ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ – หน้า 6 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ

ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ

บทที่ 5 พบญาติจากจวนฝู่กั๋วกงเป็นครั้งแรก

 เพลิงโทสะของอวิ๋นเสวียนจือบังเกิดผลแล้วจริงๆ

หลายวันต่อมา แต่ละเรือนอยู่ร่วมกันอย่างสงบร่มเย็น พอจวนอัครเสนาบดีไม่มีคนถ่อยคอยปลุกปั่นสร้างปัญหาก็ดูเงียบสงบขึ้นไม่น้อย

อวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่ว่างๆ ก็ชวนมู่ชุนปลูกต้นไม้ในเรือนฉี่หลัว นางใช้มือเปล่าตบกองดินร่วนข้างหน้าเบาๆ จากนั้นรับถ้วยชาที่มู่ชุนส่งมาให้ เทน้ำใสแจ๋วในถ้วยชาลงบนเมล็ดพันธุ์ที่เพิ่งจะปลูกลงไป

ในขณะเดียวกันนี้สุ่ยเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเร็วรี่ พอเจออวิ๋นเชียนเมิ่งก็ทำความเคารพทันที แล้วจึงพูดขึ้น “คุณหนู ฮูหยินใหญ่จวนฝู่กั๋วกง มาหาท่านเจ้าค่ะ”

ระหว่างที่รายงานก็เห็นปิงเอ๋อร์นำทางชวีฮูหยินและหลิ่วอี๋เหนียงเดินเข้ามา

“หลานคารวะท่านป้าสะใภ้เจ้าค่ะ” อวิ๋นเชียนเมิ่งส่งผ้าเช็ดหน้าในมือให้มู่ชุนทันที แล้วเดินเข้าไปทำความเคารพจี้ซูอวี่ผู้สุขุมอ่อนโยน

มือคู่หนึ่งที่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีค่อยๆ ยื่นมาแตะข้างกายอวิ๋นเชียนเมิ่ง ประคองนางขึ้นมาเบาๆ จี้ซูอวี่มองสำรวจอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ไม่ได้พบกันมานานด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงหาอาทร พลันอดกล่าวด้วยความสงสารมิได้ “รีบให้ป้าสะใภ้ดูแผลบนศีรษะของเจ้าหน่อยซิ ต้องตั้งใจรักษาให้ดีๆ อย่าให้เหลือรอยแผลเป็นได้”

อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้สึกเพียงแค่มือที่อบอุ่นเกลี้ยงเกลาข้างหนึ่งกำลังลูบไล้บนพวงแก้มของตนเอง หน้าผากที่ได้รับบาดเจ็บถูกทะนุถนอมอย่างแผ่วเบา ในใจก็อดสงสัยใคร่รู้มิได้ว่าจี้ซูอวี่ผู้นี้เป็นคนอย่างไรกันแน่

เมื่อช้อนตาขึ้นมอง เห็นเพียงเครื่องหน้างามละเอียดอ่อนของจี้ซื่อ โดยเฉพาะดวงตากลมโตอันอ่อนโยนใสกระจ่างคู่นั้น ยิ่งทำให้คนรู้สึกเปรมปรีดิ์กับความใกล้ชิดสนิทสนม

นางสวมชุดกระโปรงยาวผ้าต่วนราคาแพง สวมทับด้วยเสื้อกั๊กประดับมุก มวยผมปักไว้ด้วยปิ่นหยกหรูอี้ หนึ่งอัน ปิ่นแปดมณีสองอัน ต่างหูหยกที่ข้างหูเปล่งแสงเจิดจ้ารางๆ ท่ามกลางแสงอาทิตย์สาดส่อง ถึงแม้การแต่งกายจะมิได้หรูหรามากนัก แต่กลับแผ่รัศมีของผู้ดีออกมาอย่างเห็นได้ชัด

สิ่งนี้ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเข้าใจได้ในทันทีว่าชวีฮูหยินผู้นี้เป็นสตรีสูงศักดิ์ที่งามทั้งกายและใจ

