ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ
ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ
บทที่ 6 ซูอี๋เหนียงมีข่าวดี
วันนี้แม่นมหมี่กลับจากไปข้างนอกก็ตรงมาที่เรือนฉี่หลัวทันที ครั้นนางเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ เรื่องที่คุณหนูสั่งให้บ่าวไปทำ บ่าวไปสืบข่าวคราวมาแน่ชัดแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้คนผู้นั้นอยู่ที่เมืองเยี่ยเฉิง บ่าวส่งคนไปรับนางกลับเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ แต่ระหว่างทางที่บ่าวกลับมา ได้ยินว่านายท่านเพิ่งจะมีคำสั่งยกเลิกการกักบริเวณซูอี๋เหนียงกับคุณหนูรอง ยามนี้หมอหลวงกำลังตรวจชีพจรให้ซูอี๋เหนียงอยู่เจ้าค่ะ ดูเหมือนว่านางจะมีข่าวดี”
ได้ยินเช่นนี้ หางคิ้วอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เลิกขึ้น ดวงตามีประกายเย็นเยียบวาบผ่าน ดูท่าแล้วถึงแม้จะถูกกักบริเวณไม่กี่วัน แต่ซูอี๋เหนียงก็มิได้ว่างเว้น ในท้องนางคงจะมีบุตรของอวิ๋นเสวียนจืออยู่แล้วเป็นแน่ หากไม่ได้มั่นใจอย่างเต็มที่เกรงว่าคงจะไม่รบกวนหมอหลวงหรอก
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ควรไปแสดงความยินดีกับท่านพ่อและซูอี๋เหนียง” อวิ๋นเชียนเมิ่งวางม้วนหนังสือในมือลง อมยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นยืน
แม่นมหมี่เห็นเช่นนั้นก็รีบหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่สวมให้นางทันใด ป้องกันมิให้คุณหนูใหญ่จับไข้ในช่วงเดือนสิบสองของเหมันตฤดูอันหนาวเหน็บนี้ จากนั้นก็ตามหลังอวิ๋นเชียนเมิ่งไปติดๆ ประคองนางมุ่งหน้าไปยังเรือนเฟิงเหอของซูชิงพร้อมๆ กัน
เพิ่งจะเหยียบย่างเข้ามาในเรือนเฟิงเหอก็เห็นสาวใช้ของเรือนยืนหน้าชื่นตาบานอยู่ในลานบ้านแล้ว เมื่อสาวใช้เหล่านั้นเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งมาถึงก็ค่อยๆ พากันทำความเคารพ ทว่าแววลำพองใจในดวงตาของพวกนางกลับเห็นได้แจ่มชัด
อวิ๋นเชียนเมิ่งไม่แยแสจิตใจหยิ่งผยองของข้ารับใช้ตัวเล็กๆ เหล่านั้น นางเพียงกวาดสายตามองอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง จากนั้นจึงเดินนำพวกมู่ชุนเข้าไปในเรือน
ยามนี้หลิ่วอี๋เหนียงเลิกม่านประตูออกมาต้อนรับด้วยตนเอง เมื่อเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งมา ใบหน้าหลิ่วอี๋เหนียงก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความดีอกดีใจ ทว่าความหงอยเหงาลึกๆ ในดวงตากลับไม่อาจรอดพ้นสายตาของอวิ๋นเชียนเมิ่งไปได้
“คุณหนูใหญ่ ท่านมาแล้ว ด้านนอกอากาศหนาว รีบเข้ามาด้านในเถิดเจ้าค่ะ” หลิ่วอี๋เหนียงถอดเสื้อคลุมสีฟ้าน้ำทะเลบนบ่าให้อวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างเอาใจใส่
