ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ
ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ
บทที่ 20 บังเอิญพบอริในวัดผู่กั๋ว
หลังจากพักผ่อนมาสามสี่วัน ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นก็พาอวิ๋นเชียนเมิ่งและอวิ๋นอี้อี้ขึ้นรถม้ารีบมุ่งหน้าไปยังวัดผู่กั๋ว
เนื่องจากการเดินทางไปกลับโดยรถม้ากินเวลาถึงครึ่งค่อนวัน ทุกคนจึงออกเดินทางตั้งแต่ยามอิ๋น เพราะอวิ๋นอี้อี้อายุยังน้อย พอขึ้นรถม้าก็ซุกตัวเอนหลับข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าทันที พวกอวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นนางนอนหลับปุ๋ยโดยไม่สนใจภาพลักษณ์จึงพากันพูดล้อนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็หยุดไป
ฮูหยินผู้เฒ่าให้แม่นมรุ่ยรองเบาะให้อวิ๋นอี้อี้เพิ่มอีกสองสามใบ ส่วนตนเองก็ค่อยๆ ปิดตาทั้งสองข้างแล้วขยับลูกประคำในมืออย่างช้าๆ
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นนางปากท่องสวดมนต์ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความละโมบ จึงรู้สึกขบขันยิ่งนัก พานหมดอารมณ์จะเสวนาเช่นเดียวกัน นางเพียงแค่เอนพิงผนังด้านในของรถม้า ยกมือขึ้นเปิดมุมหนึ่งของผ้าม่านออก มองดูท้องนภาด้านนอกที่ยังไม่สว่างเท่าใดนัก รู้สึกได้เพียงว่าในอากาศชื้นแฉะที่พุ่งปะทะใบหน้าแทรกซึมด้วยไอเย็นที่ชวนให้คนตื่นตกใจ ทว่าความเย็นนี้กลับทำให้รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก เพียงไม่นานอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ถูกทัศนียภาพภายนอกดึงดูดไว้เสียแล้ว จนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากขึ้นอีกครา นางจึงจำต้องปล่อยผ้าม่านลง
เมื่อรถม้ามาถึงตีนเขาของวัดผู่กั๋วก็ล่วงยามเฉิน สามเค่อแล้ว ผ่านไปอีกสองเค่อก็มาถึงปากเขาทางขึ้นวัดผู่กั๋ว ตามกฎระเบียบของวัด พอถึงตรงนี้รถม้าทุกคันไม่สามารถเข้าไปได้ ผู้ที่โดยสารรถม้าทุกคนต้องลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในวัด
ทันใดนั้นทางขึ้นเขาที่เมื่อครู่ยังเงียบสงัดราวกับยามราตรีก็ครึกครื้นขึ้นมาเพราะหญิงสาวตระกูลขุนนางมากมายพากันลงมาจากรถม้า
เมื่อทอดสายตามองออกไป สถานที่แห่งนี้บุปผาเบ่งบานงามสะพรั่ง เสื้อผ้าเครื่องประดับของบรรดาอิสตรีสวยสดเลอค่ายิ่ง เมื่อเทียบกับปากทางขึ้นเขาที่เรียบง่ายแล้วก่อเกิดเป็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
อวิ๋นเชียนเมิ่งประคองฮูหยินผู้เฒ่าก้าวขึ้นขั้นบันไดที่ปูด้วยศิลาเขียวไปยังประตูใหญ่โตมโหฬารของวัดผู่กั๋ว
ยิ่งเข้าใกล้ยอดเขา กลิ่นควันธูปที่ลอยตลบอบอวลระหว่างทางขึ้นเขาก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น ไม่เสียทีที่วัดผู้กั๋วเป็นอารามที่ราชนิกุลให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด ไม่เพียงแต่ประชาชนทั่วไปที่แห่กันมายังตำหนักศักดิ์สิทธิ์นี้ แม้แต่หญิงสาวตระกูลขุนน้ำขุนนางเหล่านั้นถ้าหากจะมาไหว้พระ สถานที่ที่เลือกเป็นอันดับแรกก็คือวัดผู่กั๋วเช่นเดียวกัน
อีกทั้งว่ากันว่ายี่สิบปีก่อนหรงเสียนไท่เฟยที่อยู่ในวังก็ได้ผูกวาสนาอันน่าฉงนกับแม่ชีจิ่วเสวียนแห่งวัดผู่กั๋ว ทั้งสองความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมาก ยิ่งกว่านั้นหรงเสียนไท่เฟยยังมาไหว้พระสวดมนต์ที่วัดผู่กั๋วแห่งนี้ด้วยตนเอง สดับรับฟังเทศนาจากแม่ชีจิ่วเสวียนทุกๆ สามเดือน
เดินเท้ามาเป็นเวลาสองเค่อ ทุกคนถึงได้เห็นประตูใหญ่ของวัดผู่กั๋ว ครั้นเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเพียงประตูใหญ่นี้ให้ความรู้สึกสูงเทียมเมฆาอยู่รางๆ ไม่รู้ว่าเพราะยอดเขาใกล้กับเส้นขอบฟ้าหรือว่าเพราะประตูอารามสูงตระหง่านอยู่แล้ว ทำให้พวกสตรีที่มาที่นี่เป็นครั้งแรกต้องตะลึงลานไปทุกคน แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็อดอึ้งงันไม่ได้
“ท่านย่า พวกเรารีบเข้าไปจุดธูปไหว้พระกันเถิดเจ้าค่ะ” อวิ๋นเชียนเมิ่งเอ่ยเตือนเสียงเบาเพื่อมิให้ฮูหยินผู้เฒ่าเผลอลืมตัวต่อหน้าผู้อื่น
ฮูหยินผู้เฒ่าเก็บสายตาก่อนจะพยักหน้าและเดินเข้าไปด้านในโดยมีแม่นมรุ่ยคอยประคอง ดวงตาทั้งสองพลันถูกกระถางธูปยักษ์ยาวสามจั้งกว้างสองจั้งที่อยู่ในลานวัดทำให้ตะลึงพรึงเพริดขึ้นอีก
ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็เป็นคนที่อยู่มาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว และเคยไปวัดวาอารามมามากมายนับไม่ถ้วน แต่จะมีอารามที่ไหนโอ่อ่ามโหฬารอย่างวัดผู่กั๋วบ้างเล่า
แค่ชั่วพริบตาเดียวการตัดสินใจที่จะยกอวิ๋นอี้อี้ให้แต่งงานกับฉู่เฟยหยางของฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ่งแน่วแน่มากขึ้น แม้ว่าวัดผู่กั๋วจะเป็นอารามที่ไม่ว่าประชาชนคนธรรมดาหรือขุนนางผู้สูงศักดิ์ล้วนมากราบไหว้บูชาได้ แต่ปกติแล้วผู้ที่มาไหว้พระที่นี่ส่วนมากก็ยังเป็นพวกขุนนางใหญ่ตระกูลสูงศักดิ์อยู่ดี
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นฮูหยินผู้เฒ่าจดจ้องกระถางธูปยักษ์พลางนิ่งอึ้งเลื่อนลอย พร้อมทั้งเห็นในดวงตาอีกฝ่ายฉายประกายละโมบ นางจึงอดลอบถอนหายใจไม่ได้ ผู้คนกล่าวกันว่าอารามเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งขึ้นไปข้างบน หัวใจของคนก็ยิ่งรู้สึกสงบนิ่ง แต่สำหรับคนอย่างฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ต่อให้ใช้ชีวิตโดยกอดพระบาทพระพุทธเจ้าไปด้วยก็เกรงว่าคงชำระล้างความโลภในใจนางไม่ได้กระมัง
“ท่านย่า หลานจะไปเดินเล่นรอบๆ หน่อยนะเจ้าคะ” เห็นฮูหยินผู้เฒ่ามีท่าทีเช่นนี้ อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงส่งเสียงเอ่ยขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่าเดินทางมาครานี้มิใช่เพื่ออวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่แล้ว จึงหลุบสายตาของตนเองที่ทอดมองไปยังกระถางธูปยักษ์ กำชับให้แม่นมหมี่กับมู่ชุนตามอวิ๋นเชียนเมิ่งไปให้ดี จากนั้นดึงอวิ๋นอี้อี้ที่กำลังมองสำรวจรอบๆ อยู่ให้เดินเข้าไปในตำหนักใหญ่ที่ผู้คนแน่นขนัดเพื่อไหว้พระเสี่ยงเซียมซี
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นในลานวัดและในตำหนักใหญ่ผู้คนมืดฟ้ามัวดินแล้วรู้สึกหมดความสนใจยิ่งนัก จึงเดินทอดน่องไปทางลานด้านหลังของวัดผู่กั๋วอย่างแช่มช้า
ยิ่งเดินเข้าไปด้านใน กลิ่นควันธูปก็ยิ่งเบาบาง ไม่ฉุนแสบจมูกเหมือนดั่งลานด้านหน้า ทว่าช่วยให้สงบจิตสงบใจได้มากขึ้น นอกจากนี้ลานด้านหลังยังห่างไกลจากเสียงดังเอะอะด้านหน้า แลดูเงียบสงบเป็นพิเศษ ราวกับตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างไรอย่างนั้น
ตลอดระยะเวลาที่อวิ๋นเชียนเมิ่งย้อนเวลามายังแค้วนซีฉู่นี้ นางต้องอยู่ในชีวิตที่เต็มไปด้วยการต่อสู้แย่งชิงคาดเดาจิตใจผู้อื่นตลอดเวลา แต่ทันใดพลันได้มาอยู่ในสถานที่ที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสจึงรู้สึกราวกับร่างกายทั้งร่างได้รับการปลดปล่อย มุมปากย้อมด้วยรอยยิ้มจริงใจอย่างสุดจะห้าม เดินเอื่อยเฉื่อยอยู่ในห้องปีกข้างอันงดงามมีเอกลักษณ์ที่ลานด้านหลังอย่างสุขใจ