“ขอบคุณท่านป้าสะใภ้มากเจ้าค่ะที่เป็นห่วง เมิ่งเอ๋อร์อกตัญญู ทำให้ท่านป้าสะใภ้ต้องเหนื่อยมาที่นี่ด้วยตนเอง วันหลังจะไปจวนฝู่กั๋วกงเพื่อขอขมาแน่นอนเจ้าค่ะ” อวิ๋นเชียนเมิ่งคิดจะคำนับตามทันที แต่กลับถูกจี้ซื่อประคองเอาไว้ นางแสร้งทำเป็นโมโห

“พูดอะไรอย่างนั้น เจ้าร่างกายไม่สบาย ขยับตัวมั่วซั่วได้ที่ไหนกัน เหล่าไท่จวิน เองก็เป็นกังวลกับอาการบาดเจ็บของเจ้ามากจึงส่งข้ามาดูอาการ หากหายไม่ทันงานวันเกิดครบรอบหกสิบปีของเหล่าไท่จวินเจ้าก็พักรักษาตัวอยู่ที่บ้านก็แล้วกัน”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเชิญจี้ซื่อเข้ามาในห้องนอนของตนอย่างนอบน้อม ยกน้ำชาให้ด้วยตนเอง แล้วจึงยิ้มบางๆ พลางกล่าว “รบกวนท่านป้าสะใภ้แจ้งท่านยายด้วยว่างานครบรอบวันเกิดของท่าน เมิ่งเอ๋อร์จะไปอวยพรถึงที่จวนแน่นอนเจ้าค่ะ แผลบนศีรษะก็ใกล้จะหายดีแล้ว ขอท่านป้าสะใภ้กับท่านยายอย่าได้เป็นกังวล”

จี้ซูอวี่กวาดตามองห้องนอนของอวิ๋นเชียนเมิ่งแวบหนึ่ง เห็นห้องของคุณหนูแห่งจวนอัครเสนาบดีมีเพียงเตียงเก่าๆ หนึ่งหลังกับโต๊ะเครื่องแป้งหนึ่งตัวเท่านั้น ผนังรอบๆ ด้านก็เป็นรอยกระดำกระด่าง ทำให้จี้ซูอวี่ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด แต่ติดที่หลิ่วอี๋เหนียงยืนอยู่ข้างๆ นางจึงได้แต่สะกดกลั้นเอาไว้

ทว่าวันนี้เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งร่าเริงเบิกบานเช่นนี้ อากัปกิริยาสุขุมเยือกเย็น แววในดวงตาจี้ซูอวี่ก็แปรเปลี่ยนอย่างไม่อาจห้าม เริ่มสำรวจดูเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างตนอย่างจริงจัง

อวิ๋นเชียนเมิ่งสวมชุดกระโปรงปี้หลัว ผ้าบางเบาสีเขียวอ่อน ด้านนอกคลุมทับด้วยผ้าโปร่งบางสีทองหนึ่งชั้น บนชายกระโปรงปักรูปก้อนเมฆสีเงิน ผมดำยาวเกล้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมัดเอาไว้ ใช้เพียงปิ่นหยกขาวอันเดียวยึดเอาไว้ ส่วนที่เหลือก็ปล่อยลงมาตรงข้างลำคอ ขับเน้นให้อวิ๋นเชียนเมิ่งผิวพรรณขาวผ่องดุจหิมะ กลิ่นอายสูงส่งเหนือสามัญ

ยามนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งยิ้มบางๆ ทั่วใบหน้า นัยน์ตาสีดำราวกับบ่อน้ำลึกทำให้คนมองไม่เห็นก้นบึ้ง โดยเฉพาะการตอบสนองอย่างถูกต้องเหมาะสมยามนางรับมือกับตนเองเมื่อครู่นี้ แตกต่างกับเด็กกะโปโลที่ขี้ขลาดอ่อนแอไม่ยอมพบเจอผู้คนในวันวานราวกับเป็นคนละคน ทำให้จี้ซูอวี่มองจนตะลึงงันไปชั่วขณะ

