ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ
ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ
บทที่ 3 เล่นงานพ่อบ้าน
ภายใต้แสงมืดสลัว อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นในกระจกสะท้อนภาพเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าผู้หนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้สำรวจดูรูปโฉมที่แท้จริงของร่างกายนี้ เด็กสาวในกระจกแม้จะสีหน้าจะซีดเซียว แต่ความซีดเซียวนั้นไม่สามารถปกปิดรูปโฉมงามล้ำของนางลงได้ บนใบหน้ารูปไข่ห่านผ่ายผอมฝังไว้ด้วยนัยน์ตาสีดำเป็นประกาย ภายใต้แสงมืดมิดกลับเจิดจ้าเสียยิ่งกว่าเพชร แม้ปากรูปกระจับจะไร้สีเลือด ทว่าอวบอิ่มอ่อนนุ่ม ประกอบเข้ากับคิ้วใบหลิวที่ดำสนิทโดยไม่ต้องแต่งเติม คล้ายดั่งเป็นภาพวาดงดงามยิ่ง
ยามนี้มู่ชุนปล่อยผมยาวของอวิ๋นเชียนเมิ่งลง เส้นผมดำเป็นมันวาวก็สยายลงบนหัวไหล่ราวกับน้ำตก ขับเน้นให้ดวงหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มสวยสดงดงามยิ่งขึ้น
แม้อวิ๋นเชียนเมิ่งจะสวมอาภรณ์เก่าซอมซ่อ แต่ก็มองเห็นเรือนร่างสะสวยมีส่วนโค้งส่วนเว้าของนางออกได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเอวบางที่ราวกับจะกุมได้ด้วยฝ่ามือเดียว สัดส่วนรูปร่างจึงยิ่งดูสวยงามอย่างที่สุด
แต่ว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งได้รับสารอาหารไม่เพียงพอมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้ถึงแม้นางจะผิวพรรณขาวสะอาดเกลี้ยงเกลา แต่กลับขาดความสดใส ดูแล้วไม่มีชีวิตชีวา ไร้ซึ่งความสดใสผุดผ่องโดยสิ้นเชิง เหมือนกับห้องนอนที่อัตคัดขาดแคลนที่ไร้การประดับตกแต่งและพลังชีวิตแห่งนี้
อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้สึกได้ว่ามู่ชุนยังจะถอดชุดตัวในสีขาวของนางออกไป จึงเบี่ยงตัวหลบด้วยความไม่เคยชิน เดินไปยังฉากกั้นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปที่ห้องหนังสือ รายงานท่านพ่อว่าทางข้าต้องการเชิญหมอมาเปลี่ยนยา”
“เจ้าค่ะ ให้สุ่ยเอ๋อร์ ปิงเอ๋อร์ดูแลคุณหนูอาบน้ำนะเจ้าคะ” มู่ชุนเป็นห่วงว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะไม่มีคนคอยรับใช้จึงเอ่ยอย่างไม่วางใจ
อวิ๋นเชียนเมิ่งชะงักมือที่กำลังปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนเองเล็กน้อย รีบเอ่ยว่า “ไม่ต้อง ให้สองคนนั้นไปเฝ้าหน้าประตูก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ บ่าวขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งยืนกราน มู่ชุนก็ไม่พูดให้มากความ พอหมุนกายปิดประตูให้นางเรียบร้อยแล้วก็เดินไปยังห้องหนังสือทันที
ส่วนอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เดินเข้าไปนั่งในถังอาบน้ำ ย้อนนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน ถึงไทเฮาจะแสดงออกว่ามีท่าทีห่วงใยตนเอง แต่เหตุใดจึงไม่มอบป้ายทองให้ตนโดยตรง แต่กลับมอบให้สุ่ยเอ๋อร์กับปิงเอ๋อร์แทน หรือในพระทัยไทเฮาจะไม่ทราบว่าเมื่อป้ายทองนี้อยู่ในมือตนถึงจะมีพลังอำนาจมากกว่า
ไม่สิ ไทเฮาทรงเข้าใจดี พระนางเข้าใจกระจ่างยิ่งนัก กลัวแต่ว่าไทเฮาทรงมีเจตนาอื่นแอบแฝง ด้วยเหตุนี้ถึงไม่ยอมมอบป้ายทองให้ตน
ส่วนสุ่ยเอ๋อร์กับปิงเอ๋อร์นั้นคงจะเป็นหูตาที่ไทเฮาทรงวางตัวให้อยู่ข้างกายตนกระมัง
นัยน์ตาที่อบอวลด้วยไอน้ำลึกล้ำขึ้นโดยพลัน บนใบหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งฉายประกายดุร้ายผ่านวูบ ดูท่าทั้งจวนอัครเสนาบดีทั้งวังหลวงล้วนมีแต่อันตรายรอบด้าน คนที่ดูเหมือนรักใคร่กลมเกลียวกลับแอบแฝงเจตนาร้ายเอาไว้อย่างแท้จริง หากตนไม่รอบคอบทุกย่างก้าวก็คงจะกลายเป็นเนื้อในปากของพวกเขาแล้ว