รูปแบบของสิ่งปลูกสร้างทุกหลังในวัดผู่กั๋วล้วนแตกต่างกันออกไป แม้แต่พืชพรรณภายในวัดก็ดูเหมือนถูกปลูกให้เข้ากัน พฤกษาแต่ละต้นที่เปี่ยมล้นด้วยชีวิตชีวากำลังผลิชีวิตของตนเองในสถานที่ซึ่งตัดขาดจากโลกภายนอกแห่งนี้
พวกอวิ๋นเชียนเมิ่งทั้งสามคนก็มายืนนิ่งอยู่หน้าประตูตำหนักเล็กๆ หลังหนึ่งโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว ครั้นเงยหน้ามองขึ้นไปก็เห็นเพียงบนป้ายสีดำสนิทเขียนคำว่า ‘ตำหนักเจวี๋ยเมี่ยว’ ไว้อย่างงดงามอ่อนช้อยราวกับเมฆเคลื่อนน้ำไหล รู้ได้ไม่ยากว่าเป็นลายมือของนักเขียนพู่กันเลื่องชื่อ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นของวัดผู่กั๋วแห่งนี้
แม้ที่นี่จะมีเกลียวควันธูปลอยขึ้นมาจากกระถางธูปสำริดบริสุทธิ์ภายในตำหนัก แต่ก็ไม่เห็นมีผู้ใดมาสักการะกราบไหว้ ทำให้ใจอวิ๋นเชียนเมิ่งบังเกิดความฉงน แต่มิได้พรวดพราดก้าวเข้าไปในตำหนัก เพียงแค่นำแม่นมหมี่กับมู่ชุนเดินชมภายนอกตำหนักครู่หนึ่งแล้วจึงเดินไปเบื้องหน้าต่อ
เมื่อเดินผ่านตำหนักเจวี๋ยเมี่ยวก็ได้ยินเสียงน้ำไหลแว่วๆ ครั้นมุ่งหน้าเดินต่อตามเสียงน้ำไปก็เห็นว่ากลางลานกว้างมีศาลารับลมหลังหนึ่งตั้งอยู่ อีกทั้งภายในศาลากลับดึงน้ำจากน้ำพุเข้าไป
น้ำพุถูกดึงเข้ามาในรางน้ำ ไหลผ่านรางน้ำที่คดเคี้ยววกวน รางน้ำนั้นกว้างราวๆ หนึ่งชุ่น หากวางถ้วยชาลงในรางน้ำ ถ้วยชาก็จะไหลละล่องไปตามสายน้ำ ไม่ว่าผู้ที่มาไหว้พระจะนั่งอยู่ตรงตำแหน่งใดในศาลาก็สามารถตักน้ำขึ้นมาดื่มได้
ทว่ายามนี้ในศาลามีคนนั่งอยู่เพียงคนเดียว คนผู้นั้นเส้นผมเป็นสีเงินทั่วทั้งศีรษะ สวมเสื้อคลุมผ้าดิ้นสีขาวราวหิมะ โดดเดี่ยวแปลกแยกจนพานให้คนรู้สึกว่าเป็นเพียงภาพมายา
เส้นผมสีขาวสะดุดตานั้น แม้อยากจะมองข้ามแต่ก็มิอาจทำได้ คนผู้นั้นหากมิใช่หรงอวิ๋นเฮ่อแล้วจะเป็นผู้ใดเล่า
อวิ๋นเชียนเมิ่งนึกขึ้นได้ว่าหรงเสียนไท่เฟยที่มาเยือนวัดผู่กั๋ววันนี้เป็นอาแท้ๆ ของหรงอวิ๋นเฮ๋อ ส่วนหรงอวิ๋นเฮ่อก็ได้รับความโปรดปรานจากไท่เฟยยิ่ง ในใจจึงพลันแจ่มแจ้งว่าเหตุใดหรงอวิ๋นเฮ่อถึงมาอยู่ที่นี่ได้
ขณะที่กำลังลังเลว่าต้องเดินเข้าไปในศาลาไหลแก้วนั้นหรือไม่ ก็เห็นว่าทางหรงอวิ๋นเฮ่อสังเกตเห็นนางแล้ว เขาลุกขึ้นยืนอยู่ในศาลารับลมอันสูงตระหง่านนั้น มองนางด้วยสายตาลึกล้ำ
“แม่นม มู่ชุน ตามข้าไปคารวะคุณชายหรงเถิด” แม้ว่าชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด แต่อีกฝ่ายก็มองเห็นตนเองแล้ว หากหันกายหนีไปตอนนี้ก็จะดูเหมือนตนไร้มารยาทเกินไป เพราะฉะนั้นอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงสั่งแม่นมหมี่กับมู่ชุนทั้งสองคนเสียงเบาให้พวกนางเดินเข้าไปในศาลาไหลแก้วเป็นเพื่อนตน
หรงอวิ๋นเฮ่อยืนอยู่ในศาลาไหลแก้วอย่างผึ่งผายงามสง่า เงามืดเหนือศีรษะบดบังใบหน้ากว่าครึ่งของเขา ทำให้มองเห็นสีหน้าของเขาในยามนี้ไม่ถนัดตานัก เพียงแต่กลิ่นอายที่ค่อนข้างน่าเข้าหากลับแตกต่างไปจากความสันโดษยามที่อยู่ร่วมกับคนอื่นๆ พาให้แม่นมหมี่และมู่ชุนที่อยู่ด้านหลังอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่หวาดเกรงคุณชายผมขาวอย่างหรงอวิ๋นเฮ่ออีกต่อไป
อวิ๋นเชียนเมิ่งแหงนหน้ารับเมฆหมอกบางๆ บนภูเขาพลางเดินไปยังศาลาไหลแก้วอย่างแช่มช้า แสงตะวันสีเหลืองอ่อนๆ ทะลุผ่านชั้นเมฆเบาบางตกกระทบลงบนร่างของนาง ก่อเกิดเป็นแสงเรืองรองจางๆ ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งในยามนี้ดูเหมือนเทพเซียนราวกับเป็นภาพฝัน งดงามหลอกตาเกินไป จนกระทั่งอวิ๋นเชียนเมิ่งก้าวขึ้นขั้นบันไดของศาลาไหลแก้วทีละขั้นๆ มายืนอยู่ตรงหน้าเขา หรงอวิ๋นเฮ่อถึงได้เก็บแววตาเหม่อลอยของตน นัยน์ตาที่หลุบต่ำเล็กน้อยเก็บงำแววตาของเขาเอาไว้ ทำให้เขาดูเหมือนกลับมามีท่าทีเฉยชาดังเดิม
“คารวะคุณชายหรงเจ้าค่ะ” อวิ๋นเชียนเมิ่งย่อเข่าคำนับหรงอวิ๋นเฮ่ออย่างสง่างามพลางเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา
“อืม” เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งสุภาพเรียบร้อยเพียงนี้ แต่หรงอวิ๋นเฮ่อกลับแลดูเกร็งๆ อยู่บ้าง เขาพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ อีกทั้งสายตายังชำเลืองสะเปะสะปะโดยที่ไม่รู้ว่าจะมองไปตรงไหน พานให้มู่ชุนก้มหน้าแอบหัวเราะโดยไม่รู้ตัว
“ไม่รบกวนความสงบของคุณชายหรงแล้ว เชียนเมิ่งขอตัวลา” อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นยามนี้หรงอวิ๋นเฮ่อมือไม้เก้กังราวกับเด็กน้อย บนใบหน้าพลันผลิยิ้มบางๆ หลังจากนั้นจึงคารวะอีกครั้งแล้วเตรียมหันกายจากไป
“เอ่อ…” หรงอวิ๋นเฮ่อเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งกำลังจะจากไปจึงส่งเสียงขึ้นอย่างร้อนรน ฝีเท้าก้าวออกไปน้อยๆ ทันใด แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงฝืนเก็บฝีเท้ากลับมา
ได้ยินเขาส่งเสียง อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงหันกลับมาอย่างสงบนิ่ง มองหรงอวิ๋นเฮ่อโดยรักษาระยะห่างจากเขาระดับหนึ่ง ถามเสียงแผ่วเบา “คุณชายหรงยังมีธุระใดหรือ”
ครั้นเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งหันกลับมา บนใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับหยกของหรงอวิ๋นเฮ่อก็ปรากฏสีแดงเรื่อน่าสงสัย สองมือที่ไพล่อยู่ด้านหลังคลายแล้วบีบ บีบแล้วคลาย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงทอดมองไปยังตำหนักเจวี๋ยเมี่ยวที่อยู่ด้านหลังอวิ๋นเชียนเมิ่งแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “บาดแผลของเจ้าดีขึ้นบ้างหรือไม่”
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นเขาตัวเกร็งไม่เป็นธรรมชาติ ทันใดนั้นพลันเกิดความคิดอยากกลั่นแกล้ง จึงเดินเข้าไปหาครึ่งก้าว แต่กลับเห็นหรงอวิ๋นเฮ่อรีบร้อนถอยกรูดไปด้านหลังก้าวใหญ่ราวกับกระต่ายที่ตื่นกลัว แล้วถึงพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นเขาถอยหนีเช่นนี้ก็รู้ได้ว่าคุณชายหรงที่ดูเหมือนสันโดษผู้นี้ได้รับการสอนสั่งจากเฉินเหล่าไท่จวินมาเป็นอย่างดี มิได้มีจารีตของสุภาพชนเพียงแค่ประดับไว้บนปากเหมือนอย่างพวกคุณชายเสเพลสูงศักดิ์ทั้งหลาย ความรู้สึกในใจที่มีต่อหรงอวิ๋นเฮ่อดีขึ้นทันที นางไม่ก้าวเดินเข้าไปหาอีก ตอบกลับเขาไปอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณคุณชายหรงที่เป็นห่วง แค่บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องกังวลเจ้าค่ะ”
หรงอวิ๋นเฮ่อเก็บสายตากลับตามคำตอบของอวิ๋นเชียนเมิ่ง มองสองมือของนางที่ประกบกันอยู่ข้างเอวอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง จากนั้นถึงวางใจลงเล็กน้อย
ในศาลาไหลแก้วพลันตกอยู่ในความเงียบสงัด อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นหรงอวิ๋นเฮ่อดูเหมือนไม่มีเรื่องอื่นจะพูด ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากขอตัว เสียงเจือแววกังวลน้อยๆ ของเขาก็ดังขึ้นที่ข้างหูอีกครา “เจ้าก็ชอบที่นี่?”
