสินใจ
ชวีหลิงเอ้ารู้ดีว่าคนสกุลซูวางกับดักเล่นงานอวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่ตอนนี้ทุกคนกำลังจับจ้องอยู่ หากเขาเข้าข้างนางมากเกินไป เกรงว่าต่อให้ไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น แต่ต่อไปในใจทุกคนก็คงคิดว่านี่เป็นเรื่องจริง
แผนรับมือในตอนนี้ก็มีเพียงพาทุกคนมุ่งหน้าไปยังลานด้านหลัง ปล่อยให้ความจริงได้เป็นฝ่ายพูด
วันนี้ทุกคนในครอบครัวตนล้วนงานยุ่งอยู่ที่ลานด้านหน้าและเรือนรุ่ยหลินของมารดา ลานด้านหลังจึงกลายเป็นที่ที่ปล่อยให้คนสบโอกาสได้ง่าย หากพวกซูหยวนสร้างสถานการณ์ขึ้นมา เกรงว่าชื่อเสียงทั้งชีวิตของอวิ๋นเชียนเมิ่งคงจะป่นปี้ย่อยยับจริงๆ
ทันใดนั้นนัยน์ตาที่แต่ไหนแต่ไรมาแม้จะเผชิญอันตรายก็ไม่เคยลนลานของชวีหลิงเอ้าพลันปรากฏแววลังเลวาบผ่านอย่างรวดเร็ว แต่ในตอนนี้เองชวีฉางชิงกลับพยักหน้าให้ชวีหลิงเอ้า จากนั้นจึงเห็นชวีหลิงเอ้าเอ่ยเสียงต่ำลึก “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนฮูหยินทุกท่านเป็นพยานให้แก่หลานสาวของข้า คืนความบริสุทธิ์ให้แก่เมิ่งเอ๋อร์”
บรรดาฮูหยินแต่ละคนล้วนสีหน้าตื่นเต้น วางชามตะเกียบในมือลงแล้วลุกขึ้นยืนทันที ตามพวกชวีหลิงเอ้าไปยังลานด้านหลัง
ส่วนพั่นหลันที่เมื่อครู่เดินมารายงานกลับรับบทเป็นผู้นำทาง สีหน้าเจือแววยินดีพลางพาคนกลุ่มหนึ่งเดินเอิกเกริกเข้าไปใกล้ภูเขาจำลองลูกนั้นอย่างรวดเร็ว
“ทุกท่านดูสิเจ้าคะ ในนั้นมีเงาคนสองคนใช่หรือไม่” ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปในภูเขาจำลอง พั่นหลันก็บอกแจ้งแก่คนที่อยู่ด้านหลังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ฮูหยินเหล่านั้นเห็นหลังภูเขาจำลองปรากฏเงาร่างคนจริงๆ สายตาต่างพากันมองไปทางพวกชวีหลิงเอ้าสามีภรรยาทันที
สำหรับสายตาประณามของทุกคน คนสกุลชวีทั้งสี่รวมถึงมู่ชุนกลับสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน สี่คนนั้นสีหน้าแน่วแน่ เชื่อมั่นว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่มีทางทำเรื่องเสื่อมเสียพรรค์นี้เด็ดขาด
ทุกคนได้ยินเพียงชวีหลิงเอ้าตวาดเสียงดัง “ใครก็ได้มัดตัวคนที่อยู่หลังภูเขาจำลองมาให้ข้า!”
เหล่าองครักษ์ของจวนอ๋องเดินเข้าไปทันที พุ่งไปหลังภูเขาจำลองด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ มัดตัวคนทั้งสองที่แอบซ่อนอยู่ด้านในมาไว้ต่อหน้าทุกคน
พอทุกคนมองดูก็เห็นเพียงชายหญิงคู่นี้ต่างเหลือเพียงอาภรณ์ตัวกลาง เรือนร่างของหญิงสาวคล้ายคลึงกับอวิ๋นเชียนเมิ่ง ยามนี้สาบเสื้อถูกเปิดแบออกเผยให้เห็นเอี๊ยมสีชมพูลายนกยวนยาง* เล่นน้ำซึ่งอยู่ภายใน ส่วนตรงคอของชายหนุ่มมีรอยกรีดที่คล้ายกับรอยเล็บ แม้แต่กางเกงและผ้าคาดเอวก็มิได้ผูกปม ทั้งสองผมเผ้ายุ่งเหยิงปิดหน้าปิดตาเช่นเดียวกัน แม้ถูกมัดตัวแน่นก็ยังคงหลับอยู่ ดูท่าทางเมื่อครู่ทั้งสองคงเพิ่งจะเสร็จกิจไปหนึ่งยก มิเช่นนั้นคงไม่เหนื่อยล้าถึงเพียงนี้
อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นเช่นนี้จึงรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากร่ำไห้เสียงดัง “ท่านพี่นี่นะ ไฉนถึงได้โง่เง่าเช่นนี้ ต่อให้ถูกถอนหมั้น แต่จะดูถูกตนเองเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ท่านลักลอบมีสัมพันธ์กับผู้อื่นแบบนี้ ชาตินี้ทั้งชาติคงโงหัวไม่ขึ้นแล้ว ท่านจะให้ข้าอธิบายกับท่านพ่ออย่างไรเล่า!”