ภายในห้องหนังสือเวลานี้ซูชิงหอบหายใจฮักซบอยู่บนร่างอวิ๋นเสวียนจือ นิ้วเรียวบางวาดไล้บนอกอีกฝ่ายเบาๆ บ่นอุบว่า “เสวียนจือ บุตรสาวของท่านดูไม่ค่อยเหมือนทุกที วันนี้ก็ทำให้พวกเราอับอายที่หน้าประตูจวน ซ้ำท่านยังสั่งอีกว่าเรื่องของนางไม่ต้องผ่านความเห็นข้า เกรงว่าภายภาคหน้าจวนอัครเสนาบดีคงถูกนางก่อกวนจนปั่นป่วนวุ่นวายแน่ๆ”
อวิ๋นเสวียนจือไหนเลยจะไม่เข้าใจในความหมายของซูชิง แต่หลายปีมานี้เขาไม่เคยได้เข้าไปในเรือนพักอาศัยของอวิ๋นเชียนเมิ่ง วันนี้พอได้เห็น เด็กคนนั้นก็น่าสงสารมากเช่นกัน
ผู้คนพูดกันว่าเด็กที่ไม่มีมารดาน่าสงสารที่สุด ถึงจะมีซูชิง แต่อย่างไรก็กั้นกันด้วยหนังท้องหนึ่งชั้น ไม่มีทางดีกับอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างสุดหัวใจได้ กอปรกับวันนี้ไทเฮาทรงตรัสชัดเจนแล้ว ตัวเขาในตอนนี้ก็ตกที่นั่งลำบากเช่นกัน ต่อให้ไม่ได้มีความผูกพันระหว่างพ่อลูกกับอวิ๋นเชียนเมิ่งสักเท่าไรนัก แต่อย่างไรก็ต้องเสแสร้งแกล้งทำบ้าง
มือใหญ่กุมมือเล็กไม่อยู่สุขของซูชิงเอาไว้ อวิ๋นเสวียนจือพูดเสียงเบา “ทนอีกระยะหนึ่งก็แล้วกัน นางไม่มีทางอยู่ในจวนอัครเสนาบดีได้ตลอดชีวิตหรอก อย่างไรเสียไทเฮาก็คงจะหาคนดีๆ ให้นาง”
ได้ยินอวิ๋นเสวียนจือพูดเช่นนี้ ซูชิงก็หยัดกายขึ้นจากอ้อมกอดของเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ ในดวงตางามเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ “ท่านหมายความว่าอย่างไร ทำเหมือนข้าไม่ยอมรับนางอย่างนั้นแหละ วันนี้ท่านก็เห็นด้วยตาตนเองแล้วนี่ เสวี่ยเอ๋อร์ตกใจเสียขวัญจนแม้แต่ข้าวเย็นก็ไม่ได้กินด้วยซ้ำ”
อวิ๋นเสวียนจือครั้นได้ยินว่าบุตรสาวสุดที่รักไม่ได้กินข้าวเย็น ใบหน้าจึงพลันฉายแววสงสาร กอดซูชิงเอาไว้พร้อมกับเอ่ยรับปากทันที “ประเดี๋ยวข้าจะไปดูเสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าดูสิข้ายังสงสารนางมิใช่หรือ หากจะกักบริเวณเจ้าจริงๆ ตอนนี้เจ้าจะมาอยู่ในห้องหนังสือข้าได้หรือไร”
พูดจบอวิ๋นเสวียนจือก็ยื่นมือไปบีบดวงหน้าขาวนวลเนียนของซูชิง ในระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกัน เสียงของมู่ชุนก็ดังขึ้นจากหน้าประตู
“นายท่าน คุณหนูอยากเชิญท่านหมอ ไม่ทราบว่านายท่านเห็นว่าอย่างไรเจ้าคะ” เห็นได้ชัดว่าเสียงของทั้งคู่ถูกมู่ชุนได้ยินเข้าแล้ว ด้วยเหตุนี้มู่ชุนจึงไม่ได้บุ่มบ่ามพุ่งเข้าไปในห้องหนังสือ เพียงแต่สอบถามจากนอกประตูเท่านั้น
“อนุญาต” คำตอบอย่างไม่รีบไม่ร้อนของอวิ๋นเสวียนจือดังออกมาจากในห้องหนังสือ จากนั้นก็ไม่สนใจมู่ชุนอีก
เมื่อมู่ชุนกลับไป อวิ๋นเชียนเมิ่งก็อาบน้ำหวีผมเรียบร้อยแล้วและกำลังนอนหลับตาพักผ่อนอยู่บนเตียง
เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งสีหน้าปรากฏความเหนื่อยล้า เดิมทีมู่ชุนคิดจะดับเทียนแล้วออกไปอย่างเงียบเชียบ แต่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายกลับเอ่ยปากถามในตอนนี้ “เป็นอย่างไรบ้าง”
ได้ยินอวิ๋นเชียนเมิ่งถาม มู่ชุนจึงยกเชิงเทียนเดินมาข้างเตียง พูดสิ่งที่ตนเองได้ยินมาให้นางฟังด้วยเสียงแผ่วเบาหนึ่งรอบ
“คุณหนู ดูท่าว่าในใจของนายท่านยังคงรักใคร่ซูอี๋เหนียงอยู่มากเลยนะเจ้าคะ” ครั้นเห็นว่าหลังจากอวิ๋นเชียนเมิ่งฟังคำรายงานของนางจบก็ไม่พูดไม่จา มู่ชุนจึงกล่าวอย่างเรียกร้องความเป็นธรรม
ทั้งๆ ที่วันนี้คุณหนูได้รับบาดเจ็บ ถูกซูอี๋เหนียงดูหมิ่น และนายท่านเพิ่งจะตำหนิซูอี๋เหนียงไป แต่ไม่ทันไรกลับปล่อยตามใจนาง คิดๆ ดูแล้วเรื่องอาหารเย็นคืนนี้คงจะเป็นซูอี๋เหนียงที่ให้ท้ายเช่นเดียวกัน
“มู่ชุน วาจานี้ห้ามพูดต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด” ได้ยินมู่ชุนเรียกร้องความยุติธรรมแทนตน ไออุ่นก็วาดผ่านในใจอวิ๋นเชียนเมิ่ง