แม่นมหมี่เห็นหรงอวิ๋นเฮ่อถามแล้วถามอีก ทั้งยังกลัวว่าหากมีคนผ่านมาเห็นเข้าจะทำให้ชื่อเสียงอวิ๋นเชียนเมิ่งเสื่อมเสีย จึงเอ่ยเตือนเสียงต่ำเบา “คุณหนู ทางฮูหยินผู้เฒ่าคงจะรอจนร้อนใจแล้วนะเจ้าคะ”
ได้ยินดังนั้นอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เบนศีรษะมองแม่นมหมี่แล้วจึงหันมาเผชิญหน้ากับหรงอวิ๋นเฮ่ออีกครั้ง ริมฝีปากยิ้มบางๆ พลางกล่าว “ที่นี่ห่างไกลจากเสียงเอะอะวุ่นวายของโลกภายนอก เป็นสถานที่ซึ่งเหมาะแก่การปฏิบัติสมาธิที่พบเจอได้ไม่มาก ยามอยู่ที่นี่พลันลืมเลือนความวุ่นวายใจในโลกโลกีย์ไปจนหมดสิ้น คนส่วนมากก็คงจะชื่นชอบที่นี่เช่นเดียวกัน”
หรงอวิ๋นเฮ่อเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งตอบเช่นนี้ ในดวงตาจึงปรากฏรอยยิ้มเบาบาง พูดต่อว่า “มนุษย์ล้วนคิดว่าการกราบไหว้ต่อหน้าพระโพธิสัตว์มากๆ คือการนับถือพุทธศาสนา แต่ว่าจะมีกี่คนที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าการนับถือพุทธศาสนามิได้อยู่ที่การกราบไหว้บูชา ยิ่งมิได้อยู่ที่การบริจาคเงินค่าธูป หากก่อกรรมทำชั่วมากมายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้ว่าอยากจะจ่ายเงินลบล้าง แต่พระโพธิสัตว์เองก็ไม่อยากจะมองหน้าเช่นกัน มิสู้อัญเชิญพระพุทธเจ้าไว้ในใจ คอยเตือนตนเองให้ทำความดีมากๆ อยู่ตลอดเวลา เช่นนั้นพระโพธิสัตว์จะต้องคอยดูอยู่แน่นอน ไม่คิดว่าวันนี้จะบังเอิญพบคุณหนูอวิ๋นที่นี่ ทำให้ข้าน้อยรู้สึกเหมือนได้พบสหายรู้ใจ”
ครั้นได้ฟังความเห็นของอวิ๋นเชียนเมิ่งเมื่อครู่ หรงอวิ๋นเฮ่อจึงสนทนาอย่างสนุกสนานขึ้นมาทันใด สุดท้ายยังจัดให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเป็น ‘สหายรู้ใจ’ อีกด้วย พาให้แม่นมหมี่ที่อยู่ด้านหลังตกใจจนเหงื่อเย็นผุดทั่วร่าง เดิมทีที่คุณหนูทักทายปราศรัยกับคุณชายหรงก็ไม่ถูกกาลเทศะอยู่แล้ว ยามนี้ทั้งสองยังสนทนาธรรมกันไม่หยุด เกรงว่ายิ่งคุณหนูรั้งตัวอยู่ที่นี่นานก็ยิ่งไม่ปลอดภัย
ที่ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายหรงยังเป็นคนที่โดดเดี่ยวแปลกแยกถึงเพียงนี้ นี่คงจะไม่เป็นผลดีต่อคุณหนู แม่นมซย่ามอบคุณหนูให้นางปกป้องดูแลอย่างเต็มที่ ตนเองย่อมไม่อาจปล่อยให้คุณหนูได้รับบาดเจ็บทั้งร่างกายและชื่อเสียงได้
พอคิดได้เช่นนี้แม่นมหมี่ก็ส่งเสียงขึ้นอีกครา “คุณหนู ฮูหยินผู้เฒ่าคงจะรอจนร้อนใจแล้วนะเจ้าคะ”
หรงอวิ๋นเฮ่อเห็นแม่นมข้างกายอวิ๋นเชียนเมิ่งเอ่ยเตือนหลายครั้งหลายครา พร้อมทั้งเห็นว่าในศาลาไหลแก้วมีเพียงตนกับอวิ๋นเชียนเมิ่งแค่สองคน จริงอยู่ที่จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่งได้
แม้ตนเองจะไม่ใส่ใจสายตาของผู้อื่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ในสายตาของหรงอวิ๋นเฮ่อตอนนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งแตกต่างจากผู้อื่นยิ่ง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจเขากลับไม่ปรารถนาให้เกิดเรื่องใดๆ ขึ้นกับอวิ๋นเชียนเมิ่ง จึงเอ่ยปากเสียงเบา “ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ที่นี่ด้วย เช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่รั้งคุณหนูไว้แล้ว”
อวิ๋นเชียนเมิ่งพยักหน้าให้เขาเบาๆ ก่อนหันกายก้าวออกไปจากศาลาไหลแก้ว
ยามนี้ภายในห้องปีกข้างที่อยู่ไม่ไกลจากศาลาไหลแก้วกลับมีสตรีสองนางยืนอยู่ มองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นในศาลาเมื่อครู่นี้เข้าสู่สายตา
“คิดไม่ถึงว่าหลานชายที่แทบจะไม่มีมนุษยสัมพันธ์ของข้า บัดนี้ก็มีเวลาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนกัน ทำให้ข้าตกใจไม่น้อยเลยล่ะ” สตรีในชุดชาววังสีขาวอ่อนคลุมทับด้วยผ้าโปร่งบางสีรากบัวเอ่ยปากขึ้นเบาๆ
เห็นเพียงนางเกล้ามวยเมฆายกสูง บนศีรษะประดับด้วยปิ่นหยกนิ่มลายดอกบัวหนึ่งอันอย่างเรียบง่าย ทั้งสมฐานะและไม่ล่วงล้ำสิ่งศักดิ์สิทธิ์
บนใบหน้างามเรียบๆ ราวกับดอกบัวเหนือน้ำดวงนั้นคล้ายคลึงกับหรงอวิ๋นเฮ่อที่อยู่ในศาลาถึงห้าส่วน ทว่าสีหน้าท่าทางกลับระทมกลัดกลุ้มกว่าหรงอวิ๋นเฮ่อสามส่วน หว่างคิ้วยังแฝงด้วยความสูงศักดิ์ที่ไม่ต้องแผดโทสะก็ชวนให้ผู้คนยำเกรง คนผู้นี้คงจะเป็นบุตรสาวของเฉินเหล่าไท่จวินแห่งจวนสกุลหรง หรงเสียนไท่เฟยคนปัจจุบันแห่งแคว้นซีฉู่
ส่วนสตรีที่ตะแคงหูสดับฟังเสียงทอดถอนใจของหรงเสียนไท่เฟยกลับสวมอาภรณ์ของนักพรตเต๋าสีเทาฝุ่น เส้นผมยาวน่ารำคาญบนศีรษะถูกรวบสูง ใช้ผ้าไหมสีเดียวกันเส้นหนึ่งมัดเอาไว้ มือเปล่าทั้งสองข้างยกพู่ปัดขึ้นเบาๆ ฟังเสียงพึมพำของหรงเสียนไท่เฟย ทว่ากลับผลิยิ้มบางๆ หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “สีกาผู้นั้นคงจะเป็นคุณหนูใหญ่จวนอัครเสนาบดีที่ไท่เฟยกล่าวถึงกระมัง ดูจากนรลักษณ์ของนาง เป็นผู้ที่มีวาสนาเปี่ยมล้นจริงๆ แต่ว่า…”
หรงเสียนไท่เฟยเห็นคนที่อยู่ข้างกายพูดแค่ครึ่งหนึ่งก็หยุดลง รอยยิ้มบนใบหน้าพลันค้างแข็งเล็กน้อย แล้วจึงแย้มยิ้มขึ้นมาอีกครา เอ่ยอย่างเรียบเฉย “จิ่วเสวียน พวกเราคบหากันมานานหลายปี มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ เถิด ไม่ต้องระมัดระวังข้าขนาดนั้นก็ได้”
สตรีที่เอ่ยพูดเมื่อครู่ก็คือแม่ชีจิ่วเสวียนที่พุทธศาสนิกชนทุกคนล้วนอยากพบเจอ คาดไม่ถึงว่ายามนี้นางกลับกำลังดูนรลักษณ์อวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นเพื่อนหรงเสียนไท่เฟย
เดิมทีนางเป็นผู้ที่ออกบวชละทิ้งทางโลก การดูนรลักษณ์ที่ผ่านมาจะพูดแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น แต่ยามนี้เห็นหรงเสียนไท่เฟยแทนตนเองว่า ‘ข้า’ จึงพูดต่อเป็นกรณีพิเศษ “จริงอยู่ที่คุณหนูอวิ๋นท่านนี้เป็นคนมีวาสนามากล้น ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา ผู้ที่เปี่ยมวาสนาล้วนต้องผ่านเคราะห์กรรมที่คนธรรมดาไม่อาจทานทนได้ เกรงว่านี่คงจะเป็นการทดสอบสติปัญญาและความมุ่งมั่นของนางจากสวรรค์กระมัง”
หรงเสียนไท่เฟยรับฟังสิ่งที่แม่ชีจิ่วเสวียนกล่าวอย่างเงียบๆ คิ้วงามที่วาดอย่างบรรจงขมวดเบาๆ จนแทบจะมองไม่เห็น มุมปากพลันยิ้มจนดูไม่เหมือนจริงอยู่บ้าง แววตาจดจ้องหรงอวิ๋นเฮ่อที่มองส่งอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างลึกซึ้ง ไม่เปล่งวาจาใดๆ
แม่ชีจิ่วเสวียนเห็นนางมีท่าทางหนักอกหนักใจ เดิมทีเป็นเพราะผู้ละกิเลสไม่ควรข้องแวะกับความวุ่นวายทางโลก ทว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตอนนี้คือสหายรักที่คบหาสนิทสนมมานานหลายปี ทั้งยังนึกถึงความทุกข์ยากที่สหายได้รับมาตลอดหลายปีนี้ ริมฝีปากจึงพ่นเสียงทอดถอนใจเบาๆ ถามเพิ่มอีกหนึ่งประโยค “แล้วเหล่าไท่จวินที่จวนคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