ในหูของฮูหยินทุกคนถือว่าการเปล่งวาจาของอวิ๋นรั่วเสวี่ยเป็นการยืนยันแล้วว่าเรื่องที่อวิ๋นเชียนเมิ่งลักลอบมีสัมพันธ์เป็นความจริง ส่วนอวิ๋นรั่วเสวี่ยตอนนี้กลับแสดงวีรกรรมในฐานะน้องสาวที่แสนดี ออกคำสั่งกับองครักษ์จวนโหว “รีบประคองท่านพี่เข้าไปในเรือนทิงอวี่เร็วเข้า อย่าให้ผู้อื่นได้เห็นสภาพเช่นนี้ของท่านพี่”
ทว่าองครักษ์จวนฝู่กั๋วกงหาใช่บ่าวรับใช้ของอวิ๋นรั่วเสวี่ย องครักษ์เหล่านั้นจึงทำหูทวนลมกับวาจาของนาง
ยามนี้เองชวีหลิงเอ้ากลับออกคำสั่งเสียงเย็น “เลิกผมของสองคนนี้ออก ข้าอยากจะดูหน้านักว่าเป็นผู้ใดถึงได้หาญกล้าทำเรื่องสกปรกโสมมเยี่ยงนี้ในจวนฝู่กั๋วกงของข้า”
องครักษ์ผู้นั้นได้รับบัญชาแล้วก็เปิดเส้นผมด้านหน้าของทั้งสองออกทันที เผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นตาสองดวง
ทุกคนในที่นั้นคล้ายกับทอดถอนใจออกมาพร้อมกัน สตรีผู้นี้ไม่ใช่อวิ๋นเชียนเมิ่งสักหน่อย
ในเมื่อไม่ใช่อวิ๋นเชียนเมิ่ง แล้วนางเป็นใคร
“เอ๊ะ นี่มิใช่เพ่ยเอ๋อร์สาวใช้ประจำตัวคุณหนูซูของเจ้ากรมอาญาหรอกหรือ” ตอนนั้นเองมีฮูหยินผู้หนึ่งตาดีจำสาวใช้คนนี้ได้
ชวีหลิงเอ้าได้ยินดังนั้นในดวงตาจึงฉายแววดุดันออกมาวาบหนึ่ง ออกคำสั่งแก่องครักษ์ทันที “พาตัวสองคนนี้ไปสอบสวนให้ละเอียดแล้วค่อยสืบฐานะของทั้งคู่ให้กระจ่าง ข้ารู้สึกสนใจยิ่งนัก อยากจะดูว่าสรุปแล้วเป็นผู้ใดแอบลักลอบนัดพบกันโดยไม่ดูสถานที่”
จี้ซูอวี่เห็นชวีหลิงเอ้าเกิดโทสะ นางเห็นว่าวันนี้เป็นวันดีจึงกล่าวเตือน “วันนี้เป็นวันดีของกู่เหล่าไท่จวิน ไม่ควรให้เลือดตกยางออก จับทั้งสองไปขังไว้ก่อนเถิด รอให้พ้นวันนี้ไปค่อยสอบสวนก็ยังไม่สาย”
ชวีหลิงเอ้านึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีแขกเหรื่อมากมาย ซ้ำยังเป็นวันเกิดอายุครบหกสิบของมารดาตนเอง จึงสูดหายใจลึกๆ แล้วยอมอ่อนข้อ “จัดการตามวาจาของฮูหยิน!”
องครักษ์น้อมรับบัญชา คุมตัวคนทั้งสองที่ยังคงอยู่ท่ามกลางนิทราเดินไปยังเรือนปีกข้าง
อวิ๋นรั่วเสวี่ยคาดไม่ถึงว่าสตรีที่ลักลอบมีสัมพันธ์ไม่เพียงแต่ไม่ใช่อวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่กลับเป็นเพ่ยเอ๋อร์สาวใช้ใหญ่ข้างกายซูเฉี่ยนเยวี่ย
ทันใดนั้นใบหน้านางก็ไร้สีเลือด รู้สึกเพียงสองขาของตนอ่อนยวบ ไม่เข้าใจว่าเรื่องราวกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร นางถึงกับมองไปทางฝูงคนอย่างงุนงงอยู่บ้าง
ฮูหยินทุกคนกำลังมองอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่ใส่ร้ายป้ายสีพี่สาวตนเองผู้นี้อยู่เช่นกัน ในดวงตาของพวกนางมีแต่แววหยามเหยียด
ส่วนพั่นหลันหลังจากเห็นว่าสตรีผู้นั้นดันกลายเป็นเพ่ยเอ๋อร์ที่คอยอยู่ข้างกายซูเฉี่ยนเยวี่ยก็ตื่นตระหนกตกใจเป็นการใหญ่ เมื่อหันไปสบสายตาของอวิ๋นรั่วเสวี่ย พั่นหลันก็ร่ำร้องในใจว่าแย่แล้ว ขณะกำลังจะเอ่ยแก้ตัว นางก็ถูกอวิ๋นรั่วเสวี่ยตบเข้าฉาดใหญ่อย่างรุนแรง
ฮูหยินเหล่านั้นเห็นภาพเช่นนี้ต่างก็พากันมองอวิ๋นรั่วเสวี่ยด้วยความไม่เข้าใจ
ส่วนพั่นหลันกลับคุกเข่าลงตรงหน้าอวิ๋นรั่วเสวี่ยด้วยความน้อยใจเต็มอก ในดวงตาเอ่อคลอด้วยน้ำตาพลางร้องขอชีวิต “คุณหนูโปรดไว้ชีวิตด้วยเจ้าค่ะ บ่าวดูผิดไปเอง เพ่ยเอ๋อร์รูปร่างคล้ายกับคุณหนูใหญ่ ซ้ำยังไม่มีคนอื่นคอยติดตามอยู่ข้างกาย บ่าวก็เลยคิดว่าเป็นคุณหนูใหญ่ ขอร้องคุณหนูไว้ชีวิตด้วยเถิดเจ้าค่ะ บ่าวมิได้ตั้งใจจริงๆ เจ้าค่ะ”
พูดจบพั่นหลันก็โขกศีรษะให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยอย่างไม่คิดชีวิต หน้าผากขาวราวหิมะนั้นโขกลงบนทางเดินโรยกรวดอย่างหนักหน่วงรุนแรง แค่ครู่เดียวก็เลือดตกยางออกแล้ว
อวิ๋นรั่วเสวี่ยในยามนี้กลับสีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าควรจะร้องขอชีวิตกับท่านลุงต่างหาก! วันนี้เจ้าเกือบจะให้ร้ายจนท่านพี่สูญเสียความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทำให้จวนฝู่กั๋วกงอับอายขายหน้า อีกทั้งเจ้าทำให้ข้าขายหน้าไม่เหลือแล้ว ยังจะกล้ามีหน้ามาขอความเมตตาจากข้าอีกหรือไร”
สั่งสอนพั่นหลันเสร็จ อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็หันไปหาพวกชวีหลิงเอ้า กล่าวด้วยท่าทางราวดอกหลีฮวาต้องหยาดน้ำตา “ท่านลุง ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของสาวใช้คนนี้ หากท่านอยากตีอยากลงโทษ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่คัดค้านใดๆ แต่ในใจเสวี่ยเอ๋อร์ยังรู้สึกผิด อยากจะไปที่เรือนทิงอวี่เพื่อขอโทษท่านพี่ด้วยตนเองเจ้าค่ะ”
ยามนี้ชวีเฟยชิงก็ค่อยๆ ได้สติกลับคืนมาแล้ว เห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยลืมตาพูดคำโกหกได้หน้าด้านๆ เช่นนี้จึงแค่นเสียงเย็นชากล่าวด้วยวาจาเจือแววเสียดสี “เกรงว่านี่คงจะเป็นแผนร้ายที่มีคนตั้งใจวางแผนมาเป็นอย่างดีกระมัง ยามนี้คุณหนูอวิ๋นคงจะไปปลอบใจคุณหนูซูที่ถูกสาวใช้ทำให้เดือดร้อนไปด้วยที่ห้องรับรองแล้วล่ะ”
อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นว่าความคิดของตนถูกมองออกทะลุปรุโปร่ง ในใจก็พลันเดือดดาลแต่กลับทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ชี้พั่นหลันพร้อมกับพูดดุด่าต่อ “นางบ่าวชั่ว ทุกทีก็ชอบทำเรื่องจับลมคว้าเงา* วันนี้กลับก่อเรื่องในงานสำคัญแบบนี้ คอยดูนะว่าพอกลับไปข้าจะถลกหนังเจ้าอย่างไร!”