แม้จะปฏิสัมพันธ์กับมู่ชุนได้เพียงครึ่งวัน แต่ในจวนอัครเสนาบดีที่ถูกซูชิงควบคุมไว้ในมือแห่งนี้ คนที่จงรักภักดีกับตนถึงเพียงนี้ นอกจากมู่ชุนแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก
ตั้งแต่อวิ๋นเชียนเมิ่งมายังแคว้นซีฉู่จนกระทั่งถึงตอนนี้ คนเดียวที่เชื่อใจได้ก็คือมู่ชุน
ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่อาจปล่อยให้มู่ชุนต้องเดือดร้อนเพราะปากได้ รอบกายตนนับๆ ดูทั้งหมดแล้วก็มีแต่คนคนนี้ที่ไว้วางใจได้จริงๆ
เห็นได้ชัดว่ามู่ชุนไม่คิดว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะกลับมาเป็นฝ่ายห่วงใยนาง บนใบหน้าจึงปรากฏแววตื้นตันอย่างห้ามไม่อยู่ พยักหน้าขานรับว่าเจ้าค่ะทันที
จากนั้นนึกขึ้นได้ว่าอาหารเย็นของคุณหนูวันนี้มีเพียงผักสองจานเล็กๆ กับโจ๊กหนึ่งถ้วย มู่ชุนจึงเดินมาหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบเศษเงินที่เหลือเพียงน้อยนิดในตลับไม้เล็กๆ ซึ่งวางอยู่ด้านบนออกมา พอนับจำนวนดูแล้วก็พูดว่า “คุณหนู พรุ่งนี้บ่าวจะไปซื้อผักสดๆ ที่ตลาดมาสักเล็กน้อย ปรุงให้คุณหนูทานโดยเฉพาะนะเจ้าคะ”
สายตาอวิ๋นเชียนเมิ่งมองไปยังมือขวาที่วางลงต่ำของมู่ชุน ครั้นเห็นเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ ไม่กี่เหรียญบนฝ่ามือก็ถามว่า “อีกกี่วันถึงจะจ่ายเบี้ยรายเดือน”
มู่ชุนผงะอึ้งไปเล็กน้อย ตอบกลับทันใด “วันที่สามของทุกเดือนเจ้าค่ะ วันนี้ก็ปาเข้าไปวันที่ยี่สิบแปดแล้ว”
อวิ๋นเชียนเมิ่งได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย หลังจากสมองครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยปากขึ้น “เงินพวกนี้เก็บเอาไว้ก่อนชั่วคราว สองสามวันนี้ก็กินตามห้องครัวใหญ่ไปก่อนแล้วกัน วันนี้เจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว พาสุ่ยเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์ไปพักผ่อนเถิด”
มู่ชุนได้ยินก็เข้าใจได้โดยพลัน คุณหนูคงจะเตรียมการป้องกันเอาไว้ล่วงหน้า อย่างไรเสียถึงแม้จะมีคำสั่งจากนายท่าน แต่หากซูอี๋เหนียงอยากจะกลั่นแกล้งพวกนางก็เป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง นางจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อเศษเงินเหล่านั้นเอาไว้แล้ววางกลับเข้าไปในตลับไม้อีกครั้ง ก่อนจะถือเชิงเทียนเดินออกจากห้องนอนของอวิ๋นเชียนเมิ่งไป
การจากไปของมู่ชุนมิได้ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราได้ในทันที ยามนี้ความคิดของนางกลับแจ่มชัดยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา
แต่ยิ่งความคิดแจ่มชัด ความพะวงในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ยิ่งมากล้น
นางเป็นคนยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามายังห้วงเวลาที่ไม่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ กอปรกับแต่ก่อนเจ้าของร่างนี้ไม่สนใจเรื่องราวภายนอก จึงทำให้นางพลอยรู้เรื่องเกี่ยวกับบุคคลในยุคสมัยนี้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ตอนนี้ข้างกายมีเพียงมู่ชุนคนเดียว นางจะต้องสลัดเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านี้ออกไปอย่างไรถึงจะสามารถสนใจแต่เรื่องของตนเองได้
ไม่รู้ว่าเพราะเสียเลือดมากเกินไปหรือไม่ อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงค่อยๆ จมลึกสู่นิทราในขณะที่กำลังคิดใคร่ครวญมิได้หยุด
วันต่อมาฟ้ายังไม่สว่าง เสียงฝีเท้าเอะอะครึกโครมก็ดังมาจากด้านนอก
อวิ๋นเชียนเมิ่งลุกขึ้นนั่งพร้อมกับมือหนึ่งกุมขมับ หรี่ดวงตามองนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง ตะโกนไปทางประตูห้องด้วยเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “มู่ชุน!”