ได้ยินดังนั้นหรงเสียนไท่เฟยพลันแย้มยิ้มบางๆ เก็บความพะวงที่ไม่อาจสังเกตได้โดยง่ายในดวงตาออกไป เอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉยทันที “นั่นเป็นแค่เรื่องล้อเล่นของท่านแม่เท่านั้นเอง”
แม่ชีจิ่วเสวียนเห็นนางไม่ยินดีจะพูดให้มากความจึงไม่เอ่ยถามอีก ทั้งสองหันกายเดินกลับไปยังตำหนักเจวี๋ยเมี่ยวซึ่งอยู่อีกด้านอย่างเชื่องช้า
ระหว่างทางมาลานด้านหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับได้ยินฮูหยินและคุณหนูหลายคนซุบซิบพูดคุยกันว่าวันนี้เป็นวันประกาศราชโองการคัดเลือกสาวงามเข้าวัง ส่วนคุณหนูหานจากครอบครัวของเจ้ากรมปกครองกลายเป็นผู้โชคดีที่ทุกคนต่างกล่าวถึง ได้รับคัดเลือกเป็นพระสนม
ส่วนไห่อ๋องกลับปฏิเสธตำแหน่งกุ้ยเฟยที่เดิมทีฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ทรงต้องการประทานให้แก่ท่านหญิงไห่เถียน แสดงให้เห็นถึงความรักใคร่โปรดปรานที่ไห่อ๋องมีต่อท่านหญิงไห่เถียน ยิ่งกว่านั้นยังกลายเป็นประเด็นสนทนาที่ผู้คนพากันกล่าวถึง
เรื่องที่ชวนให้คนประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือหลังจากถูกไห่อ๋องปฏิเสธ ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้กลับไม่ทรงพิโรธเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ทรงทำเหมือนไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำไป เป็นเรื่องที่ชวนให้คนครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งเช่นเดียวกัน
แต่เดิมไห่อ๋องติดตามอยู่ข้างพระวรกายของฮ่องเต้องค์ก่อน เป็นผู้สร้างคุณูปการด้านการศึกให้แก่แคว้นซีฉู่ ด้วยเหตุนี้จวนไห่อ๋องจึงเหมือนกับจวนฉู่อ๋อง มีตำแหน่งในแค้วนซีฉู่สูงยิ่งกว่าเชื้อพระวงศ์เสียอีก
ทว่ายิ่งมีคุณงามความดีสะท้านสะเทือนบัลลังก์ก็ยิ่งดึงดูดความหวาดระแวงจากฮ่องเต้ได้อย่างง่ายดาย คนที่ฉลาดเฉกเช่นฉู่อ๋องจึงแสร้งทำตัวโง่เง่าต่อหน้าพระพักตร์ ส่วนที่ไห่อ๋องปฏิเสธฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้คงเป็นเพราะไม่อยากผลักครอบครัวตนเองไปอยู่ท่ามกลางภยันตรายเพื่อมิให้ต้องตายอย่างไร้ที่ฝัง
ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้เองก็คงจะไม่ได้ต้องการรับไห่เถียนเป็นกุ้ยเฟยอย่างจริงใจเช่นกัน ที่สอบถามความเห็นไห่อ๋องก็เพราะอยากหยั่งเชิงดูท่าทีและนัยแฝงของไห่อ๋องกระมัง
เพียงแต่ไม่ว่าใครเข้าวังไปเป็นพระสนม ชาตินี้ซูเฉี่ยนเยวี่ยคงไม่มีวาสนากับวังหลวงเสียแล้ว
“ท่านย่า” อวิ๋นเชียนเมิ่งเจอตัวฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋น แต่กลับเห็นนางสีหน้าไม่สู้ดี ส่วนอวิ๋นอี้อี้ซึ่งอยู่อีกด้านก็ท่าทางไม่มีความสุข เห็นตนแล้วก็ไม่คารวะ เอาแต่ดึงหยกประดับที่ห้อยอยู่ข้างเอว
“เจ้ามาแล้ว” สีหน้าท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่าดูไม่ค่อยดีเท่าไร พอเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งก็แค่ขานรับอย่างเกียจคร้าน จากนั้นสายตาก็หันไปยังนักบวชที่คอยอธิบายใบเซียมซีซึ่งอยู่ข้างๆ “ไม่มีคำอธิบายอื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
นักบวชผู้นั้นมองฮูหยินผู้เฒ่าแวบหนึ่ง ประกายในดวงตาเรียบนิ่งไม่ไหวติง ตอบกลับอย่างเฉยชา “หากสีกาไม่เชื่อไยต้องถามอีกเล่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าถูกตอกกลับมา สีหน้ายิ่งย่ำแย่กว่าเดิม อ้าปากอยู่หลายครั้ง แต่มิได้เอ่ยวาจาใดออกมาอีก
“ฮึ ปกติไม่ทำกรรมดี ตอนนี้จะเสี่ยงได้ใบเซียมซีดีๆ ได้อย่างไร” ในตอนนั้นเองหญิงชราในชุดผ้าดิ้นผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาจากหน้าประตูใหญ่
ข้างกายหญิงชราผู้นั้นติดตามมาด้วยมารดาของซูเฉี่ยนเยวี่ย ทั้งสองมองทุกคนจากจวนอัครเสนาบดีด้วยสายตาเคียดแค้นเต็มเปี่ยม คล้ายกับอยากจะแล่เนื้อเถือหนังพวกนางทั้งเป็นใจจะขาด
ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นเองก็เป็นคนตาไว จำได้ทันทีว่าคนผู้นี้เป็นแม่เลี้ยงของซูชิง ฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลซู แต่ตอนนี้เห็นผู้มาใหม่ไม่ประสงค์ดี ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นจึงรีบเก็บสีหน้าที่ย่ำแย่แล้วแปรเปลี่ยนเป็นท่าทางสูงศักดิ์จนไม่อาจล่วงล้ำ มองดูคนทั้งสองที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม พูดเสียดสี “วันนี้เป็นวันดีที่ฝ่าบาททรงประกาศราชโองการ แต่ตอนนี้กลับเห็นฮูหยินผู้เฒ่าและซูฮูหยินมาไหว้พระอย่างสบายอุราถึงเพียงนี้ เกรงว่าคุณหนูซูคงจะไม่ได้รับราชโองการกระมัง”
ฮูหยินผู้เฒ่าซูกับซูฮูหยินได้ยินดังนั้น สีหน้าก็พลันเขียวคล้ำขึ้นทันใด นัยน์ตาของทั้งคู่หันไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งที่อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋น อยากจะใช้เพลิงโทสะในดวงตาแผดเผาอวิ๋นเชียนเมิ่งให้ตายใจจะขาด
ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่อาจรองรับโทสะของพวกนางโดยใช่เหตุ มิหนำซ้ำคนที่ยั่วยุเพลิงโทสะของพวกนางหาใช่นางไม่ โทสะนี้ย่อมไม่อาจรับไว้เปล่าๆ ได้
อวิ๋นเชียนเมิ่งประคองฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นอย่างสนิทชิดเชื้อ ใช้เสียงกังวานเสนาะหูเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “ท่านย่าลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ คุณหนูสกุลซูถูกฝ่าบาทเพิกถอนโอกาสเข้าร่วมการคัดเลือกสาวงามไปแล้ว ชั่วชีวิตนี้ไร้วาสนากับประตูวังเสียแล้วล่ะเจ้าค่ะ ดูท่าวันนี้ซูฮูหยินทั้งสองท่านคงมาวัดผู่กั๋วเพื่อเสี่ยงเซียมซีให้คุณหนูซู ขอพรให้นางหาคู่ครองที่เพียบพร้อมได้กระมัง”
เสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่ดังไม่เบา แต่ตำหนักใหญ่ของวัดผู่กั๋วกลับกว้างขวางสูงตระหง่าน ยังผลให้การสะท้อนเสียงดียิ่ง ทำให้เหล่าหญิงสาวตระกูลขุนนางที่กำลังไหว้พระเสี่ยงเซียมซีอยู่นั้นต่างก็ได้ยินคำเสียดสีในวาจาของอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างชัดเจน
ในกลุ่มคนเหล่านี้ก็มีคนไม่น้อยที่มีวาสนาได้เข้าร่วมงานวันเกิดของกู่เหล่าไท่จวิน จึงย่อมเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นดี
ทันใดนั้นบรรยากาศที่เดิมทีเต็มไปด้วยเสียงสั่นกระบอกไม้ไผ่พลันถูกกลบด้วยเสียงกระซิบกระซาบเป็นระยะๆ เหล่าหญิงสาวที่แต่เดิมก็ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเหล่านั้นพากันจ้องมองคนสกุลซูทั้งสองพลางหัวเราะเยาะเสียงต่ำ
ทว่าเมื่อเทียบกับฮูหยินผู้เฒ่าซูแล้ว โทสะของซูฮูหยินกลับมากยิ่งกว่า
