ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ
ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ
บทที่ 4 อี๋เหนียงก็รังแกอี๋เหนียงได้เหมือนกัน
เรื่องที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ แค่สองวันผุดระลอกคลื่นยักษ์สูงทะมึนในจวนอัครเสนาบดีทันที
ยิ่งกว่านั้นวันนี้นายท่านยังออกคำสั่งลงโทษโบยพ่อบ้านจ้าวด้วยตนเองเพื่อให้คุณหนูสบายใจ นี่ทำให้ทุกคนในจวนอัครเสนาบดีเต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้ต่อคุณหนูใหญ่ที่นิสัยแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวหลังจากถูกเฉินอ๋องถอนหมั้นผู้นี้
หลังจากได้ยินว่าพ่อบ้านจ้าวถูกลงโทษ ซูชิงกลับไม่เอ่ยวาจาใดๆ เพียงพาอวิ๋นรั่วเสวี่ยไปทานอาหารเช้าเงียบๆ ตามปกติ
พ่อบ้านจ้าวเป็นคนที่นางอุ้มชูด้วยมือตนเอง ด้วยความเข้าใจที่ซูชิงมีต่อพ่อบ้านจ้าวแล้ว จะไม่รู้จักนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของเขาได้อย่างไร
ที่วันนี้อวิ๋นเสวียนจือทำเช่นนี้ ดูคล้ายกับเอ็นดูอวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่ที่จริงแล้วเป็นการไว้หน้าไทเฮาต่างหาก
ถ้าเกิดตนออกหน้าแก้ต่างแทนพ่อบ้านจ้าว จะกลับเป็นการทำร้ายความรักใคร่ระหว่างสามีภรรยา ทำให้นางเด็กปลิ้นปล้อนอย่างอวิ๋นเชียนเมิ่งสบโอกาสเจาะช่องว่างได้
แต่ในใจอวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับไม่ยินยอม นางยืนขึ้นด้วยสีหน้าเจือความโกรธเกรี้ยว เดินก้าวเท้าเร็วรี่ไปตรงหน้าหลิ่วอี๋เหนียงที่ยืนยอบตัวอยู่หน้าประตูห้อง มือเรียวงามเชยคางคุณหนูสามที่อยู่ด้านข้างหลิ่วอี๋เหนียงขึ้น สังเกตดูอย่างละเอียดลออ
“พรืด…” คนที่เมื่อครู่ยังใบหน้าเปี่ยมโทสะตอนนี้กลับหัวเราะขึ้นมาเบาๆ “ท่านแม่ น้องสามโตมาใบหน้าสะสวย ตอนนี้น้องสามเองก็เติบใหญ่แล้ว ท่านแม่กำลังหาคนดีๆ ให้นางใช่หรือไม่”
วาจาของอวิ๋นรั่วเสวี่ยดุจฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ทำให้อวิ๋นเยียนคุณหนูสามสกุลอวิ๋นซึ่งเดิมทีหน้าแดงระเรื่อกลายเป็นใบหน้าซีดเผือดในชั่วพริบตา สายตามองไปทางมารดาของตนอย่างไม่อาจห้าม
“จริงอยู่ที่เยียนเอ๋อร์รูปโฉมงดงามหมดจด ถึงจะมีฐานะเป็นบุตรอนุภรรยา แต่ถ้าไม่ได้แต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวย เชื่อว่าให้หมั้นหมายกับคนธรรมดาๆ สักคนก็คงได้อยู่ ข้าว่าบุตรชายคนโตของพ่อบ้านจ้าวก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว” แค่วาจาประโยคเดียวของซูชิงก็ลิขิตทั้งชีวิตของอวิ๋นเยียนได้แล้ว
“ฮูหยินเจ้าคะ หลายปีมานี้พวกเราแม่ลูกอยู่ในจวนอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ขอท่านโปรดเมตตาด้วยเถิดเจ้าค่ะ ให้เยียนเอ๋อร์อยู่ข้างกายบ่าวอีกสักสองสามปีเถิด” หลิ่วอี๋เหนียงคลานไปยังข้างเท้าซูชิง โขกศีรษะให้นางไม่หยุด หวังว่าซูชิงจะเปลี่ยนใจ
ส่วนอวิ๋นเยียนฟุบนั่งลงกับพื้นโดยที่น้ำตานองหน้าตั้งแต่แรกแล้ว
ใครบ้างไม่รู้ว่าบุตรชายคนโตของพ่อบ้านจ้าวมักมากในกาม ในบ้านมีภรรยาและอนุสิบกว่าคนอยู่แล้วยังมั่วสุมที่แหล่งเริงรมย์ได้ทั้งวัน การตัดสินใจของฮูหยินจะทำลายชีวิตทั้งชีวิตของนาง ช่างใจร้ายเหลือเกิน
“หลิ่วอี๋เหนียงมีปัญหาอันใด หรือว่าไม่พอใจในการแต่งงานครั้งนี้ ช่วยให้ได้ดีแล้วไม่รู้จักรับไว้ ไม่คิดดูบ้างว่าพวกเจ้ามีสถานะใด ยังจะกล้าจู้จี้จุกจิกอีก พรุ่งนี้ข้าจะให้พ่อบ้านจ้าวมาสู่ขอ อวิ๋นเยียนจะได้เป็นอี๋เหนียงสกุลจ้าวอย่างแน่นอน” เท้าข้างหนึ่งของนางเตะหลิ่วอี๋เหนียงออก ก่อนจะยืนขึ้นด้วยสีหน้ามาดร้าย โบกมือให้พวกหญิงรับใช้ชราในห้องไล่สองแม่ลูกที่อ้อนวอนไม่หยุดออกไป
โทสะได้ระบายออกไปแล้ว อวิ๋นรั่วเสวี่ยจึงอารมณ์สดใสเบิกบาน สุดท้ายก็กลับมานั่งละเลียดทานอาหารเช้าที่หน้าโต๊ะอาหารอีกครา
อวิ๋นเชียนเมิ่งในตอนนี้ค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับชีวิตในสมัยโบราณได้แล้ว
เมื่อไม่มีพวกซูชิงมารบกวนชั่วคราว ถึงเรือนฉี่หลัวจะเก่าโกโรโกโส แต่วันคืนก็ผ่านไปอย่างอิสระผ่อนคลาย
นางใช้เวลาว่างในช่วงนี้ให้เป็นประโยชน์ ทำความคุ้นเคยกับบุคคลต่างๆ ที่จดจำอยู่ในสมอง
“คุณหนู เมื่อครู่บ่าวไปรับเบี้ยรายเดือนของเดือนนี้ที่ห้องบัญชี แต่ผู้ดูแลห้องบัญชีกลับบอกว่าเรือนฉี่หลัวของพวกเราไม่มีเบี้ยรายเดือนให้รับเจ้าค่ะ” มู่ชุนกล่าวด้วยสีหน้าโกรธแค้น “เมื่อวานบ่าวก็ไปมาแล้ว เขาบอกว่าเงินยังไม่เข้ามาที่ห้องบัญชี ให้พวกเรารอก่อน แต่พอไปวันนี้กลับพูดแบบนี้อีก ตอนบ่าวกลับมาก็สืบถามจากพวกบ่าวรับใช้คนอื่นๆ ทุกคนก็ได้รับเบี้ยรายเดือนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่พอถึงตาพวกเรากลับเริ่มหลบเลี่ยง”
“อ้อ ไม่มีเบี้ยรายเดือนให้รับ” อวิ๋นเชียนเมิ่งปิดเกร็ดประวัติศาสตร์ที่กำลังอ่านอยู่ในมือ ดวงตาทั้งสองหรี่น้อยๆ มุมปากผุดรอยยิ้มเย็น
ซูชิงควบคุมจวนอัครเสนาบดีมาหลายปี หูตาแทรกซอนไปทั่วทุกซอกทุกมุม ต่อให้ก่อนหน้านี้มีคำสั่งจากอวิ๋นเสวียนจือ แต่ซูชิงก็ยังมีวิธีต่างๆ นานามากลั่นแกล้งตนได้อยู่ดี
ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งชอบรับคำท้ามากที่สุด จะสู้กับซูชิงดูสักยกดูก็ได้ จะได้เพิ่มความสนุกสนานให้กับวันคืนอันจืดชืดนี้
“คุณหนู ยังมีอีกเรื่องเจ้าค่ะ ได้ยินว่าช่วงนี้พ่อบ้านจ้าวกำลังตระเตรียมของขวัญ บอกว่าจะไปสู่ขอกับนายท่าน” นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง มู่ชุนก็เลือกที่จะเล่าข่าวคราวที่ตนได้ยินออกมา
“คุณหนู หลิ่วอี๋เหนียงพาคุณหนูสามมาคารวะเจ้าค่ะ” พูดจบสุ่ยเอ๋อร์ซึ่งเฝ้าอยู่ด้านนอกก็พาหลิ่วอี๋เหนียงและอวิ๋นเยียนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าซูบเซียว
หลิ่วอี๋เหนียงอายุสามสิบต้นๆ รูปโฉมเปี่ยมเสน่ห์ แม้จะก้มหน้าอยู่แต่กลับแผ่กำจายกลิ่นอายเย้ายวนออกมาเลาๆ โดยเฉพาะเรือนร่างอรชรนั้น ถึงจะเป็นสตรีที่เคยให้กำเนิดบุตรมาแล้ว แต่ก็ยังคงงดงามสะโอดสะอง มิน่าปีนั้นถึงได้กระโดดจากสาวใช้ของจวนอัครเสนาบดีมาเป็นอี๋เหนียง
อวิ๋นเยียนที่เกาะติดอยู่หลังมารดาก็แลดูงดงามหมดจด ชุดกระโปรงยาวสีชมพูรับกับเสื้อสีเงินราวกับดอกบัวตูมที่รอวันผลิบาน ทั่วทั้งกายแผ่กลิ่นอายบริสุทธิ์สดใส แม้อายุยังน้อยแต่รูปร่างกลับมีส่วนเว้าส่วนโค้ง คงจะสืบทอดรูปโฉมงดงามมาจากหลิ่วอี๋เหนียง
แต่ถึงกระนั้นอวิ๋นเยียนก็เอาแต่เก็บตัวในห้องหับ ทั้งยังถูกพวกซูชิงแม่ลูกรังแกเป็นประจำ บนใบหน้าชวนให้คนรักใคร่ประดุจดอกบัวดวงนั้นจึงมีแต่ความกระวนกระวาย สิ่งที่ในดวงตามีชีวิตชีวาคู่นั้นปกปิดไว้ไม่มิดคือความระแวดระวังอย่างไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีความสง่าผ่าเผยของธิดาสกุลใหญ่เลยแม้แต่นิดเดียว
ส่วนสุ่ยเอ๋อร์ที่พาทั้งสองเข้ามา ยามที่อวิ๋นเชียนเมิ่งกวาดสายตามายังนางคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ในใจก็พลันกริ่งเกรงไปชั่วขณะ ถึงอย่างไร ถ้าอี๋เหนียงและคุณหนูอนุภรรยามาคารวะ คุณหนูในภรรยาเอกสามารถไล่พวกนางออกไปโดยไม่ต้องไว้หน้าแม้แต่นิดเดียวได้ แต่ตนเองกลับพาคนเข้ามาโดยพลการ ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับไม่มีท่าทีที่แสดงออกว่าโมโหหรือติติงโดยสิ้นเชิง เพียงแต่ยิ้มบางๆ มองนางเช่นเดียวกัน แต่กลับทำให้นางใจเต้นราวกับกลองรัว จึงได้แต่บังคับให้ตนเองเอ่ยปาก “คุณหนู หลิ่วอี๋เหนียงกับคุณหนูสามมาคารวะเจ้าค่ะ”
สิ้นคำสุ่ยเอ๋อร์ก็รีบก้มหน้าต่ำแล้วเบี่ยงกายไปยืนด้านหลังอวิ๋นเชียนเมิ่ง ไม่เอ่ยวาจาอีก
อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับมิได้ต่อคำ เพียงแค่พลิกเกร็ดประวัติศาสตร์หน้าที่ตนเองเพิ่งอ่านถึงอย่างเชื่องช้า ทำราวกับมองไม่เห็นคนทั้งสองที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ในใจหลิ่วอี๋เหนียงก็อดลนลานขึ้นมาไม่ได้ เมื่อครู่คุณหนูใหญ่ยังยิ้มมองตนเองเดินเข้ามาแท้ๆ แต่ไฉนยามนี้กลับไม่พูดไม่จา ซ้ำยังจดจ่อสมาธิทั้งหมดกับหนังสือในมืออีก
เมื่อคิดแบบนี้ หลิ่วอี๋เหนียงก็ยิ่งดูร้อนใจมากขึ้นไปอีก ไม่รู้ว่าวันนี้ตนเองมากะทันหันเกินไปหรือไม่
“อวิ๋นเยียนพาหลิ่วอี๋เหนียงมาคารวะคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ” ยามนี้อวิ๋นเยียนที่เดิมทีดูท่าทางล่อกแล่กไม่เรียบร้อยค่อยๆ เดินเข้ามา ดึงหลิ่วอี๋เหนียงที่ลอบสังเกตอวิ๋นเชียนเมิ่งให้คุกเข่าลงพร้อมกัน
อวิ๋นเชียนเมิ่งปิดหนังสือเกร็ดประวัติศาสตร์ในมือ รับถ้วยชาที่มู่ชุนยื่นมาให้ มือเรียวเปิดฝาออก จากนั้นบรรจงดื่มด้วยท่วงท่าสง่างามอึกหนึ่งแล้วถึงค่อยกล่าวทักทายคนทั้งสองที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้า เอ่ยปากด้วยเสียงแสร้งทำระคนประหลาดใจ “อี๋เหนียงกับน้องสามมาได้อย่างไร”
เสียงพูดยังไม่ทันสิ้นก็เห็นอวิ๋นเยียนคลานมาตรงหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งทันใด ร่ำไห้พลางกล่าวเสียงเบา “คุณหนูใหญ่ได้โปรดช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากแต่งให้บุตรชายคนโตของพ่อบ้านจ้าว”
ภายในเรือนฉี่หลัวเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้เสียงโขกศีรษะ อวิ๋นเชียนเมิ่งก้มมองคนทั้งสองที่อยู่ข้างเท้าด้วยสายตาเย็นชา ก้นบึ้งดวงตาลึกล้ำดุจมหาสมุทร ทำให้คนคาดเดาความลึกลับที่แฝงซ่อนไว้ไม่ออก เสียงแผ่วเบาที่ฟังอารมณ์ไม่ออกค่อยๆ ดังขึ้นท่ามกลางเสียงจอแจนี้ “ข้าเป็นแค่คุณหนูใหญ่ ท่านพ่อต่างหากที่เป็นนายของบ้านนี้ หากอี๋เหนียงกับน้องสามมีเรื่องคับข้องหมองใจก็ไปหาท่านพ่อได้ ไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลากับข้า”
แต่อวิ๋นเยียนกับหลิ่วอี๋เหนียงรู้ดีแก่ใจว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งคือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพวกนาง จะยอมให้ถูกไล่ไปง่ายๆ อย่างนี้ได้เช่นไร