มิน่าระยะนี้เข้าวังไป ยามไทเฮาตรัสถึงอวิ๋นเชียนเมิ่งกับตนถึงบอกว่านางเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก ดูท่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ถ้าเหล่าไท่จวินที่จวนได้เห็นหลานสาวที่เป็นเช่นนี้คงจะชื่นชอบเอามากๆ เป็นแน่

เมื่อคิดเช่นนี้ ในดวงตาจี้ซูอวี่ก็ยิ่งทวีความพอใจ มุมปากอดยกขึ้นสูงมิได้ ดึงมือเล็กของอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้ามาตบเบาๆ “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ วันนั้นข้าจะจัดรถม้ามารับเจ้า แต่ว่า…”

สายตาของจี้ซูอวี่กวาดมองอาภรณ์บนร่างอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงแม้เนื้อผ้าไม่เลว แต่ก็ดูออกว่าอาภรณ์ชุดนี้คงจะเป็นของเก่า เกรงว่าคนในจวนอัครเสนาบดีคงจะไม่ได้ตั้งใจปรนนิบัติดูแลเป็นอย่างดีกระมัง

จี้ซูอวี่ขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย ปรายตามองหลิ่วอี๋เหนียงซึ่งยืนอยู่อีกด้าน ดวงตาเผยประกายเย็นเยียบ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “หากจวนอัครเสนาบดีไม่มีปัญญาจ่ายเงิน ต่อไปค่าใช้จ่ายของคุณหนูใหญ่ทั้งหมดก็ให้จวนฝู่กั๋วกงรับผิดชอบแทนแล้วกัน”

ได้ยินวาจานี้ ในใจหลิ่วอี๋เหนียงพลันสะดุดดังกึก ละล่ำละลักกล่าวทันที “ฮูหยินโปรดระงับโทสะ บ่าวจะปรนนิบัติคุณหนูเป็นอย่างดี ไม่ให้ฮูหยินกังวลใจแน่นอนเจ้าค่ะ”

ยามนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับซุกเข้าสู่อ้อมกอดของจี้ซูอวี่ด้วยใบหน้าระคนซาบซึ้ง เอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณท่านป้าสะใภ้มากเจ้าค่ะที่เป็นห่วง แต่หลิ่วอี๋เหนียงเพิ่งจะรับช่วงต่องานในจวนได้แค่ไม่กี่วัน ท่านป้าสะใภ้อย่าได้โทษนางเลยนะเจ้าคะ”

ครั้นได้ยินคำอธิบายจากอวิ๋นเชียนเมิ่ง อารมณ์บนใบหน้าจี้ซูอวี่ก็อ่อนลงเล็กน้อย บัดนี้เห็นคนตัวน้อยในอ้อมกอดรู้ประสีประสาถึงเพียงนี้จึงอดทำให้นางเต็มตื้นด้วยความรักของมารดาไม่ได้ จี้ซื่อลูบเส้นผมของอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างรักใคร่เวทนาพลางกล่าวช้าๆ ว่า “หากเมิ่งเอ๋อร์ขาดเหลืออะไรก็ส่งคนมาบอกป้าสะใภ้ได้เลยนะ ยายหนูคนนี้นี่ เมื่อก่อนก็ไม่ยอมไปมาหาสู่กับจวนฝู่กั๋วกง วันเกิดของเหล่าไท่จวินก็มีแต่น้องรองของเจ้ามาร่วมงานทุกปี ทำให้พวกข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างไรกันแน่ พอวันนี้ได้เห็นแล้วจะไม่ให้ข้าปวดใจได้อย่างไร”