“คุณหนู ท่านตื่นแล้ว” เมื่อได้ยินเสียงเรียก มู่ชุนก็ผลักประตูเข้ามาทันที ในมือยังยกน้ำล้างหน้าและผ้าเช็ดหน้ามาด้วย
อวิ๋นเชียนเมิ่งนวดคลึงหน้าผากที่ปวดแปลบ ถามอย่างสะลึมสะลือเล็กน้อย “ตอนนี้ยามใดแล้ว เหตุใดข้างนอกถึงเสียงดังวุ่นวายเช่นนี้”
“เรียนคุณหนู ยามอิ๋นสามเค่อพ่อบ้านจ้าวก็พาคนงานเข้ามาในเรือนฉี่หลัว บอกว่าได้รับคำสั่งจากนายท่านให้ซ่อมแซมเรือนพักอาศัยให้คุณหนูโดยเฉพาะเจ้าค่ะ” พูดจบมู่ชุนก็ประคองอวิ๋นเชียนเมิ่งลงจากเตียง ปรนนิบัตินางล้างหน้าเปลี่ยนอาภรณ์อย่างเอาใจใส่
แต่ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับยิ้มเย็นไม่หยุด ดูท่าพ่อบ้านจ้าวผู้นี้คงเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าคนป่วยต้องการพักผ่อนอย่างสงบ แต่กลับให้คนงานทำงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำโดยเจตนา
เขานึกว่านางเป็นมะพลับนิ่ม ยอมปล่อยให้เขากลั่นแกล้งเอาตามใจชอบได้จริงๆ หรือ
หากไม่ทำให้เขาเกรงกลัวตนจริงๆ ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยคดียาเสพติดของนางคงเป็นเสียเปล่าแล้วล่ะ!
การปรากฏตัวของอวิ๋นเชียนเมิ่งทำให้คนหนุ่มที่กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้นทยอยพากันหยุดงานในมือลง พวกเขาไม่เคยเห็นคุณหนูตระกูลใหญ่มาก่อน วันนี้มีวาสนาได้เห็นคุณหนูจวนอัครเสนาบดี งดงามเสียยิ่งกว่าคนในภาพวาดในปีนั้นถึงสิบส่วน ใบหน้าเยาว์วัยแต่ละดวงแดงเรื่อขึ้นอย่างห้ามใจไม่อยู่
พ่อบ้านเห็นท่าทีเช่นนี้ของทุกคน นัยน์ตาก็ฉายประกายอำมหิตวาบผ่าน จากนั้นสาวเท้าเร็วรี่เดินเข้าไปคำนับอวิ๋นเชียนเมิ่งเล็กน้อย กล่าวอย่างนอบน้อมอยู่บ้าง “ไฉนคุณหนูถึงตื่นเช้าขนาดนี้เล่า พวกบ่าวเสียงดังจนทำให้คุณหนูตื่นหรือขอรับ”
อวิ๋นเชียนเมิ่งรอให้พ่อบ้านจ้าวแสดงละครฉากนี้จบแล้วจึงเอ่ยอย่างเฉยชา “พ่อบ้านจ้าวขยันขันแข็งจริงๆ ฟ้ายังไม่สางก็เริ่มงานยุ่งแล้ว”
เห็นวันนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งไร้วาจาอื่นใด พ่อบ้านจ้าวก็อดเผยสีหน้าลำพองใจมิได้ ทว่าวาจาที่เปล่งออกมากลับถ่อมตัวยิ่ง “คุณหนูชมเกินไปแล้วขอรับ นี่คือคำสั่งของนายท่าน และเป็นสิ่งที่ข้ารับใช้อย่างพวกเราพึงกระทำ กลัวก็แต่จะรบกวนการพักผ่อนของคุณหนู”
ถึงจะเอ่ยเช่นนี้ แต่ในใจพ่อบ้านจ้าวหาได้คิดเช่นนั้นไม่ ถ้าวันนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งเอาเรื่องนี้ไปฟ้องต่อหน้านายท่าน เขาเองก็มีเหตุผลรองรับเช่นเดียวกัน
ฟังจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็พยักหน้า เห็นคนงานสิบกว่าคนถึงกับจดจ้องตนไม่วางตา ในใจก็อดหงุดหงิดไม่ได้ ถามกลับอย่างเย็นชาทันที “แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่พ่อบ้านจ้าวยังไม่ตื่นใช่หรือไม่ ถึงกับกล้าเมินเฉยต่อคำสั่งของท่านพ่อ”
เพียงวาจาเรียบๆ เอื่อยๆ หนึ่งประโยคกลับสร้างคลื่นยักษ์สูงทะมึนในใจพ่อบ้านจ้าว คนมากความเจ้าเล่ห์อย่างเขาย้อนนึกถึงวาจาที่อวิ๋นเสวียนจือพูดต่อหน้าเขาเมื่อวานทันที ทว่ากลับหาช่องโหว่ใดๆ ไม่เจอ
เห็นพ่อบ้านจ้าวนิ่งเงียบไม่ตอบคำอยู่เป็นนาน สีหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งก็พลันเย็นเยียบ ดวงตาเผยแววเย็นชา ก่อนตวาดเสียงเย็น “พ่อบ้านจ้าวใจกล้านัก ถึงกับลอบพาบุรุษแปลกหน้าเข้ามาในเรือนพักอาศัยของหญิงสาวจวนอัครเสนาบดี ควรจะลงโทษเยี่ยงไรดี!”