จี้ซูอวี่เห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยยังไม่หยุดเล่นละคร ในใจรู้สึกรำคาญอยู่นานแล้ว จึงยิ้มพลางเอ่ยกับฮูหยินทุกท่าน “ให้ทุกท่านเห็นเรื่องตลกแล้ว เรื่องราวในวันนี้เกิดขึ้นกะทันหัน ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเดี๋ยวนี้พวกสาวใช้จะใจกล้าเช่นนี้ ฮูหยินทุกท่านก็ต้องป้องกันระวังเอาไว้เช่นเดียวกัน หากบ่าวบ้านตนเองก่อเรื่องยังสามารถจัดการได้ แต่บ่าวจวนผู้อื่นก่อเรื่องขึ้นในบ้านตน ช่างชวนให้ปวดหัวจริงๆ”
ฮูหยินเหล่านั้นเห็นจี้ซูอวี่พูดอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งจึงพากันพยักหน้าสำทับ
ชวีเฟยชิงเพิ่งจะก้าวเข้าเรือนทิงอวี่ของตนก็เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งมือหนึ่งถือหนังสือปกิณกะนั่งอยู่ข้างโต๊ะพร้อมกับตั้งอกตั้งใจอ่านจึงเอ่ยขำๆ “ข้างนอกโกลาหลวุ่นวาย แต่ผู้เกี่ยวข้องอย่างเจ้าสบายใจเฉิบอย่างกับคนไม่มีเรื่องมีราว ซ้ำยังมีแก่ใจมาอ่านหนังสืออีก”
อวิ๋นเชียนเมิ่งวางหนังสือในมือลง ครั้นเห็นชวีเฟยชิงเดินเข้ามาก็ยิ้มบางๆ พลางเอ่ย “เกิดเรื่องอันใดหรือ ท่านพี่เล่าให้เมิ่งเอ๋อร์ฟังหน่อยสิเจ้าคะ”
ชวีเฟยชิงเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งท่าทางสงบนิ่งเยือกเย็น จิตใจนางที่เดิมถูกอวิ๋นรั่วเสวี่ยทำให้โมโหจนเหลืออดพลันสงบตามไปด้วย
อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับปลอบประโลมอารมณ์ที่เดือดดาลมากเกินไปของชวีเฟยชิงด้วยจิตใจสงบราบเรียบ “ท่านพี่ลืมวาจาที่เมิ่งเอ๋อร์พูดก่อนหน้านี้ไปแล้วหรือ พวกเราจะสะดุดขาตนเองให้ศัตรูสบโอกาสได้อย่างไร ท่านโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ทำให้คนอื่นยังคงคิดว่าข้ามีเรื่องอะไรที่พบเจอหน้าผู้คนไม่ได้จริงๆ เพราะอย่างนั้นถึงได้อับอายจนแปรเปลี่ยนเป็นโทสะ เช่นนี้จะไม่เข้าทางแผนร้ายของคนอื่นหรือ”
ชวีเฟยชิงเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งเยือกเย็นปานนี้ ในใจก็เปี่ยมไปด้วยความปลาบปลื้ม แต่เมื่อคิดถึงเล่ห์กลของอวิ๋นรั่วเสวี่ยในวันนี้ก็อดพะวักพะวนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดึงมืออวิ๋นเชียนเมิ่งเข้ามาพร้อมกล่าวอย่างจริงจัง “เมิ่งเอ๋อร์ ข้าว่านะจวนอัครเสนาบดีนั่นมิใช่ที่ที่คนจะอยู่อาศัยได้จริงๆ สู้เจ้าย้ายมาจวนฝู่กั๋วกงดีกว่า ทั้งได้อยู่เป็นเพื่อนข้า ทั้งยังห่างไกลจากคนถ่อยที่คิดแต่จะทำร้ายผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาพวกนั้นด้วย”
แม้ว่ามุมปากอวิ๋นเชียนเมิ่งยังคงอมยิ้ม แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก นางส่ายหน้าให้ชวีเฟยชิงอย่างแน่วแน่ เป็นครั้งแรกที่นางเก็บรอยยิ้มตรงมุมปากต่อหน้าชวีเฟยชิง ก่อนตอบกลับโดยแฝงด้วยน้ำเสียงเย็นชายิ่ง “ขอบคุณในความปรารถนาดีของท่านพี่เจ้าค่ะ แต่ตอนนี้น้องแค่อยากกลับไปอยู่ร่วมกับน้องรองอย่างสนิทสนม”
คำว่า ‘อยู่ร่วมกับน้องรองอย่างสนิทสนม’ ในประโยคสุดท้ายแทบจะถูกเค้นออกมาจากไรฟันของอวิ๋นเชียนเมิ่ง แสดงให้เห็นว่าอารมณ์ของอวิ๋นเชียนเมิ่งตอนนี้เป็นอย่างไร แม้แต่ชวีเฟยชิงซึ่งอยู่อีกด้านก็รู้สึกได้ถึงโทสะที่ส่งมาจากภายในร่างกายนาง โดยเฉพาะยามเห็นสีหน้าที่เด็ดเดี่ยวหาใดเปรียบของอวิ๋นเชียนเมิ่ง นางก็รู้ได้ทันทีว่าในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ตนเองคงโน้มน้าวไม่สำเร็จจึงล้มเลิกความคิดไป
หลังจากชวีหลิงเอ้าจัดการเรื่องร้ายๆ เสร็จสิ้นก็มิได้ย้อนกลับไปที่ลานด้านหน้าในทันที แต่ให้ชวีฉางชิงต้อนรับแขกเหรื่อแทนตนเอง ส่วนตนก็ไปยังเรือนรุ่ยหลินของกู่เหล่าไท่จวินอย่างรวดเร็ว สั่งให้คนไปเรียกอวิ๋นเสวียนจือที่อยู่ด้านในออกมา
“ไม่ทราบว่าท่านโหวมีธุระอันใดหรือ” อวิ๋นเสวียนจือเดินตามเด็กรับใช้ออกมาจากเรือนรุ่ยหลิน เห็นชวีหลิงเอ้ายืนอยู่ข้างนอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพลางมองเขาอย่างเย็นชา ในใจพลันฉงนสนเท่ห์จึงเอ่ยปากถามขึ้น
ชวีหลิงเอ้าแค่นึกถึงเรื่องเมื่อครู่โทสะก็ท่วมท้นหัวใจจึงย่อมไม่ทำสีหน้าดีๆ ใส่อวิ๋นเสวียนจือ อีกทั้งยังแค่นเสียงเย็นชาใส่เขาหนึ่งคำรบ เอ่ยเสียงต่ำลึกดุดัน “ตามข้ามา!”