สิ้นคำจี้ซูอวี่ก็บิดผ้าเช็ดหน้าแอบเช็ดน้ำตา

อวิ๋นเชียนเมิ่งยืดตัวตรงออกมาจากอ้อมกอดของนาง กล่าวปลอบโยนด้วยดวงตาแฝงรอยยิ้ม “ท่านป้าสะใภ้อย่าได้เป็นห่วงไปเลยเจ้าค่ะ ต่อไปเมิ่งเอ๋อร์จะไม่ให้คนอื่นมารังแกได้อีกแล้ว”

จี้ซูอวี่เห็นสีหน้าเด็ดเดี่ยวของนางจึงวางใจลงเล็กน้อย ทั้งสองพูดคุยสัพเพเหระกันครู่หนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้นส่งจี้ซื่อกลับ

 

“วันนี้อี๋เหนียงมาที่นี่มีเรื่องอันใด” อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับไปที่เรือนฉี่หลัวอีกครั้ง เมื่อเห็นหลิ่วอี๋เหนียงที่เดินตามมาก็เอ่ยถามขึ้นอย่างเฉยชา

หลิ่วอี๋เหนียงพยักหน้าให้แม่นมซึ่งอยู่ข้างๆ แม่นมผู้นั้นจึงหมุนกายออกไปนอกห้อง ไม่นานก็พาเด็กสาวและหญิงชราหลายสิบคนเข้ามายืนอยู่ด้านนอกแล้วคำนับอวิ๋นเชียนเมิ่ง “บ่าวคารวะคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”

หลิ่วหานอวี้สังเกตสีหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างระมัดระวัง ครั้นเห็นนางสีหน้าเรียบเฉยจึงยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “คุณหนูเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนอัครเสนาบดี ข้างกายมีสาวใช้ทั้งหมดแค่สามคน หากเรื่องแพร่ออกไปจะไม่ให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะได้อย่างไร บ่าวจึงเอารายชื่อคนในจวนอัครเสนาบดีมาให้คุณหนูใหญ่ดู แล้วก็เลยถือโอกาสพาเด็กสาวกับหญิงชราสามสิบคนมาให้ท่านคัดเลือกเจ้าค่ะ”

ขณะพูดหลิ่วหานอวี้ก็หยิบสมุดรายชื่อสองเล่มที่เก่าใหม่ไม่เท่ากันออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้อวิ๋นเชียนเมิ่งพร้อมพูดอธิบาย “คุณหนูใหญ่ ชาติกำเนิดและอุปนิสัยของสาวใช้พวกนี้จดบันทึกไว้ในสมุดรายชื่อทั้งหมดแล้วเจ้าค่ะ เชิญท่านเปิดอ่านดู ถ้าท่านไม่พอใจคนพวกนี้ก็สามารถอ่านอีกเล่มดูแล้วค่อยเลือกก็ได้เจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งพยักหน้าพลางรับสมุดรายชื่อมา พลิกเปิดเล่มที่ค่อนข้างใหม่ก่อน อ่านชื่อเสียงเรียงนามและนิสัยใจคอของเด็กสาวและหญิงชราที่อยู่ในสมุดอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ส่วนแม่นมซึ่งอยู่ข้างกายหลิ่วหานอวี้ก็ก้าวเข้าไปข้างหน้าทันที รายงานชื่อของเด็กสาวที่ยืนอยู่ในลานบ้านให้อวิ๋นเชียนเมิ่งฟังตามลำดับ

เมื่อเด็กสาวและหญิงชราได้ยินว่าตนเองถูกเรียกชื่อก็ล้วนขยับเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม คำนับอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างนอบน้อม

ในใจทุกคนคงจะรู้ดีว่าตอนนี้คุณหนูใหญ่กำลังเรืองอำนาจ หากได้ทำงานในเรือนฉี่หลัวก็คงจะเป็นงานที่ไม่เลว จึงต่างพยายามสร้างความประทับใจอันดีให้แก่อวิ๋นเชียนเมิ่ง