อย่างไรซูเฉี่ยนเยวี่ยก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของนาง แต่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้เพราะอวิ๋นเชียนเมิ่ง ทว่าคนร้ายกาจอย่างอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่เพียงแต่ลอยนวลหน้าระรื่น ทั้งยังให้ร้ายบุตรสาวนางถึงเพียงนี้ จะให้นางกลืนโทสะนี้ลงไปได้อย่างไร ทันใดนั้นความเดือดดาลพลันท่วมท้นหัวใจ ในดวงตาซูฮูหยินฉายรอยยิ้มเย็นที่ไม่ชัดเจนผ่านวาบ ไม่ต่อปากต่อคำกับอวิ๋นเชียนเมิ่งอีก เข้าไปประคองแม่สามีของตนเดินผ่านข้างกายพวกฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นไป
“โอ๊ย” ในขณะที่คนของทั้งสองฝ่ายเดินเฉียดผ่านกันนั้น ร่างกายของซูฮูหยินก็เอนเอียงคะมำไปด้านนอก ร้องโอดโอยขึ้นมาทันใด ร่างทั้งร่างล้มคว่ำลงกับพื้นก่อนที่นางจะตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ขณะคิดจะกล่าวหาว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งผลักนางล้ม แต่กลับพบว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งล้มลงนั่งกับพื้นพร้อมด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดเต็มทั่วศีรษะ คนจวนอัครเสนาบดีเห็นนางสีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจึงรีบถลาเข้าไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ ได้รับบาดเจ็บตรงไหนเจ้าคะ” มู่ชุนวิ่งไปข้างกายอวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นคนแรกสุด ประคองนางเข้าสู่อ้อมอก เช็ดเหงื่อเย็นๆ บนศีรษะให้นางอย่างระมัดระวัง เอ่ยถามด้วยน้ำตาคลอหน่วย
“คุณหนู เท้าท่านได้รับบาดเจ็บหรือเจ้าคะ” แม่นมหมี่เองก็รีบไปล้อมอยู่ข้างกายอวิ๋นเชียนเมิ่ง เห็นสองมือของอวิ๋นเชียนเมิ่งกุมข้อเท้าขวาเอาไว้จึงเข้าใจได้ทันทีว่านางบาดเจ็บที่ตรงไหน แต่จะให้ปลดรองเท้าของอวิ๋นเชียนเมิ่งออกเพื่อตรวจดูอาการต่อหน้าสาธารณชนได้อย่างไร หากถูกทหารองครักษ์ด้านนอกเห็นเข้า ชื่อเสียงของคุณหนูนางคงจะย่อยยับภายในพริบตาเข้าจริงๆ
พอคิดได้เช่นนี้แม่นมหมี่ก็ร้อนใจจนเหงื่อเย็นๆ ผุดทั่วร่างตาม อย่างไรพวกนางก็ออกมาเป็นเวลาแค่วันเดียว จะพาท่านหมอเดินทางติดตามมาด้วยได้อย่างไรกัน
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” ยามนี้เสียงไต่ถามอันเย็นเยียบดังขึ้นจากลานด้านหลัง
ทุกคนช้อนดวงตาขึ้นมอง เห็นเพียงแม่ชีจิ่วเสวียนเดินออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็มีแม่ชีน้อยเดินเข้ามารายงานเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ หลังจากแม่ชีจิ่วเสวียนฟังวาจาของแม่ชีน้อยผู้นั้นจบ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นกังวลใจเล็กน้อย ถึงขั้นเดินเข้าไปย่อกายลงถอดรองเท้าถุงเท้าแล้วลูบคลำข้อเท้าของอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยตนเอง นางขมวดคิ้วพลางกล่าว “ใครก็ได้แบกคุณหนูอวิ๋นเข้าไปในห้องปีกข้างด้านหลังที”
แม่ชีน้อยเหล่านั้นเห็นแม่ชีจิ่วเสวียนสีหน้าท่าทางเฉียบขาดอยู่บ้างจึงยกเก้าอี้ไม้ไผ่มาทันที พวกมู่ชุนพยุงอวิ๋นเชียนเมิ่งที่กัดฟันอดทนให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ หลังจากนั้นก็ส่งตัวอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้าไปในลานด้านหลังอย่างเร่งรีบ
“ซูฮูหยิน ท่านใจร้ายใจดำเหลือเกิน คาดไม่ถึงว่าท่านจะทำร้ายหลานสาวของข้าจนเจ็บหนักเช่นนี้!” ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นเห็นว่ามีคนดูแลอวิ๋นเชียนเมิ่งแล้วจึงรั้งตัวอยู่ในที่เกิดเหตุ ชี้ซูฮูหยินที่ยังนั่งเล่นละครอยู่กับพื้นพลางเอ่ยเสียงเฉียบ
ซูฮูหยินเดิมทีคิดจะแสร้งทำเป็นหกล้มเพื่อใส่ร้ายอวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่ไหนเลยจะคาดคิดว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้ากะทันหัน มิหนำซ้ำยังเป็นตอนที่ตนเองเดินเฉียดผ่านนาง ทำให้ซูฮูหยินแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างนิ่งอึ้งมองฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นที่ท่าทางเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อนางโดยที่พูดอะไรไม่ออก
“เรื่องที่ไม่มีหลักฐาน ฮูหยินผู้เฒ่าจะใส่ร้ายผู้อื่นตามใจชอบได้อย่างไร” ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนสกุลซูก็หาใช่สัตว์กินพืชเช่นกัน นางสั่งให้สาวใช้ประคองลูกสะใภ้ของตนขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน จากนั้นก็รวบรวมสมาธิรับมือกับฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋น
แม้ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นจะไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ อวิ๋นเชียนเมิ่งถึงเป็นเช่นนี้ แต่ในเมื่อเรื่องนี้ประจวบเหมาะพอดี นางย่อมไม่ปล่อยโอกาสที่จะดูหมิ่นคนในครอบครัวของซูชิงไปแน่นอน
นางยืดเอวตรง ประกายเย็นเยียบพุ่งออกมาจากแววตา เอ่ยอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ “ฮูหยินผู้เฒ่าพูดง่ายจริงๆ คิดจะผลักความรับผิดชอบแบบนี้น่ะหรือ เมื่อครู่บรรดาฮูหยินที่อยู่ที่นี่ก็ได้ยินได้เห็นกันทั้งนั้น พอฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลซูเปิดประตูเข้ามา แม่ผัวลูกสะใภ้ต่างพูดจาไร้สัมมาคารวะกับพวกข้าคนละคำสองคำ ยามนี้ทำให้หลานสาวข้าบาดเจ็บถึงเพียงนี้แต่กลับไม่ยอมรับ ดีร้ายอย่างไรใต้เท้าซูก็เป็นเจ้ากรมอาญา คิดไม่ถึงเลยว่าหลานสาวที่น่าสงสารของข้าจะได้รับความอยุติธรรมอย่างคลุมเครือน่าสงสัยเช่นนี้”
ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นพูดจบก็หลุบตาลงเล็กน้อยพลางร่ำไห้ สาวใช้ทุกคนซึ่งอยู่อีกด้านพากันเข้ามาปลอบขวัญ แม้จะไม่กล้าประณามคนสกุลซู แต่ความเกลียดชังในดวงตากลับถูกคนอื่นเห็นเข้าอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
ยามนี้ซูฮูหยินที่เมื่อครู่ยังร้องโหวกเหวกโวยวายได้หยุดปากไปแล้ว นอกจากชายกระโปรงเปรอะเปื้อนขี้เถ้าเล็กน้อย นางก็หาได้รับบาดเจ็บใดๆ ไม่ เมื่อเทียบกับท่าท่างหัวคิ้วขมวดแน่น เจ็บปวดจนเหงื่อเม็ดโตท่วมศีรษะ พูดเอ่ยวาจาไม่ออกของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ก็ไม่มีตรงไหนที่ชวนให้ควรค่าแก่การสงสารเห็นใจจริงๆ
แม้แต่พวกฮูหยินและคุณหนูที่เก่งกาจในการใส่ร้ายผู้อื่นก็มีท่าทีดูแคลนซูฮูหยินเช่นกัน ต่อให้อยากจะให้ร้ายผู้อื่น อย่างน้อยก็ต้องแกล้งทำให้แนบเนียนหน่อย แต่ซูฮูหยินผู้นี้ไม่เพียงแต่ฝีมือการแสดงละครย่ำแย่ ยังพลาดท่าทำร้ายคุณหนูใหญ่จวนอัครเสนาบดีเข้า แทบจะโง่เขลาราวกับสุกรทีเดียวเชียว กอปรกับทั้งสองสกุลเดิมทีก็เกี่ยวดองกันทางการแต่งงานอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าในท้ายที่สุดเรื่องนี้จะคลี่คลายอย่างไร
ครั้นในใจทุกคนคิดได้เช่นนี้ แต่ละคนก็ล้วนมองหญิงชราทั้งสองท่านที่กำลังประจันหน้ากันอย่างอยากรู้อยากเห็น ถึงกับลืมจุดประสงค์ที่ตนเองมายังวัดผู่กั๋วไปเสียสิ้น