แม้ว่าอวิ๋นเสวียนจือจะมีตำแหน่งสูงส่งอำนาจมากล้น แต่ที่เขามีฐานะอย่างวันนี้ได้ก็เกี่ยวพันกับจวนฝู่กั๋วกงอย่างแนบแน่น ด้วยเหตุนี้ยามเผชิญหน้ากับพี่ภรรยาคนโตจึงแสดงบารมีขุนนางอย่างเช่นในยามปกติออกมาไม่ได้เป็นธรรมดา โดยเฉพาะยามนี้ชวีหลิงเอ้ามีสีหน้าไม่เป็นมิตร นัยน์ตาที่ยามปกติสูงศักดิ์หาใดเทียมคู่นั้นกำลังเผยแววดูถูกและเย็นชาออกมาอย่างรุนแรง ทำให้อวิ๋นเสวียนจือลอบขมวดคิ้วกับตนเอง ในใจก็ค่อยๆ บังเกิดความไม่พอใจขึ้น
อย่างไรตัวเขาในวันนี้ก็เป็นอัครเสนาบดีของแคว้นแคว้นหนึ่ง เป็นผู้อยู่เหนือขุนนางทั้งปวง แต่ในสายตาคนบ้านเดิมของภรรยาเอกยังคงต้องแสดงบทบาทเชื่อฟัง ถูกเรียกก็มาถูไล่ก็ไป ทำให้อวิ๋นเสวียนจือพลันรู้สึกว่าไร้ศักดิ์ศรียิ่ง คิดว่าจวนฝู่กั๋วกงอาศัยอำนาจบารมีรังแกผู้อื่นมากเกินไปแล้ว
ถึงแม้ในใจจะไม่พอใจเท่าไรนัก แต่ในสนามขุนนางอวิ๋นเสวียนจือกลับเป็นคนเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก แค่เรื่องเล็กๆ อย่างการปกปิดอารมณ์ของตนเองย่อมทำได้ดั่งใจนึกอยู่แล้ว
อวิ๋นเสวียนจือจึงใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนน้อม ตามอยู่ด้านหลังชวีหลิงเอ้าอย่างพินอบพิเทา
เมื่อมาถึงเรือนชิงซง ชวีหลิงเอ้าก็ตวาดไล่บริวารที่ตามมาทุกคนออกไปทันที ก่อนปิดประตูใหญ่ของห้องหนังสือ สนทนากับอวิ๋นเสวียนจืออยู่ด้านในถึงครึ่งชั่วยาม
ยามอวิ๋นเสวียนจือเดินออกมาจากเรือนชิงซง ทุกคนเห็นเพียงสีหน้าเขียวคล้ำและหัวคิ้วที่ขมวดแน่นเข้าหากันของเขา ต่อให้เขาพยายามระงับโทสะทั่วทั้งร่างอย่างสุดกำลังแล้ว แต่คนอื่นๆ แค่เห็นก็มองออกทันที
อวิ๋นรั่วเสวี่ยกำลังคิดจะบอกให้พั่นหลันแอบไปตามหาเฟิงเอ๋อร์อย่างเงียบๆ ทว่ากลับเห็นอวิ๋นเสวียนจือเดินเข้ามาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ครั้นถูกดวงตาทั้งสองข้างของบิดาที่มีเพลิงโทสะพุ่งเทียมฟ้ากวาดมอง อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ตื่นตกใจจนผ้าเช็ดหน้าที่บีบอยู่ในมือร่วงหล่นลงทันใด นางไม่มีท่าทางโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างเมื่อครู่อีกแล้ว แต่กลับรีบลุกขึ้นยืนด้วยความสะพรึงกลัว ก่อนจะยอบกายคำนับอวิ๋นเสวียนจือที่เดินมาถึงตรงหน้านาง เอ่ยเรียกเสียงเบา “ท่านพ่อ”
สองมือของอวิ๋นเสวียนจือไพล่อยู่ด้านหลัง มองดูท่าทางว่านอนสอนง่ายที่ใช้รับมือตนเองในตอนนี้ของอวิ๋นรั่วเสวี่ย วาจาที่ชวีหลิงเอ้ากล่าวกับตนเมื่อครู่ดังขึ้นในสมองอีกครั้ง เขารู้สึกเพียงว่าเพลิงโทสะโถมกระหน่ำในอกอย่างไม่ขาดสาย สองมือที่ไพล่อยู่ด้านหลังออกแรงกำแน่นไม่หยุด อดทนข่มกลั้นไม่ให้ตบหน้าอวิ๋นรั่วเสวี่ยต่อหน้าธารกำนัลอย่างที่สุด
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าบุตรสาวคนรองที่ตนเองประคองให้เติบใหญ่บนอุ้งมือกลายเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ลงมือไม่เลือกวิธีการเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร
ถึงแม้จะเป็นเพราะชวีรั่วหลี ที่ผ่านมาตนเองจึงชอบบุตรสาวคนโตอย่างอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่ลง แต่ในเมื่อบัดนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นั่นก็คือบุตรสาวของเขาอวิ๋นเสวียนจือ
บุตรสาวคนโตผู้นี้ฐานะสูงศักดิ์ ในภายภาคหน้าคงจะมีบุพเพสันนิวาสที่ดี แต่ไม่เคยคิดเลยว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยจะอิจฉาริษยาอวิ๋นเชียนเมิ่งถึงเพียงนี้ ถึงกับสร้างเรื่องแสดงละครจนเกือบจะทำลายชื่อเสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่ง และเกือบจะทำให้ตนเองสูญเสียบุตรสาวดีๆ ไปหนึ่งคน
อวิ๋นเสวียนจือยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธเกรี้ยว สองมือสั่นเทิ้มขึ้นมาเบาๆ อย่างห้ามไม่อยู่ นัยน์ตาที่ปกติเมื่อเห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็มักจะแย้มยิ้มคู่นั้นยามนี้กลับยิ่งอึมครึมจนน่าหวาดกลัว ทั่วทั้งร่างแผ่กระจายไอสังหารดุดันเฉกเช่นยามอยู่ในราชสำนักโดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องพูดถึงว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่อยู่ตรงหน้าเขาตกใจกลัวจนใบหน้าซีดขาวไปแล้ว แม้แต่บรรดาฮูหยินและคุณหนูที่เมื่อครู่วิพากษ์วิจารณ์กระซิบกระซาบเรื่องหลังบ้านของจวนอัครเสนาบดีเหล่านั้น แต่ละคนต่างก็พากันก้มหน้าต่ำไม่กล้าเอ่ยถ้อยคำใดๆ อีก
“ท่านพ่อ น้องรอง” ตอนนี้เองอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับเดินจูงมือชวีเฟยชิงออกมาจากลานด้านหลัง ขณะที่มองเห็นอวิ๋นเสวียนจือกับอวิ๋นรั่วเสวี่ย อวิ๋นเชียนเมิ่งใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ อย่างสุภาพเรียบร้อยพลางเดินมาหาทั้งสองอย่างเชื่องช้า
หลังจากอวิ๋นเสวียนจือเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งมาถึงเบื้องหน้าตนโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่ปลายผม เส้นลวดที่ขึงแน่นในหัวใจก็ค่อยๆ คลายลงเล็กน้อย ทว่ายามเขาเห็นนิ้วที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลเป็นชั้นๆ หัวคิ้วก็มุ่นขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม กล่าวระคนความห่วงใย “เมิ่งเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร”