ทุกคนเห็นเพียงอวิ๋นเชียนเมิ่งพลิกอ่านสมุดรายชื่อที่ค่อนข้างใหม่เล่มนั้นเบาๆ จนกระทั่งขานชื่อจบ จึงค่อยๆ เอ่ยขึ้น “แม่นมเฉียน แม่นมฟาง แม่นมหลิว แม่นมไป๋สี่คนนี้รั้งตัวไว้เป็นหญิงรับใช้ทำงานทั่วๆ ไปในเรือนฉี่หลัวก็แล้วกัน จือเถา เล่อหลิง อี๋เซียง อันเอ๋อร์เป็นสาวใช้ชั้นสาม เวิ่นหลัน ไป๋เหมยเป็นสาวใช้ชั้นสอง”

“คุณหนูใหญ่ ในเรือนฉี่หลัวยังขาดแม่นมผู้ดูแลอีกหนึ่งตำแหน่ง บ่าวตั้งใจหาแม่นมหมี่ผู้นี้มาให้ท่านโดยเฉพาะเลยนะเจ้าคะ นางเป็นข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติข้างกายฮูหยินเมื่อก่อน” เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งเรียกชื่อคนที่พอจะใช้งานได้ หลิ่วอี๋เหนียงจึงให้เด็กสาวและหญิงชราที่อยู่ด้านนอกถอยออกไป จากนั้นก็เห็นแม่นมอายุราวๆ ห้าสิบปีผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้านใน โค้งกายก้มศีรษะยืนอยู่ตรงหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่ง

หลิ่วหานอวี้เห็นงานของตนเองเสร็จสิ้นก็ยิ้มพลางขอตัวลากับอวิ๋นเชียนเมิ่ง “คุณหนูใหญ่ บ่าวยังมีงานอื่นๆ อีก ขอตัวลาก่อนนะเจ้าคะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งพยักหน้าให้นางเบาๆ ครั้นแล้วสายตาก็จับอยู่ที่ร่างแม่นมหมี่ซึ่งอยู่เบื้องหน้า

แม่นมหมี่ผู้นี้อายุค่อนข้างมากแล้ว ผมสีดำกลายเป็นสีขาว ผิวพรรณบนใบหน้าปรากฏร่องรอยของคนชราออกมา อาภรณ์บนร่างเรียบง่าย เนื้อผ้าไม่เหมือนกับแม่นมคนอื่นๆ ในจวนอัครเสนาบดี ทว่านัยน์ตาที่หลุบต่ำน้อยๆ คู่นั้นกลับแฝงประกายกระจ่างใสรางๆ

จากนั้นอวิ๋นเชียนเมิ่งก็หยิบสมุดรายชื่อเล่มเก่าขึ้นมา อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ทว่ายิ่งอ่านไปถึงด้านหลัง อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ยิ่งตื่นตระหนก

สมุดรายชื่อเล่มนี้เขียนขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน รายชื่อที่จดบันทึกไว้ล้วนเป็นบ่าวรับใช้ในจวนตอนที่อวิ๋นฮูหยินยังมีชีวิตอยู่

ทว่าในจวนเวลานี้ไร้ซึ่งร่องรอยของคนพวกนี้ไปตั้งนานแล้ว ด้านหลังชื่อของคนเหล่านี้หากไม่เขียนไว้ว่า ‘ปลดออก’ ก็เขียนว่า ‘เสียชีวิต’ มีเพียงชื่อของแม่นมซย่าที่ด้านหลังเขียนไว้ว่า ‘เสียสติ’

ในขณะเดียวกันแม่นมหมี่ก็สำรวจดูอวิ๋นเชียนเมิ่ง เห็นนางสวมอาภรณ์โปร่งบางสีเหลืองอ่อน บนกระโปรงยาวกรอมพื้นลายเมฆและผีเสื้อคู่สีเหลืองปักลายดอกกล้วยไม้สีทอง เส้นผมทั้งศีรษะถูกรวบขึ้นครึ่งหนึ่ง ประดับด้วยปิ่นหยกฉลุลายดอกกล้วยไม้ ใบหน้างามพิสุทธิ์ดุจดวงดารา แววตาใสกระจ่างราวสายธาร คล้ายกับสามารถมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้แม่นมหมี่ที่เห็นคนมามากถึงกับลืมมารยาทไปชั่วขณะ ดวงตาทั้งสองข้างเกาะติดเงาร่างอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่คลาดสายตา เกือบจะคิดว่าตนเองได้เห็นเงาของฮูหยินในปีนั้น