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงไม่สนใจระเบียบจารีตอันใดอีก ถลาเข้าไปโดยพลัน กอดขาอวิ๋นเชียนเมิ่งไว้คนละข้าง ร้องคร่ำครวญเสียงดัง “คุณหนู ถ้าหากซูอี๋เหนียงยกเยียนเอ๋อร์ให้ตระกูลสุภาพชน บ่าวคงไม่กล้าร้องทุกข์แน่นอนเจ้าค่ะ แต่บุตรชายคนโตของพ่อบ้านจ้าวเป็นคนไร้ความรู้ความสามารถ บ่าวจะทนยอมให้บุตรสาวตนเองแต่งไปเป็นอนุภรรยาได้อย่างไรเจ้าคะ”
อวิ๋นเยียนในตอนนี้ก็ร้องไห้จนสภาพน่าเวทนา บนพวงแก้มทั้งสองข้างมีแต่น้ำตา เสียงแหบแห้งเล็กน้อย แต่มือที่กอดขาอวิ๋นเชียนเมิ่งไว้กลับยึดแน่นยิ่งนัก พวกสุ่ยเอ๋อร์จะออกแรงดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออก
“พี่ใหญ่ ท่านเห็นแก่ที่เราเป็นพี่น้องกันช่วยข้าสักคราเถิดเจ้าค่ะ อวิ๋นเยียนไม่ขอแต่งให้สกุลสูงศักดิ์ ขอแค่มีสักคนที่รักข้ารู้ใจข้าแค่นี้ข้าก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ แต่บุตรชายคนโตของพ่อบ้านจ้าวนิสัยใจคอเป็นอย่างไร ในใจพี่ใหญ่คงรู้กระจ่างแจ้ง สถานการณ์ในจวนเป็นเช่นไร พี่ใหญ่ยิ่งเข้าใจแจ่มชัด หากพวกเราไม่อับจนหนทางจริงๆ คงไม่มารบกวนท่านพี่ ขอท่านพี่โปรดเมตตาด้วยนะเจ้าคะ”
“คุณหนูใหญ่ บ่าวมีเรื่องอยากจะบอก ท่านทราบหรือไม่ว่าปีนั้นฮูหยินเสียชีวิตอย่างไร” พวกมู่ชุนดึงหลิ่วอี๋เหนียงออกมาอย่างยากลำบาก แต่หารู้ไม่ว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับได้ยินข้อมูลที่น่าตื่นตระหนกจากปากนาง
“เดี๋ยวก่อน!”
อวิ๋นเชียนเมิ่งตวาดเบาๆ อย่างแฝงด้วยความน่าครั่นคร้ามเต็มเปี่ยม ทำให้เรือนฉี่หลัวที่เดิมทีเอะอะวุ่นวายไม่หยุดเงียบสนิทลงทันใด
หลิ่วอี๋เหนียงเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งยามนี้ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา จ้องมายังตนราวกับคมดาบทิ่มแทง ทำให้ในใจนางพลันตื่นตระหนก
“หลิ่วอี๋เหนียง ข้าวสามารถซี้ซั้วกินได้ แต่วาจาจะซี้ซั้วพูดไม่ได้” อวิ๋นเชียนเมิ่งยืนนิ่งตรงหน้าหลิ่วอี๋เหนียง โน้มสายตามองนางจากที่สูงอย่างเย็นยะเยือก ความเย็นชาในดวงตาทำให้หลิ่วอี๋เหนียงสั่นระริกไปทั่วสรรพางค์กาย
หลิ่วอี๋เหนียงร่างพลันสั่นเทิ้ม ก้มหน้าเอ่ยเสียงเบาทันควัน “คุณหนูใหญ่ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเรื่องใหญ่ทั้งชีวิตของเยียนเอ๋อร์ บ่าวไม่มีทางพูดซี้ซั้วเด็ดขาดเจ้าค่ะ”
ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งมิได้สรุปรวบรัดในทันที แต่กลับประเมินดูคู่แม่ลูกตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน ถึงแม้ในถ้อยคำของทั้งคู่จะระแวดระวัง แต่กลับมีความหมายอย่างโจ่งแจ้ง เกรงว่าวาจาของหลิ่วอี๋เหนียงจะมิใช่ไม่มีต้นสายปลายเหตุ กอปรกับเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความสุขชั่วชีวิตของเยียนเอ๋อร์ หลิ่วอี๋เหนียงยิ่งไม่มีทางเอาเรื่องนี้มาหาความสำราญใจให้ตนเองแน่
ทว่าหลิ่วอี๋เหนียงผู้นี้ปิดปากสนิทยิ่งนัก ไม่น่าเชื่อว่าจะเก็บซ่อนเรื่องนี้มาตั้งหลายปี ถ้าไม่เกิดเรื่องอวิ๋นเยียน นางคงจะพาลงโลงไปด้วยกระมัง ตอนนี้มีโอกาสให้ใช้ประโยชน์แล้ว คงจะเอาเรื่องนี้มาต่อรองกับตน ช่างเป็นแผนที่ร้ายกาจจริงๆ
แต่นางกลับไม่รู้ว่าชาติก่อนสิ่งที่อวิ๋นเชียนเมิ่งที่อยู่เบื้องหน้านางคนนี้ช่ำชองที่สุดก็คือการทำคดี ต่อให้ไม่มีเบาะแสที่นางมอบให้ก็ยังสามารถค่อยๆ สืบหาความจริงไปทีละข้อได้ ไม่มีทางยอมให้คนอื่นมาข่มขู่แน่นอน
ครั้นวิเคราะห์ได้เช่นนี้ บนใบหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เผยรอยยิ้มบางๆ ทุกคนได้ยินเสียงหัวเราะเฉยชาของนางค่อยๆ ดังขึ้น “ความคิดของอี๋เหนียงช่างละเอียดรอบคอบจริงๆ ทั้งหลอกใช้คุณหนูอย่างข้าล้มเลิกสัญญาหมั้นหมายแทนอวิ๋นเยียน ซ้ำยังให้ข้าสร้างศัตรูอีก ส่วนเจ้าก็นั่งเป็นเฒ่าหาปลาได้ผลประโยชน์”
ครั้นวาจาถูกเปล่งออกมา ร่างกายของหลิ่วอี๋เหนียงที่คุกหมอบอยู่กับพื้นสั่นสะท้านในทันใด รีบหมอบลงต่ำยิ่งขึ้น ไม่กล้าเอ่ยปากอีก
นางคาดไม่ถึงว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะกลายเป็นคนฉลาดเฉลียวถึงเพียงนี้ แค่พริบตาเดียวก็มองเจตนาแฝงของนางออก
มุมปากอวิ๋นเชียนเมิ่งฉาบรอยยิ้มบางๆ ไว้ตลอดเวลา แต่ความเย็นชาในดวงตากลับเพิ่มพูนมากขึ้น ก่อนจะหันกายเดินเข้าไปในห้องทันที
หลิ่วอี๋เหนียงมองอีกฝ่ายเดินจากไป พลันรู้สึกสิ้นหวัง แต่อย่างไรนางก็มีชีวิตรอดภายใต้สายตาของซูชิงมาได้หลายปี จึงเข้าใจทันทีว่านี่คือการลงโทษที่อวิ๋นเชียนเมิ่งมอบให้นาง
แม้ตนจะรู้ความจริงเกี่ยวกับการตายของฮูหยินในปีนั้นจริงก็ไม่ควรเอาเรื่องนี้มาบีบคุณหนูใหญ่
ยามนี้คุณหนูใหญ่ทำให้นางเข้าใจแล้วว่าไม่ว่านางจะแอบแฝงเจตนาใด ในสายตาคุณหนูใหญ่ก็ยังมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วอี๋เหนียงประจักษ์แจ้งถึงความเก่งกาจของอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างแท้จริง ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันชื่อของอวิ๋นเชียนเมิ่งถึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาอย่างคึกคักของทุกคนในจวน