อวิ๋นเชียนเมิ่งหลุบม่านตาลงตามวาจาของบิดา มองนิ้วมือข้างซ้ายของตนเองแวบหนึ่ง จากนั้นช้อนนัยน์ตาทั้งสองข้างมองไปทางอวิ๋นรั่วเสวี่ยอย่างอบอุ่น ตอบกลับอย่างเรียบเฉยทว่าแฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง “ก่อนหน้านี้ตอนลูกเตรียมงานเลี้ยงให้ท่านยายแต่ไม่ระวังถูกมีดบาดนิ้วเจ้าค่ะ ท่านพี่ไม่วางใจ ดังนั้นหลังจากลูกทำอาหารให้ท่านยายทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วจึงให้ท่านหมอตรวจดูนิ้วของลูกเพื่อมิให้บาดเจ็บไปถึงเส้นเอ็นและกระดูกเจ้าค่ะ”
ครั้นวาจานี้ถูกเปล่งออกมา อวิ๋นรั่วเสวี่ยพลันใบหน้าไร้สีเลือด ยิ่งก้มหน้าต่ำไม่กล้าสบตามองอวิ๋นเชียนเมิ่ง
แขกเหรื่อที่ลานด้านหน้าต่างเข้าใจขึ้นมาโดยพลัน พากันลอบถอนหายใจว่าความกตัญญูของคุณหนูใหญ่จวนอัครเสนาบดีกลับนำมาซึ่งการปั้นเรื่องใส่ร้ายของน้องสาวที่มีเจตนาไม่ดี
ทว่าอวิ๋นเสวียนจือที่ได้ยินวาจาเหล่านี้ของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ยามนี้ใบหน้าได้ดำมืดลงโดยสมบูรณ์ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจดจ้องอวิ๋นรั่วเสวี่ยเขม็ง กล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “กลับจวน!”
จากนั้นก็พาอวิ๋นเชียนเมิ่งและอวิ๋นรั่วเสวี่ยก้าวออกไปจากจวนฝู่กั๋วกงอย่างเร่งรีบ ฮูหยินผู้เฒ่าที่ตามมาทีหลังพาหลานสาวอีกสองคนมาด้วย ครั้นเห็นบุตรชายสีหน้าย่ำแย่จึงแอบร่ำร้องในใจว่าแย่แล้ว ได้แต่เอ่ยอำลาจี้ซูอวี่สองสามประโยคแล้วก้าวขึ้นไปบนรถม้าของจวนอัครเสนาบดีด้วยความร้อนรน
รถม้าบึ่งตรงไปยังจวนอัครเสนาบดี พ่อบ้านจ้าวและบ่าวรับใช้ทุกคนรออยู่ที่หน้าประตูตั้งนานแล้ว อวิ๋นเสวียนจือลงจากรถม้าด้วยดวงตาเปี่ยมแววดุร้าย แม้แต่เกี้ยวที่ถูกเตรียมเอาไว้แล้วก็ไม่นั่ง เดินไปยังลานด้านหลังด้วยตนเอง
“ยังไม่รีบไสหัวเข้ามาอีก!” มือหนึ่งผลักประตูใหญ่ของศาลบรรพชน พออวิ๋นเสวียนจือหันหน้ากลับมาก็ตะคอกใส่อวิ๋นรั่วเสวี่ยเสียงดัง ดวงตาที่ถลนออกมาเล็กน้อยคู่นั้นเต็มไปด้วยความผิดหวังที่มีต่ออวิ๋นรั่วเสวี่ย ต่อให้หลับฝันเขาก็คิดไม่ถึงว่าตนเองจะได้ให้กำเนิดลูกสาวโง่เง่าร้ายกาจเช่นนี้
“คุกเข่าลง!” อวิ๋นรั่วเสวี่ยเพิ่งจะเข้ามาในศาลบรรพชน เสียงตวาดด้วยโทสะของอวิ๋นเสวียนจือก็ดังขึ้นข้างหู ทำให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยตกใจกลัวจนคุกเข่าลงเสียงดังตรงหน้าป้ายวิญญาณบรรพบุรุษโดยทันที
วันนี้อวิ๋นรั่วเสวี่ยทำเลยเถิดเกินไปจริงๆ แต่ก่อนไม่ว่านางกับซูชิงจะรังแกอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างไร อวิ๋นเสวียนจือล้วนทำเป็นมองไม่เห็น เพราะอย่างไรตอนนั้นก็อยู่ในจวนอัครเสนาบดี ต่อให้คนภายนอกรู้ว่าเขาโปรดปรานอี๋เหนียง แต่ก็ไม่มีใครทราบสถานการณ์อย่างละเอียด
ทว่าวันนี้อวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับใส่ร้ายอวิ๋นเชียนเมิ่งที่จวนฝู่กั๋วกงอย่างโจ่งแจ้ง ถึงขนาดทำให้ตนเองถูกชวีหลิงเอ้าเรียกไปต่อว่าอย่างรุนแรงในห้องหนังสือ ทำให้ตนเองอับอายขายหน้า นี่จะมิให้อวิ๋นเสวียนจือโมโหได้อย่างไร
มิหนำซ้ำตอนนี้เรื่องนี้แพร่กระจายไปอย่างกับไฟลามทุ่ง แม้ว่าสุดท้ายแล้วคนที่ลักลอบมีสัมพันธ์คือสาวใช้จวนสกุลซู แต่เรื่องที่หลังบ้านจวนอัครเสนาบดีไม่ปรองดอง พี่น้องไม่ลงรอยกันก็ถูกผู้คนเอาไปพูดกันทั่วแล้ว ต่อไปจะให้เขาบัญชาการขุนนางทั้งหลายได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นอวิ๋นเสวียนจือยังวาดหวังว่าบุตรสาวทั้งสามจะได้แต่งให้กับเชื้อพระวงศ์ แต่วันนี้อวิ๋นรั่วเสวี่ยเกือบจะทำลายอวิ๋นเชียนเมิ่ง จะให้เขาดูนางเที่ยวก่อความวุ่นวายอย่างนี้ต่อไปได้อย่างไร
ซูชิงที่ตัวอยู่ในเรือนเฟิงเหอยามนี้ก็ร้อนอกร้อนใจไม่หยุดเช่นกัน เมื่อครู่พ่อบ้านจ้าวแอบส่งคนมารายงานว่าอวิ๋นเสวียนจือพาพวกคุณหนูไปที่ศาลบรรพชนด้วยสีหน้าย่ำแย่ หลังจากนั้นพั่นหลันก็กลับมาอธิบายเรื่องราวในวันนี้ ยิ่งทำให้ซูชิงตื่นตระหนก เหงื่อเย็นๆ ผุดทั่วร่าง เลิกผ้าห่มออกหมายจะรีบรุดไปยังศาลบรรพชน ทว่าถูกแม่นมหวังขวางเอาไว้
“ฮูหยิน ตอนนี้ท่านไปไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ คุณหนูรองวางแผนเล่นงานคุณหนูใหญ่ เดิมก็เป็นแค่เรื่องพี่น้องทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่ถ้าท่านไปไม่เท่ากับบอกทุกคนว่าท่านมีส่วนกับเรื่องนี้หรือเจ้าคะ พอถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่คุณหนูรองเลย แม้แต่ท่านก็หนีไม่พ้นด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ท่านกำลังตั้งครรภ์คุณชายน้อยนะเจ้าคะ ท่านหมอกำชับเอาไว้แล้วว่าให้ท่านสงบใจบำรุงครรภ์ จะให้เกิดปัญหาอีกไม่ได้เป็นอันขาดนะเจ้าคะ”
ซูชิงได้ฟังเรื่องของอวิ๋นรั่วเสวี่ยจึงพลันลนลานเพราะความห่วงใย แต่พอตอนนี้ได้ฟังแม่นมหวังวิเคราะห์เช่นนี้ สองมือก็ลูบบนท้องน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ แล้วจึงพยักหน้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะถูกแม่นมหวังประคองขึ้นเตียงอีกครั้ง
ทางฝั่งอวิ๋นเสวียนจือกลับถลาเข้าไปตะคอกใส่พวกแม่นมด้วยสายตาชิงชัง “ยังไม่รีบลากออกไปอีก!”