ท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นตอนนี้ดูเหมือนไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี ขณะที่นางกำลังคิดจะเอ่ยปาก กลับเห็นแม่ชีจิ่วเสวียนเปล่งวาจาขึ้น “สีการีบเข้าไปดูโยมน้อยผู้นั้นเถิด แม่ชีได้ให้หมอหญิงที่อยู่ในวัดตรวจอาการให้โยมน้อยแล้ว คิดว่าอีกประเดี๋ยวก็รู้ว่าอาการเจ็บป่วยเป็นอย่างไรบ้าง”
ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นมองดูท่าทางจิตใจบริสุทธิ์ปราศจากกิเลส ตัดขาดจากโลกีย์ของแม่ชีจิ่วเสวียน พลันนึกถึงใบเซียมซีที่อวิ๋นอี้อี้เสี่ยงได้ขึ้นมา จึงไม่ดันทุรังอีกต่อไป นางเห็นแก่หน้าแม่ชีจิ่วเสวียน สีหน้าอ่อนลง แล้วจึงเอ่ยปากขึ้น “รบกวนแม่ชีให้เหนื่อยใจแล้วเจ้าค่ะ”
พูดจบก็หันมาถลึงตาใส่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลซูอย่างดุร้ายก่อนเดินนำทุกคนไปยังลานด้านหลัง
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลซูเห็นนางเดินไปแล้วก็หลงนึกว่านางหวาดกลัว จึงคิดตะโกนด่าตามหลังนางสักสองสามคำ แต่กลับเห็นแม่ชีจิ่วเสวียนเดินมาอยู่เบื้องหน้าตนเอง นัยน์ตาที่ราวกับรู้ทันความคิดของคนคู่นั้นเพียงแค่กวาดมองฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลซูแวบหนึ่งก็ทำให้นางกล้ำกลืนถ้อยคำในปากลงไป
“ทั้งสองท่านเชิญกลับไปเสีย ต่อไปก็ไม่ต้องมาที่วัดผู่กั๋วอีก” พอแม่ชีจิ่วเสวียนพูดจบก็ไม่เหลียวแลคนสกุลซูอีก เดินตรงกลับไปยังลานด้านหลังด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลซูเห็นว่าตนเองถูกขับไล่ออกจากวัดผู่กั๋วต่อหน้าผู้คนมากมาย ใบหน้าชราพลันรู้สึกอับอายขึ้นมาทันที ในใจอัดแน่นไปด้วยโทสะอันไร้ขีดสิ้นสุดแต่ก็ไม่กล้าระเบิดออกมาในวัด ทำได้เพียงสั่งให้คนประคองซูฮูหยิน อย่าให้นางสะดุดล้มอีก จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็ก้าวออกจากตำหนักหลังใหญ่อย่างเร็วรี่โดยไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองผู้ใด
ทางด้านนี้ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นรีบพาทุกคนเดินไปยังห้องปีกข้างซึ่งอวิ๋นเชียนเมิ่งถูกจัดให้พักอยู่ เห็นเพียงตอนนี้หมอหญิงกำลังพันผ้าพันแผลบนข้อเท้าของอวิ๋นเชียนเมิ่ง
ข้อเท้าเรียวบางขาวกระจ่างของอวิ๋นเชียนเมิ่งบวมฉึ่งเป็นก้อนใหญ่ ส่วนที่บวมเป่งขึ้นมาฟกช้ำเป็นสีม่วงเขียวผสมกัน ดูท่าทางเจ็บหนักไม่เบา ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลทันที “อาการของหลานข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หมอหญิงผู้นั้นจัดการกับบาดแผลของอวิ๋นเชียนเมิ่งเสร็จสิ้นก็ให้มู่ชุนปล่อยขากางเกงอวิ๋นเชียนเมิ่งลงอย่างระมัดระวัง แล้วจึงลุกยืนขึ้นเอ่ยตอบ “โยมถูกคนเตะเข้าที่ข้อเท้าด้วยกำลังภายนอก โชคดีที่มิได้บาดเจ็บถึงกระดูก แต่ว่าระยะนี้อย่าลงจากเตียงเอาตามใจชอบดีกว่า”
ทุกคนเห็นหมอหญิงกล่าวเช่นนี้จึงวางใจลงในที่สุด ทว่ายามนี้แม่ชีจิ่วเสวียนได้เดินเข้ามา มองอวิ๋นเชียนเมิ่งที่นอนเอนอยู่บนเตียงอย่างเงียบเชียบ กล่าวอย่างเรียบเฉย “ประเดี๋ยวแม่ชีจะให้คนแบกโยมน้อยลงจากเขา”
อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้สึกเพียงว่ารอบๆ ร่างกายของตนเองถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางแสงเจิดจ้าสายหนึ่ง แสงนั้นใสกระจ่างจนทำให้หัวใจของนางไร้ที่หลบซ่อน จึงได้แต่คงท่านอนเอนเอาไว้ อมยิ้มพลางเอ่ย “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ เชียนเมิ่งสร้างความยุ่งยากให้แม่ชีแล้ว”
แม่ชีจิ่วเสวียนเห็นว่าอีกฝ่ายถูกตนเองจดจ้องแต่กลับยังคงใบหน้าประดับยิ้มเช่นเดิม ความเร็วในการพูดก็ไม่เนิบไม่ช้า ในสายตาที่เมื่อครู่แฝงด้วยความเข้มงวดปรากฏแววชื่นชมจางๆ น้ำเสียงยามเอ่ยวาจาก็อ่อนลงกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในวัดของแม่ชี แม่ชีย่อมต้องรับผิดชอบ”
สิ้นคำนางก็พยักหน้าให้หมอหญิงผู้นั้นแล้วหมุนกายออกไป
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแม่ชีจิ่วเสวียนที่ไม่ยอมพบใครง่ายๆ อยู่แค่ตรงหน้าตนนี้เองจึงย่อมต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ รีบทิ้งหลานสาวที่กำลังเจ็บหนักแล้วเดินออกจากห้องปีกข้างตามหลังแม่ชีจิ่วเสวียนไป นางปั้นหน้าแย้มยิ้มพลางเอ่ย “ได้ยินเสียงเล่าลือมานานแล้วว่าแม่ชีเชี่ยวชาญการทำนายดวงชะตา วันนี้ข้าเสี่ยงเซียมซีให้หลานสาวหนึ่งใบ ขอร้องแม่ชีช่วยตีความด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
พูดจบฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นก็หยิบใบเซียมซีที่อวิ๋นอี้อี้เสี่ยงได้ออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นไปตรงหน้าแม่ชีจิ่วเสวียนอย่างเคารพนอบน้อม
ทว่าแม่ชีจิ่วเสวียนกลับมองฮูหยินผู้เฒ่าอย่างเฉยชาแวบหนึ่ง ทำราวกับมองไม่เห็นการประจบเยินยอและท่าทีพินอบพิเทาของนาง แต่กลับรับใบเซียมซีสีแดงมาแล้วกวาดตาอ่านแวบหนึ่งเป็นกรณีพิเศษ จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉย “นี่คือเซียมซีบุพเพสันนิวาส แต่ว่าบุพเพสันนิวาสสวรรค์เป็นผู้ลิขิต แม่ชีไหนเลยจะพูดพล่อยๆ ทำลายบุพเพสันนิวาสของผู้อื่นได้ ขอให้สีกาสบายใจเถิด”
พูดจบแม่ชีจิ่วเสวียนก็คืนใบเซียมซีให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าก่อนนำหมอหญิงที่อยู่ด้านหลังเดินจากไปด้วยฝีเท้าเร็วรี่
ฮูหยินผู้เฒ่ามองดูใบเซียมซีในมือจนถึงกับเหม่อลอยไปชั่วขณะ กระทั่งยามที่นางเงยหน้าขึ้นหมายจะไล่ตามแม่ชีจิ่วเสวียนไปอีกครั้ง เบื้องหน้าก็ไร้ซึ่งเงาคนแล้ว จึงได้แต่หน้าม่อยคอตกย้อนกลับไปที่ห้องปีกข้าง
ยามนี้ทุกคนได้ย้ายอวิ๋นเชียนเมิ่งขึ้นไปบนเก้าอี้ไม้ไผ่ มู่ชุนคลุมผ้าห่มผืนหนึ่งลงบนขาทั้งสองข้างของอวิ๋นเชียนเมิ่งแล้วจึงค่อยๆ สั่งให้คนยกเก้าอี้ขึ้น ทุกคนประกบอยู่ทั้งสองข้างของเก้าอี้พร้อมเดินออกจากวัดผู่กั๋ว
พวกองครักษ์หลิ่วที่เฝ้ารออยู่ข้างล่างภูเขาเห็นคุณหนูใหญ่ของตนขึ้นเขาไปอยู่ดีๆ แต่กลับถูกคนแบกลงเขามา พร้อมทั้งได้ยินคำกระซิบกระซาบของพวกสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย แต่ละคนล้วนเกลียดแค้นสกุลซูที่ทำตัวอันธพาลวางโตยิ่งนัก จึงสั่งให้รถม้าขับเคลื่อนอย่างเรียบนิ่งขึ้นเล็กน้อยด้วยความระมัดระวังยิ่งขึ้นเพื่อมิให้อวิ๋นเชียนเมิ่งต้องทนทุกข์อีกครั้ง
ระหว่างทางขากลับ ฮูหยินผู้เฒ่าแลดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่าทางเหมือนมีเรื่องในใจหนักอึ้ง มองอวิ๋นอี้อี้ด้วยสายตาสงสารเป็นระยะๆ ทว่ากลับไม่สนใจไยดีอวิ๋นเชียนเมิ่งเลยด้วยซ้ำ
อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับสุขสบายอุรา ขามาเป็นตอนเช้าตรู่ แต่ขากลับใกล้จะโพล้เพล้ และไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ออกมาจากจวน นางย่อมต้องอยากชื่นชมทัศนียภาพอย่างตั้งอกตั้งใจ จึงได้สั่งให้มู่ชุนเลิกผ้าผ่านรถข้างหนึ่งออก ชื่นชมทิวทัศน์ด้านนอกด้วยจิตใจสงบนิ่ง