หลิ่วอี๋เหนียงดึงอวิ๋นเยียนลงคุกเข่าในลานบ้านพร้อมกัน สีหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
ตลอดทั้งบ่าย หลิ่วอี๋เหนียงและอวิ๋นเยียนคุกเข่าตัวตรงอยู่หน้าเรือน ถึงแม้ที่ตั้งของเรือนฉี่หลัวจะเปล่าเปลี่ยวห่างไกล แต่ก็ยังมีสาวใช้เด็กรับใช้เดินผ่าน ส่วนมู่ชุนก็กังวลว่าหากถูกคนที่มีเจตนาร้ายเห็นเข้าจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของคุณหนูของนาง
ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับเขียนพู่กันอย่างผ่อนคลายดูจิตใจสงบยิ่ง นางตวัดวาดขีดเส้นสุดท้ายด้วยแววตาตั้งอกตั้งใจแล้วจึงรับผ้าเปียกที่มู่ชุนยื่นให้มาเช็ดมือ เห็นมู่ชุนดวงตาแฝงความพะวงใจ แต่นางกลับแค่เม้มปากยิ้มบาง
นางย่อมรู้ดีว่ามู่ชุนกำลังกังวลเรื่องใด แต่ซูชิงบริหารจัดการจวนอัครเสนาบดีมาเกือบยี่สิบปีแล้ว คนในจวนนี้ทั้งหมดล้วนเป็นคนสนิทของนางไปตั้งนานแล้ว หากเรือนฉี่หลัวมีความเคลื่อนไหวแม้เพียงน้อยนิดก็จะแพร่ไปถึงหูนางทันที เกรงว่าหลิ่วอี๋เหนียงยังไม่ทันได้ก้าวออกจากเรือนฉี่หลัว หูตาของซูชิงก็คงจะแจ้นไปรายงานแล้ว
ครั้นมองดูท้องฟ้าด้านนอกก็เห็นว่ามืดสลัว อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงสั่งกับมู่ชุนว่า “ให้พวกนางเข้ามาได้ กำชับสุ่ยเอ๋อร์ว่าอาหารเย็นวันนี้ให้ทานที่โถงรับแขก ไม่ต้องนำกลับมาเรือนฉี่หลัว”
“เจ้าค่ะ” เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งใจอ่อน มู่ชุนจึงเก็บพู่กัน หมึก กระดาษ จานฝนหมึกที่อยู่บนโต๊ะให้เรียบร้อย แล้วจึงหมุนกายเดินออกไปจากเรือน
เมื่อหลิ่วอี๋เหนียงกับอวิ๋นเยียนได้ยินว่ามู่ชุนเชิญพวกนางเข้าไป ทั้งสองก็มีสีหน้ายินดีปรีดาทันที ถึงแม้สองขาจะชาหนึบ แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์เบิกบานของพวกนางในตอนนี้แม้แต่น้อย สองแม่ลูกประคับประคองกันเดินเข้าไปในเรือน เมื่อเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งนั่งดื่มชาอ่านหนังสืออยู่ด้านในก็หมายจะคุกเข่าลงอีกครั้ง
“หลิ่วอี๋เหนียงกับน้องสามเหนื่อยแล้ว พิธีรีตองเหล่านี้ก็เลี่ยงไปเสีย ตามข้าไปกินอาหารเย็นด้วยกันที่โถงรับแขกเถิด” อวิ๋นเชียนเมิ่งเอ่ยปากดูน้ำเสียงราบเรียบ บนใบหน้าไม่ได้แสดงสีหน้าอันใด
แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องเข้ามาด้านใน สีทองอร่ามสะท้อนลงบนใบหน้างามล้ำดุจหยกของอวิ๋นเชียนเมิ่ง แลดูสูงศักดิ์งามสง่ายิ่งนัก พาให้หลิ่วอี๋เหนียงและอวิ๋นเยียนที่เงยหน้าขึ้นน้อยๆ มองจนตะลึงงันไปชั่วขณะ
ภายในโถงรับแขก อวิ๋นเชียนเมิ่งค่อยๆ นั่งลงกับที่ หลิ่วอี๋เหนียงในตอนนี้ต้องพึ่งพาอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงยิ้มเดินไปข้างกายนางพร้อมกับกล่าวประจบ “บ่าวจะปรนนิบัติคุณหนูทานอาหารเองนะเจ้าคะ”
ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับไม่พูดจาให้มากความ รับชาที่มู่ชุนประคองส่งให้มาดื่ม นัยน์ตาสีดำสนิทมองทอดไปทางอื่นอย่างเฉยชา
กระทั่งม่านฟ้ามืดมิด เงาร่างหนึ่งค่อยๆ เดินใกล้เข้ามา อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงยืนขึ้นอย่างนอบน้อม ทำความเคารพคนที่ใกล้จะเดินมาถึงตรงหน้า “ลูกคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ”
“เมิ่งเอ๋อร์มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้พบอวิ๋นเชียนเมิ่งที่นี่ จากนั้นกวาดสายตามองหลิ่วอี๋เหนียงและอวิ๋นเยียนที่ยืนอยู่ด้านหลังนางอย่างพินอบพิเทา ในใจอวิ๋นเสวียนจืออดเกิดข้อสงสัยมิได้
บุตรสาวในภรรยาเอกผู้นี้ขี้ขลาดตาขาวมาตั้งแต่เล็ก นอกเสียจากโอกาสสำคัญๆ ปกติแล้วจะไม่ก้าวออกจากเรือนฉี่หลัว แต่วันนี้กลับอยู่กับหลิ่วอี๋เหนียง ไม่รู้ว่ามีเรื่องอันใดกัน
อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับผลิยิ้มสว่างไสว เดินมาข้างกายอวิ๋นเสวียนจืออย่างว่าง่าย แหงนหน้าขึ้นน้อยๆ มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเต็มเปี่ยมด้วยความเคารพเลื่อมใส “วันนี้ร่างกายลูกดีขึ้นมาก คิดอยู่ว่าไม่ได้ทานอาหารร่วมกับท่านพ่อมานานแล้ว ก็เลยให้พวกสาวใช้เตรียมอาหารเย็นไว้ที่นี่น่ะเจ้าค่ะ”
พูดจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็โบกมือ พวกสุ่ยเอ๋อร์รับทราบ ยกกล่องอาหารขึ้นมาทันที นำผักสองสามจานที่อยู่ด้านในวางบนโต๊ะอาหารตัวใหญ่
เดิมอวิ๋นเสวียนจือคิดจะบอกปัด วันนี้ตนรับปากซูชิงกับอวิ๋นรั่วเสวี่ยไว้ว่าจะทานข้าวด้วยกัน หากเลยเวลาแล้วยังไม่ไป สองแม่ลูกคงจะโมโหกระฟัดกระเฟียดเป็นแน่
อวิ๋นเชียนเมิ่งไม่รอให้เขาเปิดปากก็สั่งให้คนจัดโต๊ะอาหารจนเสร็จสิ้น โดยเฉพาะบนโต๊ะอาหารตัวกลมและใหญ่นั้นมีชามกับตะเกียบวางไว้อย่างน่าสงสารแค่ไม่กี่ชุด ทำให้อวิ๋นเสวียนจืออับอายต่อหน้าธารกำนัลไม่มีเหลือ จึงพลันลอบขมวดคิ้ว สายตาคมปลาบพุ่งไปยังพ่อบ้านจ้าวซึ่งอยู่ข้างๆ “นี่คืออาหารเย็นที่พวกเจ้าเตรียมให้คุณหนูใหญ่?”