แม้ว่าแม่นมสองสามคนนั้นจะไม่กล้าทำให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยบาดเจ็บ แต่เมื่อเทียบกับการฝ่าฝืนคำสั่งของอวิ๋นเสวียนจือ ก็ได้แต่ต้องล่วงเกินอวิ๋นรั่วเสวี่ยแล้ว คนหลายคนดึงตัวอวิ๋นรั่วเสวี่ยพลางลากนางไปยังแท่นลงโทษแล้วกดให้นางนอนคว่ำลงด้านบน จากนั้นก็หยิบแส้ฟาดไปยังแผ่นหลังของนาง
“โอ๊ย!” ทันใดนั้นเสียงร้องน่าสังเวชของอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ดังขึ้นภายในศาลบรรพชน แต่ยามนี้อวิ๋นเสวียนจือกินลูกตุ้มตาชั่งทำใจแข็งเพื่อจะสั่งสอนอวิ๋นรั่วเสวี่ย ต่อให้นางร้องโหยหวนแค่ไหน ดวงตาเขาก็ไม่กะพริบด้วยความเห็นอกเห็นใจแม้แต่นิดเดียว
อวิ๋นเสวียนจือเดินไปตรงหน้าอวิ๋นรั่วเสวี่ย เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าจำเอาไว้ให้ดี จำใส่สมองเอาไว้ให้ดี! อย่าเอาแต่ทำตัวไร้เหตุผลไปวันๆ หาเรื่องให้คนเกลียดชังโดยใช่เหตุ!”
อวิ๋นรั่วเสวี่ยกำลังนอนคว่ำอยู่จึงมองไม่เห็นสีหน้าของอวิ๋นเสวียนจือ แต่ความเย็นชาในน้ำเสียงของอีกฝ่ายตอนนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน และความเจ็บปวดบนแผ่นหลังก็ยิ่งย้ำเตือนว่าต่อให้ปกตินางได้รับความเอ็นดูแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้อวิ๋นเสวียนจือเสียศักดิ์ศรีต่อหน้าคนนอกได้ มิเช่นนั้นคนที่เสียเปรียบก็คือตัวนางเอง
พอคิดได้เช่นนี้อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็สงบลง ไม่ดิ้นรนไม่ร้องโอดโอยอีกต่อไป กัดริมฝีปากล่างแน่นปล่อยให้แส้ฟาดลงบนแผ่นหลัง
อวิ๋นเสวียนจือเห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยสงบนิ่งลง ทั้งยังเห็นเสื้อตรงแผ่นหลังของนางค่อยๆ มีโลหิตซึมออกมาจึงส่งสายตาให้แม่นมที่เป็นผู้ลงโทษ บอกให้นางหยุดมือ แล้วสั่งให้คนแบกอวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับเรือนเฟิงเหอ
สุ่ยเอ๋อร์และปิงเอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่ในเรือนฉี่หลัวได้เตรียมน้ำร้อนไว้ให้อวิ๋นเชียนเมิ่งอาบเรียบร้อยแล้ว เดิมทีอวิ๋นเชียนเมิ่งอยากให้มู่ชุนออกไปพักผ่อน แต่มู่ชุนใช้เหตุผลว่านิ้วของอวิ๋นเชียนเมิ่งได้รับบาดเจ็บ ต้องปรนนิบัติอวิ๋นเชียนเมิ่งถอดอาภรณ์ตัวนอกก่อนถึงจะยอมออกจากห้อง
“ตายแล้ว!” พอปลดอาภรณ์ตัวนอกออก อวิ๋นเชียนเมิ่งก็เดินไปหลังฉากกั้น ทว่าได้ยินเสียงร้องตื่นตระหนกเบาๆ ของมู่ชุนจึงหยุดถอดอาภรณ์ตัวในแล้วถามขึ้น
“เกิดเรื่องอันใด”
“เป็นบ่าวเสียมารยาทเองเจ้าค่ะ แต่ว่าแขนเสื้อของคุณหนูเปื้อนรอยเลือด โชคดีที่อยู่ด้านใน มิเช่นนั้นหากถูกคนนอกเห็นเข้าก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปพูดอย่างไรบ้าง” มู่ชุนนำเสื้อผ้าโปร่งที่เปื้อนเลือดกับกระโปรงยาวแยกวางไว้ด้วยกันต่างหาก แล้วจึงยอบกายให้อวิ๋นเชียนเมิ่ง ก้าวออกจากห้องอย่างแผ่วเบา
วาจาของมู่ชุนกลับเตือนสติอวิ๋นเชียนเมิ่ง ฉู่เฟยหยางคงจะสังเกตเห็นมือตนเองและเห็นรอยเลือดบนแขนเสื้อกระมัง อย่างไรตอนที่อยู่ในห้องอุ่นของกู่เหล่าไท่จวิน ตนเองก็อยู่ใกล้กับฉู่อ๋องและฉู่เฟยหยางที่สุด
ถึงแม้นี่จะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าฉู่เฟยหยางผู้นี้สังเกตการณ์ละเอียดถี่ถ้วน ต้องเป็นคนที่มีความรอบคอบระมัดระวังเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่เข้าตาท่านหญิงไห่เถียนได้หรอก
ทว่าสิ่งที่ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งสับสนจริงๆ ก็คือวันนี้ตอนที่ตนเองถูกเฟิงเอ๋อร์เล่นงาน เหตุใดฉู่เฟยหยางกับเฉินอ๋องถึงปรากฏตัวออกมาพร้อมกันได้
โดยเฉพาะยามที่เฉินอ๋องเห็นหยวนชิ่งโจวพุ่งมาหาตนด้วยท่าทางเมาแอ๋ สีหน้านั้นดำทะมึนราวกับก้นกระทะ อีกทั้งลงมือต่อยหยวนชิ่งโจวที่ใบหน้าฉายแววราคะจนสลบทันที ก่อนจะหิ้วคอเสื้อหยวนชิ่งโจวหายไปในลานด้านหลัง
ส่วนฉู่เฟยหยางก็ยิ่งทำให้คนเดาใจไม่ถูก ทั้งๆ ที่จากไปแล้ว ไฉนถึงโผล่มาอยู่ต่อหน้านางอีกครั้งได้ ซ้ำเขายังตบเฟิงเอ๋อร์ที่คิดจะตะโกนร้องเสียงดังจนสลบไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ให้คนมาพาตัวเฟิงเอ๋อร์ไป