เมื่อทุกคนกลับมาถึงจวนอัครเสนาบดีก็เป็นเวลาอาหารค่ำแล้ว อาทิตย์อัสดงคล้อยลับฟ้าไป จันทร์กระจ่างลอยเด่นบนท้องนภา ทอแสงส่องสว่างแก่พื้นปฐพี
ทว่ายามนี้ที่หน้าประตูจวนอัครเสนาบดีกลับมีรถม้าที่ประดับตกแต่งไม่เหมือนกันสองคันจอดอยู่ พอคนที่ยืนอยู่ข้างรถม้าเห็นรถม้าจวนอัครเสนาบดีมาถึงก็พากันเข้ามาต้อนรับ
“บ่าวคือแม่นมหยวนสาวใช้ประจำตัวของเหล่าไท่จวินจวนสกุลหรง เหล่าไท่จวินได้ยินว่าคุณหนูได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าจึงสั่งให้บ่าวเลือกของบำรุงร่างกายมามอบให้ คุณหนูโปรดรับไว้ด้วยเจ้าค่ะ” พูดจบแม่นมอายุราวๆ ห้าสิบปีผู้นั้นก็สะบัดมือหนึ่งคำรบ เห็นเพียงบรรดาสาวใช้ที่อยู่ข้างรถม้าหลังคาสีน้ำเงินสดใสรีบยกของบำรุงซึ่งอยู่ภายในรถม้าออกมาทันที
“บ่าวคือเจียวต้าองครักษ์ประจำตัวของฉู่อ๋อง ท่านอ๋องได้ยินว่าคุณหนูได้รับบาดเจ็บจึงสั่งให้บ่าวนำของวิเศษที่ช่วยรักษาบาดแผลและของบำรุงมามอบให้คุณหนูเป็นพิเศษ คุณหนูโปรดรับไว้ด้วยขอรับ” บุรุษวัยกลางคนซึ่งรูปร่างสูงใหญ่ บุคลิกเคร่งขรึมอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นต่อจากแม่นมผู้นั้น เสียงของเขาก้องกังวาน พูดจาเคร่งครัดอยู่ในกรอบ ยิ่งกว่านั้นองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังเขายังได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี วาจาของเขาเพิ่งจะสิ้นคำ องครักษ์กลุ่มนั้นก็ยกสิ่งของล้ำค่ามากมายนับไม่ถ้วนออกมาจากรถม้าหลังคาสีครามเข้ม
ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นเห็นทั้งสองคนไม่คารวะตนเอง แต่กลับเอ่ยวาจากับอวิ๋นเชียนเมิ่งโดยตรง ในใจพลันรู้สึกไม่พอใจ แสดงสีหน้าน่าเกลียดน่ากลัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางจ้องมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยแววตาติเตียนเล็กน้อย
อวิ๋นเชียนเมิ่งไหนเลยจะไม่รู้ความคิดใจแคบของฮูหยินผู้เฒ่า นางถูกสาวใช้กลุ่มใหญ่ของจวนอัครเสนาบดีพยุงลงจากรถม้า แล้วจึงเอ่ยพูดอย่างอ่อนโยน “ดึกขนาดนี้ยังต้องรบกวนทั้งสองท่านให้รออยู่นอกประตูจวน เชิญทั้งสองเข้ามาดื่มชาในจวนสักถ้วยก่อนเถิด”
สองคนนั้นไม่เพียงเดาความคิดและจิตใจของผู้เป็นนายตนเองได้กระจ่างแจ้ง แต่ยังสามารถมองความคิดและจิตใจของฝ่ายตรงข้ามหรือศัตรูออกอย่างทะลุปรุโปร่งด้วย ตอนนี้ทั้งด้านแม่นมหยวนสาวใช้ประจำตัวของเฉินเหล่าไท่จวินและทั้งด้านเจียวต้าองครักษ์ประจำตัวของฉู่อ๋องจึงทราบดีว่าตนเองไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนของตนเองเท่านั้น แต่ต่างก็เป็นตัวแทนของผู้เป็นนายของแต่ละคนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามโดดเด่นเกินหน้าเกินตาได้ ทั้งสองจึงพากันตกปากรับคำเชิญของอวิ๋นเชียนเมิ่ง จากนั้นเดินตามนางเข้าไปในจวนอัครเสนาบดี
ทว่าเมื่อเทียบกับใบหน้าเปี่ยมยิ้มของแม่นมจากจวนสกุลหรงแล้ว บุรุษข้างกายฉู่อ๋องที่ชื่อว่าเจียวต้ากลับแลดูเงียบขรึมกว่ามาก
อวิ๋นเสวียนจือได้รับข่าวเรื่องอวิ๋นเชียนเมิ่งบาดเจ็บตั้งแต่ก่อนที่รถม้าจะมาถึงแล้ว จึงกำลังรอฮูหยินผู้เฒ่าและอวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่ในโถงรับแขก แต่พอเห็นว่าคนที่เดินเข้ามายังมีคนจากจวนอื่นด้วย อวิ๋นเสวียนจือก็พลันตะลึงงันไปเล็กน้อย
“บ่าวคือแม่นมหยวนจากจวนสกุลหรง คารวะท่านอัครเสนาบดีเจ้าค่ะ เหล่าไท่จวินของพวกเราทราบข่าวว่าคุณหนูใหญ่ได้รับบาดเจ็บจึงให้บ่าวมาเยี่ยมเยียนเป็นการพิเศษเจ้าค่ะ” แม่นมหยวนผู้นั้นแค่มองก็รู้ทันทีว่าเป็นคนปราดเปรื่องมีไหวพริบ เมื่อเห็นอวิ๋นเสวียนจือก็รีบเข้าไปทำความเคารพทันที จากนั้นก็ให้พวกสาวใช้วางสิ่งของที่ถืออยู่ในมือลงตรงหน้าอวิ๋นเสวียนจือ
“บ่าวคือเจียวต้าหัวหน้าองครักษ์ของจวนฉู่อ๋อง ท่านอ๋องสั่งให้บ่าวมาเยี่ยมเยียนคุณหนูใหญ่เป็นพิเศษขอรับ” แม้ว่าเจียวต้าจะทำการอยู่ในกรอบในกฎเกณฑ์ แต่ก็มิใช่คนที่จะยอมน้อยหน้าผู้อื่น พอเห็นแม่นมหยวนแนะนำตัวเสร็จก็เดินเข้าไปกล่าวขึ้นบ้างทันที
อวิ๋นเสวียนจือมิได้ขานรับวาจาของทั้งสองคนในทีแรก แต่กลับมองอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ถูกคนแบกเข้ามาด้วยสายตาล้ำลึกแวบหนึ่งแทน อดลอบคิดในใจไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่บุตรสาวของเขากับชวีรั่วหลีผู้นี้ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ซ้ำยังไม่คาดคิดว่าบัดนี้จะเป็นที่ถูกใจของจวนสกุลหรงกับจวนฉู่อ๋องพร้อมๆ กันอีกด้วย
ทว่าทั้งสองสกุลล้วนเป็นตระกูลที่ไม่อาจล่วงเกินได้ง่ายๆ
สกุลหรงกุมเส้นชีวิตทางเศรษฐกิจของแคว้นซีฉู่เอาไว้ แม้จะเป็นแค่ตระกูลวาณิชย์ แต่ก็เป็นวาณิชย์หลวงที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงแต่งตั้งให้ด้วยพระองค์เอง ฐานะหาใช่ตระกูลพ่อค้าต่ำต้อยอีกต่อไป เกรงว่าจะไล่เลี่ยสูสีกับอัครเสนาบดีอย่างตนเสียด้วยซ้ำไป
ส่วนฉู่อ๋องยิ่งไม่ต้องพูดถึง ปีนั้นฉู่อ๋องกับฮ่องเต้องค์ก่อนหลั่งโลหิตกรำศึกร่วมกัน หลังจากช่วงชิงแผ่นดินซีฉู่มาได้ ฮ่องเต้องค์ก่อนถึงขนาดนำชื่อสกุลของฉู่อ๋องมาตั้งเป็นชื่อแคว้น ยิ่งกว่านั้นยังทรงประกาศราชโองการด้วยพระองค์เองว่าตำแหน่งฉู่อ๋องสามารถสืบทอดได้โดยไม่ต้องลดลำดับขั้น ทั้งยังวางพระทัยมอบกำลังทหารกว่าครึ่งของแคว้นซีฉู่ให้แก่ฉู่อ๋อง แม้แต่ไห่อ๋องที่มีคุณูปการในด้านการศึกสงครามเช่นเดียวกันก็ยังไม่เคยได้รับเกียรติยศพิเศษเช่นนี้
บัดนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองสกุลจะถูกใจบุตรสาวคนโตของตนพร้อมๆ กัน ทำให้ในใจอวิ๋นเสวียนจือนอกจากจะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีแล้วยังมีความเสียดายอยู่เล็กน้อย หากจวนหนึ่งถูกใจบุตรสาวคนอื่นๆ ของเขา เช่นนั้นตนเองที่เกี่ยวดองเป็นเครือญาติกับทั้งสองจวนพร้อมๆ กันจะไม่ได้หน้าไปด้วยได้อย่างไร
อวิ๋นเชียนเมิ่งมองสิ่งที่อวิ๋นเสวียนจือคิดอยู่ในใจออก นางจึงหัวเราะเยียบเย็นในใจว่าเขาละโมบโลภมากเหมือนฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีผิด จากนั้นก็เปล่งเสียงพูดอย่างเฉยชาว่า “ท่านพ่อ ลูกเหนื่อยแล้ว ขอกลับเรือนฉี่หลัวก่อนนะเจ้าคะ”
อวิ๋นเสวียนจือดูเหมือนเพิ่งจะสังเกตเห็นใบหน้าซีดเซียวน้อยๆ ของอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงตวาดเสียงต่ำใส่พวกแม่นมหมี่ทันที “ยังไม่รีบพาคุณหนูใหญ่กลับเรือนไปพักผ่อนอีก แต่ละคนยืนบื้อทำอะไรกันอยู่ตรงนี้”
แม่นมหมี่มองฮูหยินผู้เฒ่าที่สีหน้าเขียวซีดอย่างพะวงใจแวบหนึ่ง แล้วรีบสั่งให้พวกสาวใช้แบกอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับเรือนฉี่หลัว