ครั้นพ่อบ้านจ้าวได้ยินน้ำเสียงอวิ๋นเสวียนจือก็รู้ว่าเขาเกิดโทสะเสียแล้ว จึงรีบก้มหน้าเดินเข้าไปอธิบาย “นายท่าน เกรงว่าห้องครัวคงจะทำมาผิดน่ะขอรับ ประเดี๋ยวบ่าวจะไปต่อว่าผู้ดูแลห้องครัวเอง ไม่รู้ว่าพวกนางไม่มีสมองหรืออย่างไร แม้แต่อาหารการกินของคุณหนูใหญ่ก็ยังทำผิดพลาด”
ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับก้าวไปตรงหน้าพ่อบ้านจ้าวแล้วกล่าวด้วยใบหน้าระคนรอยยิ้ม “ถ้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าระยะนี้อาหารการกินของข้าล้วนทำมาผิด? ดูท่าผู้ดูแลห้องครัวกับพ่อบ้านจ้าวอายุมากแล้วจริงๆ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ก็ยังทำได้ไม่ดี สู้กลับบ้านเกิดไปเลี้ยงตัวยามแก่เถอะ”
พูดจบเสียงขึ้นจมูกดัง ‘ฮึ’ อย่างเย็นชาก็ดังออกมาจากปากอวิ๋นเชียนเมิ่ง ทำให้ใจพ่อบ้านจ้าวสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ ในใจไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่สร้างความกดดันให้คนได้มากมายถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร แค่เสียงฮึดฮัดหนึ่งคำก็ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวนได้แล้ว
“พ่อบ้านจ้าว พวกเจ้าใจกล้ายิ่งนัก แม้แต่อาหารของคุณหนูใหญ่ก็ยังกล้ายักยอก” อวิ๋นเชียนเมิ่งจุดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาต่อหน้าทุกคน อวิ๋นเสวียนจือนั้นความอับอายแปรเปลี่ยนเป็นความโมโห มือข้างหนึ่งเอาแต่ชี้ตรงไปยังพ่อบ้านจ้าวที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา ส่วนสาวใช้และบริวารที่อยู่อีกด้านคุกเข่าลงกับพื้นตั้งแต่แรกแล้ว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง กลัวว่าตนเองจะติดร่างแหไปด้วย
ภายในโถงรับแขกพลันเงียบเป็นเป่าสาก หลิ่วอี๋เหนียงกับอวิ๋นเยียนสบตากันแวบหนึ่ง ยามที่มองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งอีกครั้ง ในดวงตาก็ทวีความเคารพยำเกรงยิ่งขึ้น
ใครจะไปนึกว่าแค่การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวของคุณหนูใหญ่จะทำให้พ่อบ้านจ้าวที่ปกติมักวางอำนาจบาตรใหญ่ตกใจกลัวจนอยู่ในสภาพเช่นนี้
“ท่านอัครเสนาบดี บ่าวไม่กล้ายักยอกอาหารของคุณหนูแน่นอนขอรับ คงเป็นเพราะผู้ดูแลห้องครัวเห็นเงินแล้วตาโตแน่ๆ ท่านอัครเสนาบดี เรื่องนี้บ่าวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เลยนะขอรับ ขอท่านโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง!” ในตอนนี้พ่อบ้านจ้าวก็รู้เช่นกันว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของจวนอัครเสนาบดี หากข่าวแพร่ออกไปว่าบ่าวชั่วรังแกเจ้านาย เกรงว่าอวิ๋นเสวียนจือคงไม่คิดจะเก็บเขาไว้แน่ เพื่ออุดปากคนตนเองคงหนีไม่พ้นเคราะห์นี้
มิสู้ผลักความผิดไปให้คนอื่น อย่างมากตนเองก็ถูกสอบสวนว่าปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง แล้วค่อยให้ซูอี๋เหนียงเป่าลมข้างหมอน ตำแหน่งพ่อบ้านจวนอัครเสนาบดีนี้ยังจะไม่ใช่ของตนต่อไปอีกหรือ
ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับไม่ให้โอกาสเขาเอ่ยปากโดยสิ้นเชิง วาจาของพ่อบ้านจ้าวเพิ่งจะสิ้นคำ ข้างหูของทุกคนก็มีเสียงราบเรียบของนางดังขึ้น “ได้ยินว่าช่วงนี้ในจวนของเรามีเรื่องมงคลเกิดขึ้น พ่อบ้านจ้าวคงจะเปลืองแรงกับเรื่องนี้ถึงได้ละเลยการดูแลห้องครัวกระมัง”
ครั้นวาจานี้ถูกเปล่งออกไป สีหน้าของหลิ่วอี๋เหนียงกับอวิ๋นเยียนก็ซีดเผือดในชั่วพริบตา ส่วนพ่อบ้านจ้าวพลันสะดุ้งเฮือก แม้กระทั่งอวิ๋นเสวียนจือที่กำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงก็ผงะอึ้งไป มองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ อย่างอดไม่ได้ “เมิ่งเอ๋อร์ ในจวนมีเรื่องมงคลอะไรเกิดขึ้น”
อวิ๋นเชียนเมิ่งอมยิ้ม เอ่ยอย่างเฉื่อยชาทันใด “ลูกก็แค่ได้ยินมาเหมือนกัน ท่านพ่อถามพ่อบ้านจ้าวเอาเองดีกว่าเจ้าค่ะ”
พ่อบ้านจ้าวไม่ได้คาดคิดเลยแม้แต่น้อยว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะพูดเรื่องนี้ออกมาก่อนถึงเวลา ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้อวิ๋นเสวียนจือกำลังโมโหโทโส เกรงว่าเรื่องนั้นคงไม่อาจดำเนินการได้อย่างราบรื่นเสียแล้ว
ยามนี้สายตาอวิ๋นเสวียนจือแฝงด้วยแววดุร้ายเต็มเปี่ยม ทำให้พ่อบ้านจ้าวรู้สึกแผ่นหลังเสียววาบ ทำได้แค่เพียงฝืนเอ่ย “เรียนนายท่าน ซูอี๋เหนียงรับปากบ่าวว่าจะให้คุณหนูสามหมั้นหมายกับลูกชายของบ่าวขอรับ”
ยามนี้หลิ่วอี๋เหนียงกับอวิ๋นเยียนทั้งคู่ต่างน้ำตาคลอหน่วยถลาเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าอวิ๋นเสวียนจือ
“ขอนายท่านโปรดเมตตาด้วยเจ้าค่ะ! ซูอี๋เหนียงจะยกเยียนเอ๋อร์ให้เป็นอนุภรรยาบุตรชายคนโตของพ่อบ้านจ้าว ถึงแม้เยียนเอ๋อร์เป็นบุตรอนุภรรยา แต่กระนั้นก็เป็นคุณหนูจวนอัครเสนาบดี จะให้ไปเป็นอนุของบุตรชายพ่อบ้านได้อย่างไรเจ้าคะ จะให้นายท่านเอาหน้าไปไว้ที่ใด” พอหลิ่วอี๋เหนียงเอ่ยปากก็ยกเรื่องหน้าตาของเขามาเป็นอันดับแรก กอปรกับอวิ๋นเยียนร้องไห้อย่างโศกเศร้าปานจะขาดใจ ทำให้นัยน์ตาที่เดิมก็เต็มไปด้วยความโกรธกริ้วของอวิ๋นเสวียนจือยิ่งมีโทสะพุ่งสามจั้ง ทันใด