อวิ๋นเชียนเมิ่งมอบรอยยิ้มปลอบใจให้นาง จากนั้นก็เดินเข้าไปท่ามกลางเสียงขานรายงานของสาวใช้
“ลูกคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” นางคาดไว้แต่แรกแล้วว่าอวิ๋นเสวียนจือจะต้องอยู่ที่นี่ ด้วยเหตุนี้พอเห็นเขา อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงทำความเคารพอย่างสุภาพเรียบร้อย
หลังจากนั้นก็ยืนตัวตรงในทันที ช้อนสายตาขึ้นมอง ยามนี้อวิ๋นเสวียนจือนั่งอยู่ข้างเตียง ในอกกอดซูอี๋เหนียงที่ใบหน้าแดงฝาดเอาไว้ ทั้งสองสีหน้าท่าทีสุขเกษมเปรมปรีดิ์ คงจะได้รับการยืนยันจากหมอหลวงแล้วแน่นอน
บัดนี้อวิ๋นเสวียนจือมีเพียงซูชิงเต็มหัวใจเต็มดวงตา เมื่อเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งมาถึงก็แค่เพียงพยักหน้าอย่างรีบๆ เท่านั้น
“น้องคารวะท่านพี่เจ้าค่ะ” อวิ๋นเยียนซึ่งอยู่อีกด้านขยับเข้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทำความเคารพอวิ๋นเชียนเมิ่งหนึ่งคำรบ
ไม่ทันรอให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเอ่ยพูด อวิ๋นรั่วเสวี่ยซึ่งเดิมยืนอยู่ตรงหน้าเตียงก็ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าลำพองใจ คำนับอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างไม่ถูกต้องตามระเบียบแบบแผน “น้องคารวะท่านพี่เจ้าค่ะ ท่านพี่ เราไม่ได้เจอกันนานเลยนะเจ้าคะ ตอนนี้อี๋เหนียงตั้งครรภ์แล้ว ไม่ทราบว่าท่านพี่รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับกล่าวแสดงความยินดีกับอวิ๋นเสวียนจือด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ยินดีด้วยเจ้าค่ะท่านพ่อ หากซูอี๋เหนียงได้บุตรชาย สกุลอวิ๋นก็จะมีผู้สืบทอดแล้ว”
อวิ๋นรั่วเสวี่ยคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะเล่ห์เหลี่ยมลึกล้ำปานนี้ ได้ยินเรื่องนี้ก็ยังสงบเยือกเย็นอยู่อย่างนี้ได้ สีหน้าจึงย่ำแย่ขึ้นมาทันที แต่พอคิดย้อนกลับดู อวิ๋นเชียนเมิ่งอาจจะกำลังอดทนอดกลั้นอยู่ก็เป็นได้ จึงรีบตามนางมายังข้างเตียง จงใจกล่าวว่า “ท่านพี่ไม่เสียใจหรือ”
ครั้นวาจานี้เปล่งออกมา มุมปากอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างเบาบาง ทว่ามุมปากของอวิ๋นเสวียนจือที่แต่เดิมกำลังอมยิ้มกลับชะงักเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ จ้องไปทางอวิ๋นรั่วเสวี่ยด้วยสายตาแฝงความไม่พอใจ
ซูชิงเห็นสีหน้าของทุกคน นางจึงลอบถลึงตาใส่อวิ๋นรั่วเสวี่ยปราดหนึ่ง จากนั้นก็ตัวอ่อนยวบอยู่ในอ้อมกอดของอวิ๋นเสวียนจือ กล่าวเสียงละมุน “ท่านอัครเสนาบดี ที่ครั้งนี้บ่าวมีครรภ์เป็นพรจากบรรพบุรุษ บ่าวอยากแจ้งข่าวดีนี้แก่ฮูหยินผู้เฒ่า ไม่ทราบว่านายท่านเห็นเป็นเช่นไรเจ้าคะ”