รอจนกระทั่งอวิ๋นเชียนเมิ่งทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว มู่ชุนก็ยกถ้วยกระเบื้องเคลือบเข้ามา กลิ่นยาจีนเข้มข้นอบอวลภายในห้องทันใด พาให้อวิ๋นเชียนเมิ่งย่นคิ้วเล็กน้อย รู้สึกเพียงว่าตั้งแต่ตนย้อนเวลามาที่นี่ การกินยาก็ได้กลายเป็นอาหารประจำไปแล้ว
“คุณหนูดื่มยาได้แล้วเจ้าค่ะ รีบดื่มตอนร้อนๆ เพื่อมิให้เย็นแล้วทำลายฤทธิ์ยานะเจ้าคะ” มู่ชุนเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งขมวดคิ้ว ริมฝีปากจึงอมยิ้มพลางเอ่ย แต่กลับไม่ยอมให้อวิ๋นเชียนเมิ่งหลบเลี่ยง ยกถ้วยชาไปตรงหน้านางทันที
ถ้วยยาใบนั้นวางลงใต้จมูกอวิ๋นเชียนเมิ่ง กลิ่นยารุนแรงพุ่งเข้าสู่จมูกทันใด แต่เมื่อเห็นว่ามู่ชุนและแม่นมหมี่ต่างก็กำลังจับจ้องตนเองอยู่ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็รู้ว่าหนีไม่รอดแน่ จึงได้แต่ยกแขนขึ้นรับถ้วยยา มุ่นหัวคิ้วน้อยๆ ดื่มยาสีน้ำตาลที่อยู่ภายในจนหมดในรวดเดียว
แม่นมหมี่รีบถือน้ำเปล่าถ้วยหนึ่งมาให้อวิ๋นเชียนเมิ่งบ้วนปากในทันที จากนั้นก็วางถระโถนบ้วนปากไว้ข้างริมฝีปากอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างรอบคอบเอาใจใส่ให้นางได้บ้วนน้ำในปากออกมา
ทั้งสองเห็นสีหน้าท่าทางของอวิ๋นเชียนเมิ่งแลดูง่วงงุนเล็กน้อยเพราะฤทธิ์ยาเมื่อครู่ จึงช่วยปรนนิบัตินางเอนตัวลงนอนพร้อมปล่อยม่านมุ้งออก ก่อนเป่าเทียนสีแดงดับแล้วถอยออกจากห้องไป
ยาออกฤทธิ์เร็วยิ่งนัก เดิมทีอวิ๋นเชียนเมิ่งนึกว่ายังต้องรออีกสักพักถึงจะหลับได้ แต่แค่เวลาครึ่งถ้วยชานางก็จมลึกสู่ดินแดนแห่งความฝัน
เมื่อนอนหลับถึงยามสาม* อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับรู้สึกว่าบนใบหน้าถูกสายตาคู่หนึ่งจับจ้องเขม็ง การทำงานเป็นตำรวจมานานทำให้นางสำเร็จการฝึกฝนประสาทสัมผัสอันเฉียบไว แม้ว่าภายในร่างกายยังง่วงงุนอยู่บ้าง แต่ก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นอย่างใจเด็ด
ท่ามกลางความมืดมิด สายตาสุกสกาวคู่หนึ่งกำลังจดจ้องนางตาไม่กะพริบ ทำให้หัวใจอวิ๋นเชียนเมิ่งเต้นระรัวทันใด ขณะกำลังจะตะโกนร้องในสมองก็ตอบสนองออกมาว่าที่นี่คือห้องนอนของตนเอง จึงฝืนสะกดกลั้นหัวใจที่ได้รับความตื่นตระหนก สองแขนยันร่างครึ่งบนขึ้น มองเงาคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงด้วยดวงตาสงบเยือกเย็น
ท่ามกลางความมืดสนิทนางรู้สึกเพียงว่าผู้มาเยือนรูปร่างสูงชะลูดแต่ไม่เทอะทะใหญ่โต หากมิใช่เพราะตนเองสัมผัสไวมากเกินไปก็คงจะไม่มีทางรู้สึกตัวได้ว่ามีคนฉวยโอกาสยามค่ำคืนลอบเข้ามาในห้องนอนของตน ซ้ำยังยืนพิศมองนางอยู่ข้างเตียงอีก
เพื่อมิให้สาวใช้ที่เฝ้ายามกลางดึกอยู่ด้านนอกตื่นตระหนก อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงคงท่าเดิมเอาไว้ไม่ขยับเขยื้อน ทว่าสองมือที่ยันอยู่ข้างลำตัวกลับตั้งท่าเตรียมพร้อมตั้งแต่แรกแล้ว หากผู้มาเยือนกล้ามีเจตนาไม่ดี เช่นนั้นก็อย่าโทษที่นางลงมือก็แล้วกัน
ตอนนี้เองเสียงหัวเราะเบาๆ จนแทบจะไม่ได้ยินกลับดังขึ้นจากข้างเตียง ราวกับหัวเราะเยาะที่อวิ๋นเชียนเมิ่งดิ้นรนขัดขืนอย่างไม่เจียมตัว
ขณะที่ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งกำลังฉุนเฉียวนั้น คนผู้นั้นกลับนั่งลงข้างเตียงโดยไม่คิดที่จะทำตัวไม่ให้น่าสงสัยเลยแม้แต่น้อย กลิ่นอายชาตรีของบุรุษเพศพุ่งปะทะผิวหน้าของอวิ๋นเชียนเมิ่งทันใด ทำให้จิตใต้สำนึกของนางเตะเท้าขวาที่ได้รับบาดเจ็บออกไปเพื่อปกป้องตัวเอง
ทว่าคนผู้นั้นคล้ายกับคาดเดาการเคลื่อนไหวของอวิ๋นเชียนเมิ่งได้อยู่แล้ว มือใหญ่ยกขึ้นน้อยๆ ท่ามกลางความมืดมิดแล้วคว้าเท้าขวาที่เกือบจะเตะเขาออกนอกประตูข้างนั้นไว้อย่างแม่นยำ หลังจากนั้นก็จับเท้าขวาของนางเอาไว้แน่น ทำให้นางหนีไม่พ้นแต่ก็มิได้ทำให้นางเจ็บตัว
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าความคิดของตนถูกมองออกทะลุปรุโปร่ง พร้อมทั้งเห็นคนผู้นั้นจับเท้าขวาของตนเองไว้แน่น ดวงตาจึงฉายแววโมโหผ่านวาบท่ามกลางความมืดมิด ทันใดนั้นก็เบี่ยงตัวออก ยกเท้าซ้ายขึ้นเตะใส่คนผู้นั้นอย่างไม่ยอมถอดใจทันที
คนผู้นั้นกลับร้ายกายยิ่งนัก ถึงกับรู้เท่าทันความคิดของอวิ๋นเชียนเมิ่งได้อีกครา มืออีกข้างคว้าเท้าซ้ายที่แผ่อานุภาพเหี้ยมโหดเอาไว้กลางอากาศ ต่อมาก็บังคับให้เท้าซ้ายของนางวางเข้าไปในผ้าห่ม ส่วนสองมือก็ประคองเท้าขวาที่ได้รับบาดเจ็บนั้นต่อ ลูบไปตามหลังเท้าจนถึงข้อเท้าที่บวมเป่ง นิ้วโป้งมือขวากดส่วนที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหยั่งเชิง
“โอ๊ย เจ้า!…” ความเจ็บปวดที่แผ่ลามอย่างกะทันหันทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งส่งเสียงสูดหายใจอันแผ่วเบาออกมา จากนั้นก็เบิกตากว้างถลึงใส่คนผู้นั้น แต่กลับแลกมาด้วยเสียงหัวเราะแผ่วต่ำ
“โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บถึงกระดูก” คนผู้นั้นกดเสียงต่ำ เอ่ยปากอย่างเชื่องช้า ความไม่นำพาในน้ำเสียงนั้นทำให้ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งพลันรัดแน่น
ทั่วทั้งแคว้นซีฉู่นี้ นอกจากฉู่เฟยหยางแล้วใครยังจะใช้น้ำเสียงพรรค์นี้สนทนากับผู้อื่นได้เล่า
ดวงตาทั้งสองข้างของอวิ๋นเชียนเมิ่งอดหรี่ลงน้อยๆ ไม่ได้ อยากจะอาศัยแสงจันทร์อ่อนๆ ที่ลอดเข้ามาจากนอกหน้าต่างมองผู้มาเยือนให้ชัดเจนเพื่อยืนยันการคาดเดาของตนเอง
“คุณหนู เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” ตอนนั้นเองเสียงของไป๋เหมยกลับดังขึ้นจากด้านนอก หลังจากนั้นไม่นานด้านนอกก็จุดเทียนขึ้น ไป๋เหมยเคาะวงประตูเบาๆ พลางถามด้วยเสียงนบนอบ “คุณหนู ต้องการให้บ่าวไปปรนนิบัติหรือไม่เจ้าคะ”
อวิ๋นเชียนเมิ่งมองดูเท้าของตนที่ถูกชายหนุ่มกุมเอาไว้ในกำมือ จึงเอ่ยเสียงเย็นทันที “ไม่มีอะไร เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
“เจ้าค่ะ” ไป๋เหมยขานรับเบาๆ แล้วจึงถอยออกไปจากข้างประตู ผ่านไปครู่หนึ่งแสงเทียนจากด้านนอกที่เพิ่งจะสว่างขึ้นก็ถูกเป่าดับลง อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงผ่อนลมหายใจเฮือก
ทว่ายามนี้เบื้องหน้ากลับมีเสียงหัวเราะแผ่วอ่อนของบุรุษดังขึ้นอีกครา หลังจากนั้นอวิ๋นเชียนเมิ่งก็รู้สึกว่าถุงเท้าของตนเองถูกถอดออก มือที่อุ่นร้อนข้างหนึ่งกอบกุมขาขวาของนางไว้ ส่วนมืออีกข้างกลับลูบลงบนข้อเท้า บีบนวดอย่างเบาแรง
บุรุษผู้นั้นนวดคลึงให้อวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยความเร็วและแรงสม่ำเสมอเป็นเวลาหนึ่งเค่อเต็มๆ ทว่าทั้งคู่กลับมิได้เอ่ยวาจาใดๆ อีก จนกระทั่งบนเท้าถูกสวมด้วยถุงเท้าอีกครั้ง อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงคิดจะเอ่ยปากขึ้น แต่กลับถูกไอร้อนพุ่งปะทะเข้ามา ตอนนี้บุรุษผู้นั้นได้เคลื่อนตำแหน่งมานั่งตรงหน้านาง จวนเจียนจะแนบสนิทกับพวงแก้มของนางแล้ว
อวิ๋นเชียนเมิ่งได้เห็นรูปโฉมของผู้มาเยือนถนัดตา หากมิใช่ฉู่เฟยหยางแล้วจะเป็นใคร
(โปรดติดตามต่อในเล่ม)