ถูกอวิ๋นเชียนเมิ่งตวาดแสกหน้า พ่อบ้านจ้าวจึงตะลึงลานไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงนึกคำสั่งของอวิ๋นเสวียนจือเมื่อวานขึ้นมาได้ สีหน้าจึงผ่อนคลายลงทันใด กล่าวด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “คุณหนู นายท่านสั่งให้บ่าวซ่อมแซมเรือนฉี่หลัว บ่าวก็แค่ทำตามคำสั่งของเจ้านายเท่านั้น คุณหนูไยต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยขอรับ”
อวิ๋นเชียนเมิ่งจ้องใบหน้าหยิ่งผยองของพ่อบ้านจ้าวด้วยสีหน้าเย็นชา นางมีแผนไว้ในใจอยู่แล้ว “ตามความหมายของพ่อบ้านจ้าว หากรูปโฉมของคุณหนูอย่างข้าถูกบุรุษแปลกหน้าเห็นเข้าก็มิใช่เรื่องสลักสำคัญสินะ เรื่องที่เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของข้า พ่อบ้านจ้าวกลับปฏิบัติหน้าที่อย่างลวกๆ ตกลงเจ้ามีเจตนาใดกันแน่!”
คำโบราณกล่าวว่าไม่อาจยื่นมือตบคนหน้าเปื้อนยิ้ม
พ่อบ้านจ้าวคิดว่าหากเขาแย้มยิ้มหน้าบาน อวิ๋นเชียนเมิ่งก็คงจะไว้หน้าเขาบ้าง ทว่าเขากลับดีดลูกคิดรางแก้วรวนไปหมด อวิ๋นเชียนเมิ่งไม่เพียงแต่เผยสีหน้าหนาวยะเยือก ยิ่งกว่านั้นยังคาดโทษเขาตั้งแต่เริ่มอีกด้วย
นี่ทำให้พ่อบ้านจ้าวที่อาศัยซูอี๋เหนียงวางก้ามใหญ่โตในจวนอัครเสนาบดีหน้าเสียทันใด รอยยิ้มที่กองพะเนินอยู่บนใบหน้าชะงักค้างโดยพลัน แต่ก็ไม่อยากให้อวิ๋นเชียนเมิ่งมองโทสะที่ก้นบึ้งในหัวใจเขาออก ใบหน้าชรานั้นพลันแปรเปลี่ยนหลากสีสันไปชั่วขณะ ทำให้มู่ชุนที่อยู่ด้านหลังแทบจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว
พ่อบ้านจ้าวในยามนี้ไม่ชะล่าใจอีกต่อไป รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหายไป ยืนตัวตรงทันใด ดวงตาเผยแววอันตรายพลางกล่าว “คุณหนูไยต้องทำให้ข้ารับใช้อย่างพวกเราลำบากใจด้วยขอรับ พวกเราก็แค่ทำตามคำสั่งเจ้านายเท่านั้น นอกจากนี้หากคุณหนูไม่ออกจากห้องนอน คนอื่นก็ไม่เห็นรูปโฉมของคุณหนูหรอกขอรับ”
คิดไม่ถึงว่าหลังจากอวิ๋นเชียนเมิ่งได้ยินคำโต้แย้งของพ่อบ้านจ้าว นอกจากไม่โกรธแล้วยังยิ้มออกมาเสียด้วยซ้ำ ครั้นรอยยิ้มจางๆ ผ่านพ้นไป สุ้มเสียงเย็นยะเยือกก็ดังขึ้นอีกครั้ง “หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับอวิ๋นรั่วเสวี่ย แม้จะให้พ่อบ้านยืมความกล้าก็คงไม่กล้าทำเช่นนี้กระมัง ยิ่งไปกว่านั้นพ่อบ้านจ้าวยังจำเหตุผลที่เมื่อวานท่านพ่อทำโทษซูอี๋เหนียงได้หรือไม่”
ยามนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ นอกจากเสียงไก่ขันจากที่ไกลๆ เรือนพักอาศัยอันเปล่าเปลี่ยวอย่างเรือนฉี่หลัวกลับเงียบสนิทเสมือนยามราตรี ด้วยเหตุนี้เสียงย้อนถามของอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงกระทบเข้าหูทุกคนอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ทำให้พ่อบ้านจ้าวหน้าซีดเผือดทันใด ความดุร้ายในดวงตาหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความร้อนใจจะแก้ไขสถานการณ์
“ซูอี๋เหนียงมีฐานะเป็นสตรีของจวนอัครเสนาบดี ลอบออกจากจวนโดยพลการ ถูกท่านพ่อลงโทษกักบริเวณสิบวัน แต่ตอนนี้พ่อบ้านจ้าวกลับพาบุรุษเข้ามาในเรือนฉี่หลัวอย่างโจ่งแจ้ง หมายจะทำลายชื่อเสียงของคุณหนูอย่างข้า ไม่รู้ว่าพอแจ้งความผิดนี้ให้ไทเฮาทรงทราบ พ่อบ้านจ้าวคิดอยากจะตายด้วยวิธีใด”