แต่ในเรือนนี้ที่ตอนนั้นฮูหยินเคยพำนักอยู่ไม่ทรุดโทรมโกโรโกโสเหมือนอย่างตอนนี้

หากฮูหยินที่อยู่ในปรโลกเห็นสภาพชีวิตของคุณหนูใหญ่ในตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเสียใจเพียงไร

กระทั่งอวิ๋นเชียนเมิ่งอ่านหน้าสุดท้ายจบ แสงเทียนก็ถูกจุดขึ้นทั่วทุกมุมในห้องแล้ว ทั้งเรือนแลดูสว่างไสว สายตาของอวิ๋นเชียนเมิ่งจับอยู่ที่ร่างแม่นมหมี่อีกครั้ง ท่ายืนของนางถูกต้องเหมาะสมแสดงให้เห็นว่านางเคยได้รับการอบรมสอนสั่งมาเป็นอย่างดี จึงวางสมุดรายชื่อในมือลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา แต่นิ้วเรียวยาวกลับมิได้ผละจากสมุด นิ้วชี้เพรียวบางเคาะปกสมุดรายชื่อเบาๆ ในดวงตาที่คล้ายกับจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มแฝงเร้นด้วยความฉลาดเฉลียวที่ทำให้คนไม่อาจประมาทได้ “ไม่ทราบว่าแม่นมเข้ามาในจวนอัครเสนาบดีอีกครั้งได้อย่างไร”

เมื่อได้ยินอวิ๋นเชียนเมิ่งถามเช่นนี้ แม่นมหมี่ผู้นั้นก็ก้มตัวต่ำเล็กน้อย กล่าวอย่างหวาดผวาอยู่บ้าง “เรียนคุณหนูใหญ่ บ่าวแค่มาขอข้าวกินสักมื้อ ประจวบเหมาะกับหลิ่วอี๋เหนียงบอกว่าในจวนต้องการคนพอดี บ่าวก็เลยเข้ามาเจ้าค่ะ” วาจากล่าวได้กึ่งจริงกึ่งลวง แต่เห็นได้ว่าท่าทีของแม่นมหมี่และน้ำเสียงยามพูดจากลับทำให้คนไม่อาจไม่เชื่อ

“อย่างนั้นหรือ หลิ่วอี๋เหนียงช่างมีใจเมตตาจริงๆ” อวิ๋นเชียนเมิ่งตอบกลับอย่างเรียบเฉย จากนั้นดื่มชากลั้วคอหนึ่งอึกแล้วจึงเอ่ยขึ้นอีกครา “แต่ว่าตอนนี้เข้ามาอยู่ในเรือนฉี่หลัวของข้าแล้ว ข้าไม่ยอมรับคนไม่ซื่อสัตย์ภักดี ไม่ว่าใครจะเป็นคนรับเจ้าเข้ามา แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในเรือนฉี่หลัวนี้คือข้าอวิ๋นเชียนเมิ่ง แม่นมจำไว้แล้วใช่ไหม”

น้ำเสียงที่แปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นอย่างกะทันหันทำให้ในใจแม่นมหมี่อดสั่นสะท้านมิได้ รีบตอบกลับทันที “แน่นอนเจ้าค่ะ คุณหนูวางใจได้ บ่าวมิใช่คนที่กินบนเรือนขี้รดบนหลังคาแน่นอนเจ้าค่ะ”

เห็นในใจนางเกิดความหวาดหวั่น อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วจึงถามประเด็นสำคัญ “แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ ปีนั้นแม่นมออกจากจวนไปเพราะเหตุใด”