“เจ้าช่างใจกล้านัก แม้แต่กับคุณหนูจวนอัครเสนาบดีก็กล้าคิดเพ้อฝัน!” พอนึกถึงบุตรชายที่ไร้ความรู้ความสามารถของพ่อบ้านจ้าว แล้วเห็นท่าทางน่าสงสารเวทนาของอวิ๋นเยียน อวิ๋นเสวียนจือก็ได้แต่เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ สาวเท้าปราดเข้าไปตรงหน้า เตะเข้าที่หัวไหล่ของพ่อบ้านจ้าว
“นายท่าน ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ” ตอนนี้ซูชิงซึ่งเดิมอยู่ในห้องพาอวิ๋นรั่วเสวี่ยรีบร้อนมา นัยน์ตาเรียบเฉยของอวิ๋นเชียนเมิ่งฉายรอยยิ้มเย็นวาบผ่าน แต่มิได้มีปฏิกิริยาใดๆ ยังคงยืนอยู่ข้างอวิ๋นเสวียนจือเงียบๆ เหมือนเดิม ราวกับไม่เคยแยแสการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้
เสียงร้องไห้บนใบหน้าหลิ่วอี๋เหนียงกับอวิ๋นเยียนค่อยๆ หยุดลงเมื่อผู้มาใหม่ใกล้เข้ามา ยิ่งไปกว่านั้นอวิ๋นรั่วเสวี่ยยังถลึงตาใส่ทั้งคู่แวบหนึ่งอย่างโกรธแค้น ทำให้พวกนางตกใจกลัวจนก้มหน้าลงโดยพลัน วาจาที่เดิมทีคิดจะร้องขอความเมตตาถูกกลืนกลับลงท้องทันที
ในหมู่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ คงจะมีแต่พ่อบ้านจ้าวที่ยินดีปรีดาที่สุด ครั้นเห็นผู้เป็นนายของตนมาถึง ร่างของพ่อบ้านจ้าวซึ่งแต่เดิมหมอบคลานอยู่กับพื้นก็ลุกขึ้นยืนในทันใด สายตาที่มองไปทางหลิ่วอี๋เหนียงและอวิ๋นเยียนทวีความลำพองใจและการยั่วยุอย่างอดไม่ได้
ซูชิงเดินไปหาอวิ๋นเสวียนจือด้วยสีหน้าอ่อนโยนท่ามกลางสายตาหวาดหวั่นของทุกคน แอบอิงข้างกายอวิ๋นเสวียนจือราวกับนกน้อยก่อนเอ่ยอย่างนุ่มนวล “นายท่าน เกิดเรื่องอันใดขึ้น ดูสิ ท่านทำให้พ่อบ้านจ้าวตกใจกลัวหมดแล้วนะเจ้าคะ”
ทว่าเสียงนุ่มละมุนของนางกลับแลกมาด้วยเสียงเอ่ยถามอย่างเย็นชาเล็กน้อยของอวิ๋นเสวียนจือ “ชิงเอ๋อร์ ได้ยินว่าเจ้ายกเยียนเอ๋อร์ให้เป็นอนุภรรยาบุตรชายคนโตของพ่อบ้านจ้าว?”
พอมีคนไปรายงานต่อซูชิงถึงเหตุการณ์ทั้งหมด นางก็เกรงว่าจะถูกอวิ๋นเชียนเมิ่งทำให้เสียเรื่อง จึงรีบร้อนเข้ามา ยามนี้เห็นอวิ๋นเสวียนจือเปิดปากถาม บนใบหน้านางยังแสร้งแย้มยิ้มอ่อนโยน เอ่ยโต้ตอบอย่างคล่องแคล่ว “ใช่เจ้าค่ะ นายท่าน ข้าเห็นว่าปีนี้เยียนเอ๋อร์เลยวัยออกเรือนมาแล้ว ส่วนลูกชายพ่อบ้านจ้าวข้าก็เห็นเขาเติบโตมาตั้งแต่เด็ก เป็นเด็กที่รูปลักษณ์ใจคอไม่เลว จึงเป็นธุระหมั้นหมายให้โดยพลการ”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้สีหน้าของอวิ๋นเยียนก็เจื่อนลงทันใด ฟันกัดริมฝีปากล่าง สองมือที่บีบผ้าเช็ดหน้าอยู่ในแขนเสื้อกำเป็นหมัดแน่น
เห็นท่าทางกล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูดของอวิ๋นเยียน ซูชิงก็ยิ้มเย็นเยียบในใจ จากนั้นจึงพูดต่อว่า “นอกจากนี้แม้อวิ๋นเยียนจะเป็นคุณหนูจวนอัครเสนาบดี แต่หลิ่วอี๋เหนียงฐานะต่ำต้อย อวิ๋นเยียนหาได้มีชื่อเสียงในหมู่หญิงงามชั้นสูงของเมืองหลวงไม่ เกรงว่าลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์คงไม่มาสู่ขอถึงที่เป็นแน่ มิสู้ให้นางแต่งกับบุตรชายพ่อบ้านจ้าว ต่อไปก็จะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน พ่อบ้านจ้าวก็จะทำงานถวายชีวิตให้นายท่านอย่างสุดแรงสุดกำลังยิ่งกว่าเดิมแน่นอนเจ้าค่ะ”
คำพูดเหล่านี้พูดได้มีเหตุมีผล ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความใจกว้างดีพร้อมของซูชิง ให้ความรู้สึกราวกับเป็นนายหญิงของบ้านโดยสมบูรณ์
อวิ๋นเชียนเมิ่งมองอวิ๋นเสวียนจือเปลี่ยนจากท่าทีเดือดดาลเมื่อครู่มาเป็นใจสงบในยามนี้ มุมปากก็ผุดรอยยิ้มเฉยชาถึงขีดสุดตาม นัยน์ตาลึกล้ำดุจสระลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้งจ้องไปยังใบหน้าแย้มยิ้มที่เอื้ออารีเกินไปของซูชิงแน่วนิ่ง เอ่ยอย่างช้าๆ “วาจานี้ของซูอี๋เหนียงกล่าวผิดแล้ว พูดถึงอายุมากน้อย หากน้องรั่วเสวี่ยยังมิได้แต่งงาน จะวนมาถึงตาน้องสามได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นตำแหน่งของซูอี๋เหนียงในจวนอัครเสนาบดีเองก็ไม่ได้สูงส่งสักเท่าไร เมื่อว่ากันตามหลักการแล้ว น้องรั่วเสวี่ยซึ่งเป็นบุตรอนุภรรยาก็สามารถแต่งให้บุตรชายพ่อบ้านจ้าวได้เหมือนกัน ท่านพ่อ เมิ่งเอ๋อร์ไม่ฉลาด ไม่เข้าใจว่าซูอี๋เหนียงทำเช่นนี้มีจุดประสงค์ใด”
วาจานี้ของอวิ๋นเชียนเมิ่งคล้ายกับตบหน้าซูชิงฉาดใหญ่ ทำให้สีหน้าของซูชิงกับอวิ๋นรั่วเสวี่ยย่ำแย่ขึ้นทันใด
อวิ๋นรั่วเสวี่ยดวงตาฉายแววดุร้าย ใบหน้าเผยรอยยิ้มเย็น กล่าวตอบโต้อย่างกระทบกระเทียบ “ท่านพี่พูดอะไรกัน ลืมไปแล้วหรือว่าท่านเป็นคนที่ถูกถอนหมั้น หากชาตินี้คิดจะแต่งเข้าตระกูลขุนนางชั้นสูง กลัวว่าจะเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ สู้ท่านพี่แต่งให้บุตรชายพ่อบ้านจ้าวแทนอวิ๋นเยียนดีกว่ากระมัง”
พูดจบสองแม่ลูกก็รอดูเรื่องตลกของอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยท่าทางสะใจในคราวเคราะห์ของผู้อื่น ส่วนพวกมู่ชุนกลับมองไปยังคุณหนูของตนอย่างเป็นกังวล ในใจอดชิงชังกับความชั่วร้ายของซูอี๋เหนียงและอวิ๋นรั่วเสวี่ยไม่ได้ ถึงกับเอาเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตของหญิงสาวมาล้อเล่น หากข่าวแพร่ออกไปชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่ก็คงจะป่นปี้จนหมดสิ้น
ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับมองแม่ลูกที่อวดดีคู่นี้อย่างเรียบเฉย นัยน์ตาสีดำที่เปล่งประกายวาววับภายใต้แสงเทียนสงบราบเรียบราวกับผิวน้ำ ทำให้คนมองไม่เห็นอารมณ์ที่แท้จริงซึ่งอยู่ภายใน แม้แต่อวิ๋นเสวียนจือที่อยู่ข้างๆ ก็ยังผงะอึ้งไป ไม่เข้าใจว่าบุตรสาวคนโตเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
ความเยือกเย็นจนเกินไปของอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับทำให้ซูชิงและอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่แอบหัวเราะเยาะนางเมื่อครู่เริ่มใจเต้นรัวขึ้นมา ทั้งสองยังมิได้เคลื่อนไหวก็เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งขยับริมฝีปากแดงเรื่อเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “หรือซูอี๋เหนียงกับน้องรองไม่รู้ว่าการแต่งงานของข้าแม้แต่ท่านพ่อก็เป็นธุระจัดการให้ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้ามีสถานะใด แล้วน้องรองมีสถานะใด วันนี้เจ้าถึงกับไม่เคารพพี่สาวเช่นนี้ เกรงว่าถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปภายนอก ในเมืองหลวงนี้คงไม่มีคนกล้าสู่ขอน้องรองอีกกระมัง”
ครั้นได้ฟังคำชี้แจงแถลงไข แม้แต่อวิ๋นเสวียจือที่โอนเอียงไปทางอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ได้แต่ลอบถลึงตาใส่บุตรสาวคนรองที่ปากมาก เขากำลังคิดจะกล่าวแก้ตัวแทนอวิ๋นรั่วเสวี่ย ทว่าไม่ทันความเร็วของอวิ๋นเชียนเมิ่งแล้ว
“มิหนำซ้ำท่านพ่อมีสถานะใด ต่อให้เป็นเพียงบุตรสาวของอนุภรรยา แต่แต่งเป็นภรรยาเอกในตระกูลขุนนางที่ลำดับขั้นต่ำหน่อยก็มีให้เห็นถมเถไป ท่านพ่อไม่อาจสละความสุขชั่วชีวิตของน้องสาวเพราะการแก่งแย่งชิงดีภายในบ้านได้หรอก ลองกวาดตามองตระกูลขุนน้ำขุนนางทั่วแคว้นซีฉู่ดูสิ มีตระกูลใดบ้างที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางการแต่งงานต่อกัน ท่านพ่อคงมิใช่ไม่เข้าใจหลักการนี้กระมัง” วาจาของอวิ๋นเชียนเมิ่งดูเหมือนคลุมเครือ แต่ที่จริงกลับเป็นระฆังเตือนภัยเคาะเตือนสติอวิ๋นเสวียนจือไว้โดยพลัน
เขาหันกายมาสำรวจดูอวิ๋นเยียนใหม่อีกครั้ง เห็นว่าถึงแม้บุตรสาวคนเล็กงามสง่าผ่าเผยสู้บุตรสาวคนโตไม่ได้ แต่ก็เป็นสาวงามหมดจดที่พบเจอได้ไม่มาก และเขาก็มีบุตรสาวเพียงแค่สามคน หากไม่ใช้ประโยชน์ให้ดีๆ เกิดภายภาคหน้ามีปัญหาใดก็อาจจะหาที่พึ่งไม่ได้
เมื่อวิเคราะห์ได้เช่นนี้สีหน้าของอวิ๋นเสวียนจือก็ค่อยๆ หนักอึ้งขึ้นมา ในดวงตาที่มองไปทางพ่อบ้านจ้าวแฝงแววดุร้ายมากกว่าเดิม “พ่อบ้านจ้าว เรื่องพวกนี้เจ้าเลิกฝันกลางวันได้แล้ว ตั้งใจปรนนิบัติอี๋เหนียงกับคุณหนูให้ดี สนใจแต่เรื่องของตนเองก็พอ”
พ่อบ้านจ้าวเห็นอวิ๋นเสวียนจือเอ่ยวาจา ในใจก็รู้ว่าเรื่องนี้เหลวเป๋วเพราะการก่อกวนของอวิ๋นเชียนเมิ่งเสียแล้ว จึงได้แต่กล้ำกลืนความแค้นในใจที่มีต่ออวิ๋นเชียนเมิ่งลงไป ตอบกลับเสียงแผ่วเบา “ขอรับ”
อวิ๋นเยียนกับหลิ่วอี๋เหนียงไม่อยากจะเชื่อหูของตนเองแม้แต่น้อย คิดไม่ถึงว่าแค่อวิ๋นเชียนเมิ่งพูดสองสามคำก็ตอบโต้การจู่โจมของซูชิงจนล่าถอยไปได้ ซ้ำยังเปลี่ยนความคิดของอวิ๋นเสวียนจือได้อย่างง่ายดาย นัยน์ตาที่มองมาทางอวิ๋นเชียนเมิ่งเต็มไปด้วยความซาบซึ้งในทันใด
สีหน้าของซูชิงกับอวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับย่ำแย่ยิ่ง ซูชิงปกครองบ้านนี้มานาน ในจวนอัครเสนาบดีคำพูดของนางถือเป็นราชโองการ แต่วันนี้ถูกอวิ๋นเชียนเมิ่งตอกกลับ ในใจย่อมไม่ยินดีปรีดา ทว่าเพราะอวิ๋นเสวียนจือตบโต๊ะตัดสินใจไปแล้วจึงได้แต่ล้มเลิกเท่านั้น
ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ อย่างสงบเยือกเย็นต่อว่า “ดูเหมือนซูอี๋เหนียงกับน้องรั่วเสวี่ยยังถูกกักบริเวณอยู่ เหตุใดถึงออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตเล่า ซูอี๋เหนียงกับน้องรั่วเสวี่ยทำตัวเป็นกึ่งๆ เจ้านายของจวนอัครเสนาบดี แต่ไม่สามารถทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีได้ ถ้าทุกคนล้วนเพิกเฉยต่อการลงโทษของท่านพ่อ เช่นนั้นจวนอัครเสนาบดีจะไม่ปั่นป่วนวุ่นวายแย่หรือ”
อวิ๋นเสวียนจือคาดไม่ถึงว่าบุตรสาวคนโตจะวกกลับมาจับผิดซูชิง แต่ในตอนนี้ภายในห้องโถงมีบริวารข้ารับใช้อยู่มากมาย หากทุกคนเอาเยี่ยงเอาอย่าง ต่อไปจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้คงควบคุมดูแลลำบากจริงๆ และความน่าเคารพยำเกรงของตนเองก็จะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจอวิ๋นเสวียนจือก็นึกตำหนิซูชิงกับอวิ๋นรั่วเสวี่ยอยู่ไม่น้อย ทั้งๆ ที่รู้ว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งแตกต่างไปจากเดิม พวกนางก็ยังจะสร้างความวุ่นวายให้ตนอีก ตอนนี้มีดวงตามากมายหลายคู่กำลังมองดูอยู่ แม้ตนเองจะมีใจอยากช่วยพวกนางแต่ก็ช่วยไม่ได้แล้ว