อวิ๋นเชียนเมิ่งไม่คิดจะให้โอกาสพ่อบ้านจ้าวอธิบาย กล่าวกำหนดโทษตายให้อีกฝ่ายทันที ทำให้ชายหนุ่มสิบกว่าคนที่ยืนอยู่หลังพ่อบ้านจ้าวอดหน้าซีดเผือดไปด้วยมิได้
ถึงแม้พวกเขาจะเป็นคนที่ดำรงชีวิตอยู่ในชนชั้นต่ำที่สุด แต่แนวคิดระบบศักดินาที่ฝังรากลึกกลับทำให้พวกเขาเข้าใจหลักการเดียวกันได้ พระราชอำนาจยิ่งใหญ่ดุจสวรรค์
ยามนี้ได้ยินคุณหนูคนงามโพล่งคำว่าไทเฮาออกมาจากปาก ทำให้พวกเขาได้สติกลับจากความงามสะคราญ พากันก้มหน้าลงต่ำทันที ไม่กล้าจดจ้องอวิ๋นเชียนเมิ่งอีก
ต่อให้พ่อบ้านจ้าวคิดใคร่ครวญเป็นพันเป็นหมื่นตลบก็คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะยกเหตุผลที่ซูชิงถูกลงโทษมา ยิ่งคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะนำเรื่องสองเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิงมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน
แต่เรื่องนี้เขาไม่อาจยอมรับผิดได้
ด้วยนิสัยของอวิ๋นเชียนเมิ่งในตอนนี้ ต่อให้เขายอมรับผิด นางก็คงไม่ยอมปล่อยเขาไป มิสู้ดื้อแพ่งไม่ยอมรับเสียยังดีกว่า หากเขายืนยันว่าตนเองมิได้มีแรงจูงใจส่วนตัวแม้แต่น้อย ถึงอวิ๋นเชียนเมิ่งจะมีไทเฮาหนุนหลัง แต่หากไม่มีหลักฐานที่ประจักษ์แจ้งแล้วจะทำอะไรเขาได้
นอกจากนั้นเรือนฉี่หลัวตั้งอยู่ด้านในสุดของจวนอัครเสนาบดี อีกทั้งหน้าทางเข้าเรือนก็มีคนของเขาเฝ้าดูอยู่ อวิ๋นเชียนเมิ่งจะออกไปได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้
พอคิดได้ดังนี้ในใจพ่อบ้านจ้าวก็ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงก้องกังวาน “คุณหนูจะคาดโทษบ่าวโดยอาศัยแค่การคาดเดาของตนเองเพียงอย่างเดียวได้อย่างไรขอรับ หรือคุณหนูไม่กลัวจะทำให้ทุกคนในจวนเสียขวัญ อีกอย่างวันๆ หนึ่งไทเฮาทรงสะสางธุระปะปังมากมาย ไหนเลยจะมีเวลามาสนพระทัยเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ คุณหนูเองก็เป็นธิดาตระกูลมีชื่อเสียง ยิ่งไม่อาจออกจากจวนไปรบกวนไทเฮาที่วังหลวงทุกวันได้”
วาจาเหล่านี้กล่าวได้อย่างองอาจเที่ยงธรรม แต่กลับทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเกิดความหยามเหยียดในใจ
ดูท่าทางพ่อบ้านจ้าวผู้นี้ไม่เพียงแต่เกรงคนชั่วรังแกคนอ่อนแอ ยังเป็นพวกรักตัวกลัวตายอีกด้วย ช่างเล่นแง่เช่นนี้มีคุณสมบัติใดมาเป็นพ่อบ้านจวนอัครเสนาบดี
โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าพ่อบ้านจ้าวถึงกับกล้าวางกำลังคนเฝ้ายามที่เรือนพักอาศัยของนาง ยิ่งทำให้ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งถาโถมด้วยความเย็นชา
“สุ่ยเอ๋อร์!” เสียงตวาดเย็นเยียบทำให้พ่อบ้านจ้าวมองไปทางสุ่ยเอ๋อร์ที่ก้าวเข้ามาอย่างงุนงง ในใจครุ่นคิดว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งคิดจะเล่นละครอันใดอีก
“คุณหนูมีรับสั่งอันใดหรือเจ้าคะ” สุ่ยเอ๋อร์และปิงเอ๋อร์ยืนดูมาเนิ่นนาน ในใจรู้สึกรังเกียจพวกหน้าไม่อายอย่างพ่อบ้านจ้าวยิ่งนัก ยามนี้เห็นว่าในที่สุดตนก็ถูกคุณหนูเรียกชื่อจึงเดินเข้าไปรอรับคำสั่งทันที