ในที่สุดก็ได้ยินอวิ๋นเชียนเมิ่งถามได้ตรงจุด สุดท้ายแม่นมหมี่ก็อดกลั้นไว้ไม่ไหว นางคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง บนใบหน้าแก่ชราที่เงยขึ้นน้อยๆ เปรอะเปื้อนรอยคราบน้ำตา เมื่อเปล่งวาจาก็ได้ยินความสั่นเครือที่อยู่ในน้ำเสียง

“คุณหนู…คุณหนู…บ่าว…บ่าวมีความผิดเจ้าค่ะ…คุณหนู…” เสียงสะอึกสะอื้นขาดๆ หายๆ ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งขมวดคิ้ว ส่งสายตาบอกให้มู่ชุนปิดประตูห้อง แล้วจึงให้แม่นมหมี่ลุกขึ้น

ทว่าแม่นมหมี่กลับส่ายศีรษะอย่างแรง มือหนึ่งผลักมู่ชุนที่เข้ามาพยุงออก เอ่ยปากขึ้นเองว่า “คุณหนู บ่าวเคยรับใช้ฮูหยินและเคยได้รับบุญคุณจากฮูหยินด้วยเจ้าค่ะ แต่…แต่ตอนนั้นกลับเลอะเลือนไปถึงได้ทอดทิ้งฮูหยินไว้ไม่ไยดี ขอคุณหนูโปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ”

เสียงสะอื้นไห้ของแม่นมหมี่กลับมิได้รับความเวทนาจากอวิ๋นเชียนเมิ่ง ซ้ำยังเก็บความอ่อนโยนบนใบหน้าที่มีอยู่เพียงน้อยนิดกลับ ดวงตาเย็นเยียบดุจเกล็ดน้ำแข็งจ้องตรงไปที่แม่นมหมี่ก่อนเอ่ยปากอย่างเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นมหมี่ก็เล่าต้นสายปลายเหตุมาให้หมดเสีย”

แม่นมหมี่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้า หลังจากนั้นก็สูดหายใจลึกๆ สงบสติอารมณ์ แล้วจึงเอ่ยอย่างเศร้าสลด “ปีนั้นสามีของบ่าวเสียชีวิต ฮูหยินเห็นบ่าวน่าสงสารจึงเก็บพวกบ่าวแม่ลูกมา แต่บ่าวกลับทอดทิ้งฮูหยินไม่ไยดีเพราะลูก สองเดือนก่อนฮูหยินคลอด ลูกชายของบ่าวถูกคนทำร้ายจนพิการ ซูอี๋เหนียงมาหาบ่าวด้วยตนเอง บอกว่าขอแค่บ่าวไปจากจวนอัครเสนาบดีก็จะสามารถปกป้องลูกชายที่ไม่เอาไหนไว้ได้ เพื่อลูก บ่าวจึงไปจากจวนอัครเสนาบดีโดยไม่สนใจการเหนี่ยวรั้งของฮูหยิน แต่หารู้ไม่ว่าสามเดือนให้หลังฮูหยินก็เสียชีวิตไป”

ยามที่แม่นมหมี่มองเห็นห้องนอนของอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ได้แต่ใช้คำว่า ‘ในบ้านมีเพียงผนังสี่ด้าน’ มาบรรยายก็ยิ่งกล่าวอย่างปวดใจ “ไม่คิดว่าสินเดิมของฮูหยินกลับถูกคนใจดำพวกนั้นช่วงชิงไปจนหมดสิ้น เดือดร้อนคุณหนูต้องใช้ชีวิตอย่างตกระกำลำบากปานนี้”

ได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็นึกถึงวันเดือนปีที่บันทึกในสมุดรายชื่อขึ้นมาได้ นอกจากแม่นมซย่า คนข้างกายอวิ๋นฮูหยินล้วนเกิดเรื่องสองสามเดือนก่อนที่อวิ๋นฮูหยินจะเสียชีวิต ในใจจึงค่อยๆ เข้าใจแจ่มชัด เรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกันนี้เกรงว่าซูชิงคงจะวางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