คิดๆ ดูแล้วตอนที่สาวใช้จวนสกุลซูลักลอบนัดพบกับบุรุษต้องเป็นการจัดของฉู่เฟยหยางแน่นอน เพราะอย่างไรตอนนั้นความสนใจของเฉินอ๋องก็ถูกหยวนชิ่งโจวช่วงชิงไปแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้คุณชายคนโตของจวนหานกั๋วกงผู้นี้ก่อเรื่องขายขี้หน้าอีก เขาคงจะส่งตัวหยวนชิ่งโจวกลับจวนหานกั๋วกงด้วยตนเองแน่ๆ
ในขณะที่ตนหันกายหมายจะจากไป ฉู่เฟยหยางกลับเอ่ยถามเบาๆ จากด้านหลัง “การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้เป็นเพราะเหตุใดหรือ”
แค่ประโยคเดียวก็แทบจะทำให้ฝีเท้านางยุ่งเหยิงได้ นางเกือบจะลืมตัวเสียมารยาทต่อหน้าฉู่เฟยหยาง ซ้ำยังรู้สึกว่าแผ่นหลังถูกเกาะติดด้วยแววตาสืบเสาะสองสาย ทำให้นางไม่กล้ารั้งอยู่ตรงหน้าบุรุษผู้นั้นอีก
อวิ๋นเชียนเมิ่งมองดูไอร้อนที่ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นในถังอาบน้ำ มือขวากำหมัด ทุบลงบนผิวหน้าที่อุ่นร้อนเบาๆ นัยน์ตาที่เยือกเย็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรฉายแววหงุดหงิดวาบผ่าน ริมฝีปากแดงบู้ขึ้นน้อยๆ อย่างดื้อรั้น คิ้วงามขมวดเข้าด้วยกันเบาๆ อดไม่ได้ที่จะแอบด่าตนเองในใจว่าไร้ความสามารถ
แค่คำถามเบาๆ ประโยคเดียวของฉู่เฟยหยาง ไยนางต้องถือเป็นจริงเป็นจังจนเกินไปด้วย หรือยังกลัวว่าฉู่เฟยหยางจะกล่าวหาว่านางเป็นสัตว์ประหลาดที่ย้อนเวลามาเกิดใหม่ ถูกคนอื่นจับมัดขึ้นลานประหารแล้วเผาให้ตายอย่างนั้นหรือ
หยาดน้ำหยดหนึ่งกระเซ็นลงบนพวงแก้มอวิ๋นเชียนเมิ่ง สัมผัสเย็นวาบทำให้นางกลับคืนสู่ความสงบเยือกเย็น แต่ก็อดกำชับกับตนเองอีกครั้งไม่ได้ว่าต่อไปเมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่เฟยหยางต้องระมัดระวังคำพูดและการกระทำมากยิ่งขึ้น บุรุษที่แค่พบหน้ากันไม่กี่ครั้งก็เกิดความสงสัยต่อคนอื่นเช่นนั้นเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ
ทางเรือนเฟิงเหอ ซูชิงมองดูอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่หมดสติถูกคนแบกกลับมาพลันเจ็บปวดหัวใจไม่หยุด สั่งให้พั่นหลันไปเชิญหมอมาทันที ส่วนทางนี้ให้เหลือแม่นมหวังอยู่ในห้องเพียงคนเดียว ทั้งสองช่วยกันถอดเสื้อตัวนอกให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยอย่างระมัดระวัง ยามเห็นแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยแส้ ซูชิงก็พลันร่ำไห้ดุจสายฝน เปลี่ยนอาภรณ์ตัวในและตัวนอกพร้อมกับป้อนยาให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยด้วยตนเอง
แต่สายตายามอวิ๋นรั่วเสวี่ยลืมตาขึ้นกลับเย็นชาหาใดเปรียบ ทำให้ซูชิงก้มหน้าลงด้วยความละอายใจอยู่บ้าง
“คุณหนูรอง ท่านรู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ ฮูหยินนั่งเฝ้าท่านอยู่ตรงนี้ครึ่งวันแล้ว ในที่สุดท่านก็ฟื้นเสียที” แม่นมหวังเห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยฟื้นขึ้นก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
แต่อวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับไม่มองนางด้วยซ้ำ เอาแต่จดจ้องซูชิง ครู่ใหญ่ผ่านไปถึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าจะแต่งให้ฉู่เฟยหยาง!”
ได้ยินดังนี้ดวงตาทั้งสองข้างของซูชิงก็เบิกกว้างอย่างห้ามไม่อยู่ จ้องมองอวิ๋นรั่วเสวี่ยอย่างไม่นึกไม่ฝัน ครุ่นคิดอย่างไรก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เหตุใดพอไปจวนฝู่กั๋วกงหนนี้บุตรสาวถึงเอ่ยวาจาแบบนี้ออกมา
อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นซูชิงแค่เพียงมองตนแต่กลับไม่พูดไม่จา โทสะจึงท่วมท้นหัวใจอย่างห้ามไม่อยู่ ตะคอกออกมาเสียงดังโดยไม่สนใจความเจ็บปวดบนแผ่นหลังของตนเอง “ช่างเป็นอี๋เหนียงที่ใจดำอำมหิตขนานแท้! มองดูลูกสาวตนเองเกือบจะถูกตีตายอยู่เฉยๆ แม้แต่หน้าก็ยังไม่โผล่มาสักนิดเดียว ตอนนี้แค่อยากให้ท่านไปพูดเรื่องนี้กับท่านพ่อก็ยังละล้าละลัง น่าผิดหวังเสียจริงๆ!”