“ข้าปวดศีรษะจนแทบจะระเบิด เจ้านำป้ายทองของไทเฮาเข้าวังไปเชิญหมอหลวง หากไทเฮาทรงตรัสถาม จำไว้ว่าให้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสองวันนี้ให้พระนางฟังทีละเรื่องๆ” ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งรู้ดีว่าการรับมือคนถ่อยอย่างพ่อบ้านจ้าว อาศัยแค่ลมปากคงทำอะไรเขาไม่ได้
ทว่าป้ายทองของไทเฮาไม่เหมือนกัน ป้ายทองที่สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนได้แผ่นนั้น แม้แต่อวิ๋นเสวียนจือเห็นแล้วก็ยังเสียววาบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพ่อบ้านเล็กๆ คนหนึ่ง
ส่วนสุ่ยเอ๋อร์ก็ควักป้ายทองนั้นออกมาจากแขนเสื้ออย่างฉลาดเฉลียวทันที ยามนี้ท้องฟ้าสว่างโร่ แสงอรุณทะลุผ่านชั้นเมฆสาดส่องมายังพื้นปฐพี ทำให้ป้ายทองแผ่นนั้นเปล่งแสงอร่ามในมือสุ่ยเอ๋อร์ ทิ่มแทงดวงตาของพ่อบ้านจ้าวในทันใด
ในยามนี้พ่อบ้านจ้าวถึงได้เข้าใจความกลัวตายอย่างแท้จริง สองขาสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งยังคงสีหน้าเมินเฉยเหมือนเคยก็คุกเข่าลงโดยพลัน
“คุณหนูไว้ชีวิตด้วย! คุณหนูไว้ชีวิตด้วยขอรับ! บ่าวเป็นแค่บ่าวรับใช้ แค่ตั้งใจอยากจะให้คุณหนูได้อาศัยอยู่ในเรือนใหม่ที่กว้างขวางและสะอาดขึ้น หาได้มีเจตนาอื่นใดจริงๆ ขอรับ ขอคุณหนูโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง!” ในที่สุดพ่อบ้านก็เข้าใจว่าทำไมอวิ๋นเสวียนจือถึงปฏิบัติกับอวิ๋นเชียนเมิ่งแตกต่างไปจากทุกที ทว่าเขามัวสนใจแต่จะแก้แค้นที่ถูกทำให้ขายหน้าเมื่อวาน มิได้คิดทบทวนถึงการเปลี่ยนแปลงของอวิ๋นเชียนเมิ่งโดยสิ้นเชิง
ครั้นตอนนี้คิดๆ ดู จะเสียใจก็ไม่ทันการณ์จริงๆ
อวิ๋นเชียนเมิ่งตอนนี้มิใช่คุณหนูในห้องหับที่ขี้ขลาดใจอ่อนผู้นั้นอีกแล้ว นางเผชิญหน้ากับการวิงวอนขอชีวิตของพ่อบ้านโดยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย พอส่งสายตาให้สุ่ยเอ๋อร์ก็เห็นสุ่ยเอ๋อร์เก็บป้ายทองในมือ เดินไปยังทางเข้าเรือนโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว
“คารวะท่านอัครเสนาบดีเจ้าค่ะ!” เพิ่งจะก้าวออกจากเรือน สุ่ยเอ๋อร์ก็เห็นอวิ๋นเสวียนจือเดินมาทางนี้อย่างรีบเร่ง
ครั้นได้ยินเสียงเตือนของสุ่ยเอ๋อร์ ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งพลันเย็นเยียบเล็กน้อย จากนั้นร้อยยิ้มเย็นก็ปรากฏที่ริมฝีปากบางทันใด
ดูท่าแล้วอวิ๋นเสวียนจือคงมีญาณรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจริงๆ ถึงได้รู้ว่าตนเองจะจัดการกับคนในจวนอัครเสนาบดีผ่านไทเฮา จึงรีบมายับยั้งทันควัน
แต่หลังจากอวิ๋นเสวียนจือทราบถึงการกระทำของพ่อบ้านในวันนี้ก็รู้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีตามมา จึงรีบสั่งให้ข้ารับใช้ไปที่วังหลวงเพื่อลาป่วยให้ตน จากนั้นก็รีบเร่งมายังเรือนด้านหลังแห่งนี้
“คารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” อวิ๋นเชียนเมิ่งกวาดตามองสีหน้าที่ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัดของพ่อบ้านจ้าวแวบหนึ่งแล้วจึงเดินเข้าไปอย่างเยือกเย็น คำนับต่ออวิ๋นเสวียนจืออย่างอ่อนช้อย หลังจากนั้นก็ยืนอยู่ข้างๆ อวิ๋นเสวียนจือเงียบๆ
เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า อวิ๋นเสวียนจือก็ถลึงตาใส่พ่อบ้านจ้าวที่ก่อปัญหา ตวาดเสียงดัง “ใครก็ได้! ไล่คนงานพวกนี้ออกไปให้หมด! ส่วนพ่อบ้านจ้าว เจ้าถึงกลับกล้าเพิกเฉยต่อคำสั่งเมื่อวานของข้า รบกวนการพักผ่อนของคุณหนูโดยไม่ขออนุญาต ใครก็ได้! ลากพ่อบ้านจ้าวออกไป โบยหนักยี่สิบไม้ พร้อมหักเบี้ยรายเดือนครึ่งปี”
พ่อบ้านจ้าวได้ยินว่าตนเองรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ทั้งยังฟังออกว่าอวิ๋นเสวียนจือปกป้องตน ทันใดนั้นใบหน้าพลันปรากฏแววยินดี แต่เมื่อกำลังจะกล่าวขอบคุณก็ถูกเสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่งตัดบท
“ท่านพ่อ พ่อบ้านจ้าวผู้นี้ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ละเลยคำสั่งท่านเป็นอันดับแรก ทำลายชื่อเสียงของลูกเป็นลำดับต่อมา แต่ท่านกลับมีจิตใจเมตตาราวพระโพธิสัตว์เช่นนี้ เกรงว่าต่อไปข้ารับใช้จวนอัครเสนาบดีคงจะกำเริบเสิบสานกันหมดนะเจ้าคะ” ยามนี้สายตาอวิ๋นเชียนเมิ่งทอดมองไปเบื้องหน้า สุ้มเสียงไม่ช้าไม่เร็ว แต่กลับบาดลึกทุกถ้อยคำ บีบให้อวิ๋นเสวียนจือลงมือรุนแรงกับพ่อบ้านจ้าว
ได้ยินเช่นนั้นพ่อบ้านจ้าวและอวิ๋นเสวียนจือก็พากันผงะอึ้ง จากนั้นพ่อบ้านจ้าวก็มองไปทางอวิ๋นเสวียนจือด้วยสายตาเต็มไปด้วยแววเว้าวอน
อวิ๋นเสวียนจือมุ่นคิ้วเล็กน้อย เอ่ยด้วยความลำบากใจอยู่บ้าง “ถ้าอย่างนั้นตามความหมายของเมิ่งเอ๋อร์คือ…?”
ได้ยินอีกฝ่ายผลักปัญหายากมาให้ตน อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ผลิยิ้มเจิดจ้า เอ่ยราวกับไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น “ไม่ทราบว่าตอนนั้นใครเป็นคนฝากฝังพ่อบ้านจ้าวเข้ามาหรือเจ้าคะ คนผู้นั้นต้องรับความผิดทั้งหมด อย่างไรจวนอัครเสนาบดีก็มิใช่จวนธรรมดาสามัญ ถ้าหากชักศึกเข้าบ้าน นั่นจะทำให้แคว้นซีฉู่ของเราสูญเสียเสาหลักของชาติอย่างท่านพ่อไปนะเจ้าคะ”
อวิ๋นเสวียนจือคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะยกระดับปัญหาให้รุนแรงยิ่งขึ้นเช่นนี้
เมื่อคิดดูแล้วในตอนนั้นคนที่แนะนำพ่อบ้านจ้าวก็คือซูชิง แต่เขาย่อมไม่อาจให้ซูชิงได้รับความคับข้องใจ จึงได้แต่กวาดสายตามองพ่อบ้านจ้าวที่ขอร้องวิงวอนตน ก่อนกล่าวอย่างเด็ดขาด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมิ่งเอ๋อร์เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ จะหาพ่อบ้านใหม่ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง มิสู้ให้พ่อบ้านจ้าวทำหน้าที่ไปก่อน รอให้พ่อหาคนที่เหมาะสมได้แล้วค่อยไล่เขาออก”
พอได้ยินเช่นนี้ หางตาของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เหลือบเห็นสีหน้าเขียวคล้ำของอวิ๋นเสวียนจือ รู้ดีแก่ใจว่าหากตอนนี้บีบบังคับเขาต่อ เหตุการณ์อาจจะพลิกกลับ จึงพยักหน้ากล่าวว่า “เช่นนั้นก็ตามแต่ความต้องการของท่านพ่อเถิดเจ้าค่ะ”
สิ้นคำนางก็ไม่สนทุกคนที่อยู่ในเรือนอีก เดินนำพาสาวใช้ของตนกลับเข้าไปในห้องอีกครา