อันดับแรกขับไล่คนที่จงรักภักดีข้างกายอวิ๋นฮูหยิน แบบนี้จะได้ลงมือกับอวิ๋นฮูหยินสะดวก

“แม่นมหมี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าแม่นมซย่าเป็นใคร” ครั้นนึกถึงคนในสมุดรายชื่อขึ้นมาได้ อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงเอ่ยถาม

“เป็นแม่นมที่เลี้ยงดูฮูหยินเจ้าค่ะ ว่ากันว่าหลังจากฮูหยินเสียชีวิต แม่นมซย่าเศร้าเสียใจมากเกินไปจนเสียสติ” แม่นมหมี่ในตอนนี้อยากจะมอบความจริงใจของตนให้อวิ๋นเชียนเมิ่งใจจะขาด ขอแค่เป็นเรื่องที่นางรู้ จะต้องพูดออกมาจนหมดเปลือกแน่นอน

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นหน้าผากนางเปื้อนโลหิตจึงกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถอะ บทสนทนาวันนี้รวมถึงฐานะของเจ้าอย่าให้คนนอกรู้เป็นอันขาด”

“เจ้าค่ะ บ่าวเข้าใจแล้ว บ่าวมาครั้งนี้เพื่อขอชดใช้ความผิด ขอแค่สามารถช่วยคุณหนูได้อีกแรงเท่านั้น จะไม่สร้างปัญหาให้คุณหนูแน่นอนเจ้าค่ะ” เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งยามนี้สงบเยือกเย็น ในดวงตาแม่นมหมี่ก็เต็มไปด้วยความปลื้มปีติ สะกดกลั้นความโศกศัลย์ที่เก็บกักไว้ในใจมานานหลายปีทันที จัดเสื้อผ้าตนเองให้เรียบร้อยแล้วยืนอยู่อีกด้าน

ส่วนอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง แหงนหน้าขึ้นน้อยๆ สายตาเย็นยะเยือกสบกับแสงจันทร์กระจ่าง กำลังจัดระเบียบข้อมูลที่ได้รับมาเมื่อครู่

ตอนที่อวิ๋นฮูหยินยังมีชีวิตอยู่ซูชิงก็สามารถควบคุมความเป็นความตายของบ่าวรับใช้ในจวนอัครเสนาบดีได้แล้ว เบื้องหลังนี้หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากอวิ๋นเสวียนจือ เกรงว่านางคงไม่มีอำนาจถึงเพียงนี้

เช่นนั้นสรุปแล้วอวิ๋นฮูหยินเสียชีวิตโดยธรรมชาติหรือว่าเกิดจากน้ำมือคน เกรงว่านี่คงเป็นคำตอบที่เห็นได้ประจักษ์ชัดยิ่ง

ทว่า…ในเมื่ออวิ๋นฮูหยินเสียชีวิตไปแล้ว เหตุใดซูชิงถึงปล่อยให้อวิ๋นเชียนเมิ่งมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้เล่า

เบื้องหลังคงเป็นเพราะซูชิงหวาดกลัวพลังอำนาจของไทเฮาและจวนฝู่กั๋วกง ถ้าบุตรสาวและหลานของจวนฝู่กั๋วกงเกิดเรื่องขึ้นติดๆ กัน อีกฝ่ายคงจะไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี พอถึงตอนนั้นหากสืบเสาะขึ้นมา ยากจะรับประกันว่าจะไม่เจอเบาะแสร่องรอยใดๆ

ต้องกล่าวว่าซูชิงช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายขนานแท้ กระทำการโดยคำนวณจิตใจคนได้อย่างแม่นยำจริงๆ

“แม่นม เจ้ามานี่ซิ ข้ามีเรื่องให้เจ้าทำ” อวิ๋นเชียนเมิ่งเก็บสายตากลับมา กล่าวอย่างเย็นชา

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com