ครั้นวาจาเชือดเฉือนของอวิ๋นรั่วเสวี่ยถูกเปล่งออกมาจากปาก ในดวงตาซูชิงก็ฉายแววเจ็บปวด คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวที่นางเห็นเป็นเสมือนสมบัติล้ำค่า เฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูจนเติบใหญ่จะเรียกนางว่า ‘อี๋เหนียง’ กับปาก
ที่อวิ๋นรั่วเสวี่ยทำเช่นนี้ก็แค่เพียงเพราะตนเองมิได้รับปากนางในทันที
ทว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยลืมไปแล้วหรือว่าเพื่อให้นางได้เข้าร่วมงานครบรอบวันเกิดของกู่เหล่าไท่จวิน ตนเองจึงคืนสินเดิมของชวีรั่วหลีให้อวิ๋นเชียนเมิ่งไปจนหมดสิ้น
แม้ว่าในใจซูชิงจะรู้สึกไม่สบายใจเพราะคำพูดของอวิ๋นรั่วเสวี่ย แต่เมื่อเห็นแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยแผลของนางก็อดโทษตนเองไม่ได้
หากเมื่อครู่ตนรีบไปที่ศาลบรรพชน บางทีรั่วเสวี่ยคงจะไม่ได้รับบาดเจ็บทางกายในครั้งนี้
พวกแม่นมทำงานเบ็ดเตล็ดที่เป็นคนลงโทษออกแรงไม่หนักไม่เบา แต่ก็ไม่รู้ว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยบาดเจ็บไปถึงกระดูกและเส้นเอ็นหรือไม่ ทว่าการที่บุตรสาวเพียงคนเดียวได้รับบาดเจ็บที่ผิวหนังก็ยิ่งทำให้ซูชิงปวดใจไม่หยุด บาดแผลนี้เกรงว่าต้องรักษาอย่างดีเป็นเวลาหลายเดือนถึงจะค่อยๆ ดีขึ้น
“ดูท่าทางอี๋เหนียงคงไม่ยอมบอกวาจานี้แก่ท่านพ่อ?” ผ่านไปเนิ่นนานแต่ยังไม่เห็นซูชิงเอ่ยวาจาใดๆ อวิ๋นรั่วเสวี่ยจึงเริ่มร้อนใจ คิดว่าแม้แต่มารดาที่รักใคร่เอ็นดูนางมาตั้งแต่ยังเล็กไม่อยู่ข้างนาง ทันใดนั้นก็ยิ้มเย็นพลางกล่าวขึ้น ในดวงตาคล้ายมีแต่ความเกลียดชัง
ซูชิงเห็นนางพูดเช่นนี้ก็นึกขึ้นได้ว่าฉู่เฟยหยางมีฐานะสูงส่งอำนาจมากล้น อีกทั้งมีจุดยืนเป็นกลาง ก็รู้สึกพึงพอใจในตัวลูกเขยในอนาคตผู้นี้เช่นเดียวกัน จึงยิ้มพลางปลอบโยนอวิ๋นรั่วเสวี่ย “เสวี่ยเอ๋อร์ เรื่องนี้พวกเราต้องค่อยๆ ปรึกษาหาวิธีกันไป ตอนนี้ร่างกายเจ้าได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าพวกเราจะเกี่ยวดองกับจวนฉู่อ๋อง แต่ก็ยังต้องรอให้อาการบาดเจ็บของเจ้าหายสนิทเสียก่อนถึงจะจัดพิธีแต่งงานได้”
อวิ๋นรั่วเสวี่ยได้ยินคำตอบของซูชิง เห็นชัดว่านางตกปากรับคำของตนแล้ว สีหน้าบนใบหน้าอวิ๋นรั่วเสวี่ยจึงอ่อนลงมาก ยามนี้ถึงรู้สึกถึงความเจ็บแสบบนแผ่นหลัง คว้าสองมือของซูชิงไว้แน่น หลั่งน้ำตาอย่างไม่อาจสะกดกลั้น “ท่านแม่ ทั้งหมดเป็นเพราะนางสารเลวอวิ๋นเชียนเมิ่งทำร้ายข้า! วันนี้นางไม่เพียงแค่ทำให้ญาติผู้พี่ตกน้ำที่จวนฝู่กั๋วกง แต่ยังทำให้ข้าอับอายขายหน้าอีกด้วย ความแค้นนี้ต่อให้ปลิดชีพนางสารเลวนั่นด้วยดาบเดียวก็ไม่อาจคลายความเคียดแค้นในใจข้าได้”
ซูชิงได้ยินทุกอย่างมาจากพั่นหลันแล้ว ยามนี้เห็นบุตรสาวโกรธแค้นจนตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง ในใจพลันเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงเล็กน้อย แผ่ประกายโหดเหี้ยมอำมหิต จากนั้นเรียกแม่นมหวังเข้ามาใกล้ๆ “ไปเอารังนกเลือดมาจากห้องคลังเล็กและนำไปส่งยังจวนสกุลซูด้วยตนเอง ปลอบขวัญคุณหนูให้ดีๆ เสวี่ยเอ๋อร์ ระยะนี้อย่าได้โกรธเกรี้ยวอีกเป็นอันขาด เจ้ารักษาตัวอยู่ที่เรือนข้าให้ดีๆ ส่วนทางอวิ๋นเชียนเมิ่ง ข้าจะปรึกษากับพวกท่านลุงของเจ้าเอง”
แม่นมหวังรับคำสั่งแล้วเดินออกไปจากห้องทันที ตรงไปยังห้องเสบียงที่อยู่ทางห้องปีกข้าง แค่ครู่เดียวในมือก็ยกรังนกเลือดชั้นเลิศหลายถ้วยออกมา หลังจากให้ซูชิงตรวจดูแล้วก็พาสาวใช้อีกหลายคนมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลซู
อวิ๋นรั่วเสวี่ยเค้นคำพูดประโยคหนึ่งออกมาจากไรฟัน “ข้าจะต้องแต่งให้ฉู่เฟยหยางให้ได้! เช่นนี้ข้าถึงจะเล่นงานอวิ๋นเชียนเมิ่งให้ตายได้อย่างง่ายดาย ข้าจะให้นางถูกคนนับหมื่นข่มเหงจนตาย ข้าจะต้องเอาความอัปยศที่ได้รับในวันนี้ทบคืนให้นางเป็นร้อยเท่าพันเท่า!”
ซูชิงเห็นบุตรสาวของตนถูกอวิ๋นเชียนเมิ่งเหยียดหยามจนถึงขั้นนี้ ความคิดชั่วร้ายก็ล้นทะลักหัวใจพลางโอบอวิ๋นรั่วเสวี่ยเอาไว้ เอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว “ลูกวางใจเถิด แม่จะไม่ให้เจ้าถูกดูหมิ่นโดยเสียเปล่าแน่นอน! แม่จะต้องทำให้เจ้าแต่งงานกับอัครเสนาบดีฉู่ให้ได้ พอถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่อวิ๋นเชียนเมิ่งเลย แม้แต่ยายแก่หนังเหนียวที่หอไป่ซุ่นก็ต้องค้อมกายคุกเข่าคารวะพวกเรา!”