ทว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยซึ่งอยู่อีกด้านกลับไม่พอใจ กำลังจะเข้าไปถกเถียงกับอวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่ถูกซูชิงดึงตัวไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เสียงนอบน้อมของซูชิงจะดังขึ้นในโถงรับแขก “คุณหนูใหญ่พูดได้ถูกต้อง เป็นบ่าวที่ใคร่ครวญไม่รอบคอบเอง ต่อไปจะระวังให้ดีเจ้าค่ะ”
ซูชิงกล่าวจบก็ดึงตัวอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่ไม่พออกพอใจไว้ และกำลังจะก้าวออกไปจากบริเวณนั้น แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งยังมีวาจาจะพูดอีก นางเดินไปยังข้างกายซูชิงพลางทำสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย กล่าวราวกับไม่อาจแข็งใจได้ “ท่านพ่อ ซูอี๋เหนียงถูกกักบริเวณแค่ไม่กี่วันในจวนก็วุ่นวายจนอยู่ในสภาพนี้แล้ว มิสู้ท่านพ่อเลือกผู้ดูแลมาอีกคน ทำหน้าที่แทนซูอี๋เหนียงชั่วคราวดีกว่านะเจ้าคะ”
ได้ยินอวิ๋นเชียนเมิ่งพูดจุดประสงค์ของตนออกมาในที่สุด เงาร่างที่กำลังจะจากไปของซูชิงก็พลันชะงักหันกลับมาทันที สีหน้าเจือแววไม่เห็นพ้อง “คุณหนูใหญ่พูดอะไรกันเจ้าคะ การดูแลจวนอัครเสนาบดีเป็นเรื่องที่บ่าวพึงกระทำอยู่แล้ว นอกจากนั้นในจวนนี้ก็หาคนที่จะสามารถรับหน้าที่นี้ไม่ได้หรอกกระมัง ไม่ต้องให้คุณหนูใหญ่มาเหนื่อยแทนหรอกเจ้าค่ะ สุดท้ายคุณหนูใหญ่ก็ต้องออกเรือนอยู่ดี”
ความหมายแฝงในวาจานี้ก็คือสุดท้ายอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เป็นคนของบ้านสามี ให้คนนอกมาดูแลกิจภายในบ้านเดิมช่างไม่เหมาะไม่ควรจริงๆ
อวิ๋นเสวียนจือฟังเสียงนอกสายเครื่องดนตรี ออก สายตาที่มองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งทวีแววครุ่นคิดลึกซึ้งและเฉียบขาด
ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับผลิยิ้ม มือเรียวชี้ไปทางหลิ่วอี๋เหนียงซึ่งอยู่อีกด้าน กล่าวเสียงค่อย “ท่านพ่อลืมไปแล้วหรือว่าในจวนยังมีหลิ่วอี๋เหนียงอยู่ นางเป็นคนของจวนอัครเสนาบดีและก็เป็นกึ่งเจ้านายของจวนนี้ ฐานะเท่ากับซูอี๋เหนียง ลูกเชื่อว่านางจะต้องทำหน้าที่นี้ได้ดีแน่นอนเจ้าค่ะ ช่วงนี้ลูกกินอาหารอย่างบนโต๊ะนี้จนเบื่อแล้ว ท่านพ่อทนให้ลูกได้รับความคับข้องใจเพราะในจวนไม่มีคนคอยดูแลได้อย่างไรเจ้าคะ”
พูดจบนิ้วของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เปลี่ยนทิศทาง สายตาของทุกคนอดมองตามมือของนางไปยังอาหารบนโต๊ะไม่ได้ เห็นบนโต๊ะอาหารตัวใหญ่มีเพียงถ้วยจานแค่สองสามใบ เกรงว่าแม้แต่บ่าวรับใช้ชั้นต่ำที่สุดในจวนอัครเสนาบดียังมีอาหารการกินสมบูรณ์กว่านี้อีกกระมัง
ซูชิงเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งบีบบังคับให้จนตรอกถึงเพียงนี้ ในดวงตาก็เอ่อล้นไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะส่งสายตาให้พ่อบ้านจ้าว
พ่อบ้านจ้าวถูกอวิ๋นเชียนเมิ่งกดหัวจนโทสะอัดแน่นเต็มท้อง พอเห็นสัญญาณจากซูชิงก็กล่าวด้วยความหวาดเกรงทันที “นายท่าน คงเป็นเพราะผู้ดูแลห้องครัวงานยุ่งจนสติเลอะเลือนถึงได้ทำอาหารมาผิด อาหารของคุณหนูใหญ่คงจะยังวางอยู่ในห้องครัวแน่นอนขอรับ ประเดี๋ยวบ่าวจะสั่งให้คนมัดตัวผู้ดูแลที่แอบอู้มาขอโทษคุณหนูเองขอรับ”
ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับจ้องดูการโต้ตอบระหว่างคนทั้งสอง กล่าวเสียงเย็น “พ่อบ้านจ้าว เจ้ามีความผิดติดตัว เจ้าคิดว่าวาจาของเจ้าจะทำให้ท่านพ่อเชื่อได้อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า ในจวนนี้เบี้ยรายเดือนทุกเดือนจ่ายเมื่อใด”
เรื่องนี้ซูชิงได้เตี๊ยมกับพ่อบ้านจ้าวล่วงหน้าแล้ว พอได้ยินอวิ๋นเชียนเมิ่งถามขึ้น ในใจพ่อบ้านจ้าวก็พลันผ่อนคลาย พูดแผนการรับมือที่คิดเอาไว้แล้วออกมาทันที “เรียนคุณหนูใหญ่ วันที่สามของทุกเดือนขอรับ แต่ว่าเดือนนี้ในจวนค่าใช้จ่ายฝืดเคืองจึงล่าช้าไปหลายวัน”
ครั้นฟังคำแก้ตัวของเขาจบ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็กล่าวเสียงเฉียบทันที “พ่อบ้านจ้าว ยังไม่คุกเข่าลงอีก! ในเมื่อการเงินในจวนมีปัญหา เหตุใดไม่รีบแจ้งท่านพ่อ เจ้าว่าบ่าวรับใช้ที่ปิดบังเจ้านายอย่างเจ้ายังจะมีประโยชน์อะไรอีก พูดมา เจ้ายักยอกเงินค่าใช้จ่ายในจวนไปใช่หรือไม่”
หมวกความผิดใบใหญ่ถูกใส่ลงมา พ่อบ้านจ้าวจึงคุกเข่าดังตุ้บโดยที่ร่างกายสั่นเทา โขกศีรษะให้อวิ๋นเสวียนจือไม่หยุด “นายท่านโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง บ่าวไม่กล้ายักยอกเงินในจวนแน่นอนขอรับ”
ส่วนซูชิงก็พลันตะลึงลานไปเพราะปฏิกิริยาตอบกลับอันเฉียบไวและฝีมือในการสาดโคลนของอวิ๋นเชียนเมิ่ง นางได้แต่ยืนอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าซีดเผือด
ยามนี้อวิ๋นเสวียนจือใบหน้าเขียวปั้ด เมื่อเห็นท่าทางของพ่อบ้านจ้าวกับซูชิง ในใจเขาก็เริ่มเชื่อคำพูดของอวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่บ้าง จึงกล่าวตัดสินใจด้วยความผิดหวัง “ชิงเอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้ากับรั่วเสวี่ยตั้งใจสำนึกผิดอยู่ในห้องให้ดีๆ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ปล่อยให้หลิ่วอี๋เหนียงจัดการแทนชั่วคราวก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซูชิงก็พลันเข่าอ่อนเกือบจะล้มคว่ำไปกองกับพื้น