ยามนี้อวิ๋นเสวียนจือปีติยินดีเป็นหนักหนา ย่อมว่าตามคำพูดของซูชิงทุกอย่าง นางเพิ่งจะพูดจบก็เห็นอวิ๋นเสวียนจือสั่งให้แม่นมหวังไปจัดการเรื่องนี้
แต่ซูชิงกลับรีบยั้งเขาไว้ เอ่ยปากพร้อมกับยิ้มบางๆ “ท่านอัครเสนาบดี ท่านฟังบ่าวพูดให้จบก่อนสิเจ้าคะ”
อวิ๋นเสวียนจือก้มหน้าลงด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ยิ้มพลางพยักหน้า “พูดมาเถิด ต้องการอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
ซูชิงช้อนตากวาดมองอวิ๋นเชียนเมิ่งแวบหนึ่งแล้วจึงเอ่ยอย่างอ่อนหวาน “ท่านอัครเสนาบดี ประการแรก ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว บ่าวอยากรับนางกลับจวนเพื่อจะได้แสดงความกตัญญูให้ดีๆ ประการที่สอง หากครรภ์นี้เป็นเด็กผู้ชาย บ่าวก็ถือว่าได้ต่อธูปให้สกุลอวิ๋นเพื่อนายท่าน จะได้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าดูหลานของตนเองเติบโตเป็นผู้ใหญ่”
อวิ๋นเสวียนจือไม่คิดว่าหลังจากซูชิงตั้งครรภ์จะกลายเป็นคนรู้ประสีประสาเช่นนี้ ในใจจึงรักใคร่นางเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า โดยเฉพาะข้อเสนอของนางนั้นดียิ่ง เขาจึงพยักหน้าตกลงทันที
อย่างไรเสีย เรื่องที่มารดาตนไปอาศัยอยู่ที่เมืองซูเฉิงก็เกิดขึ้นเพราะตนเอง
เพราะเรื่องนี้ ผู้ตรวจการพวกนั้นจึงยื่นกล่าวโทษตนด้วยเหตุผลว่าอกตัญญูมาหลายปีแล้ว หากครั้งนี้รับมารดากลับมาก็จะได้แก้ต่างให้ตนเองได้พอดี
เมื่อคิดเช่นนี้ ในใจอวิ๋นเสวียนจือก็ยิ่งทวีความยินดีปรีดา อยากจะประคองซูชิงไว้บนฝ่ามือใจจะขาด
“แต่ว่า…” ซูชิงมองดูความสุขสันต์ของอวิ๋นเสวียนจืออยู่ในใจ จากนั้นรีบเบี่ยงประเด็นพูดต่อทันที “ท่านอัครเสนาบดี ปีนั้นเป็นเพราะบ่าว ฮูหยินผู้เฒ่าถึงจากไปด้วยความขุ่นเคือง หากวันนี้ส่งคนไปรับนางมาอย่างขอไปที เกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ยินยอม มิสู้ให้คุณหนูใหญ่ไปรับนางมาจะดีกว่า อย่างไรเสีย ตอนที่ฮูหยินยังมีชีวิตอยู่ ความสัมพันธ์กับฮูหยินผู้เฒ่าก็สนิทสนมกลมเกลียวกันยิ่งนัก”
ได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็เข้าใจความหมายของซูชิง
จากเมืองซูเฉิงมาเมืองหลวงต้องเดินทางด้วยรถม้าเป็นระยะเวลาสิบวัน ขอแค่ซูชิงลงมือระหว่างการเดินทางสิบวันนี้ ตนเองก็คงจะไม่มีชีวิตกลับมา
ทว่าอวิ๋นเสวียนจือยังมิได้ข้อสรุปก็เห็นพ่อบ้านจ้าวสั่งให้หญิงรับใช้สูงวัยผู้ดูแลคนหนึ่งเข้ามา นางกล่าวรายงานอยู่ด้านนอก “ท่านอัครเสนาบดี ไทเฮาทรงส่งคนมารับคุณหนูใหญ่ของพวกเราเข้าวัง อีกประเดี๋ยวรถม้าจะมาถึงหน้าประตูจวนแล้วเจ้าค่ะ”
ได้ยินดังนั้น หัวคิ้วของซูชิงพลันลอบขมวดมุ่น สายตาหนาวเหน็บพุ่งไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่ง ทว่าเห็นเพียงอีกฝ่ายยิ้มบางๆ อย่างชดช้อยให้อวิ๋นเสวียนจือพลางเอ่ย “ท่านพ่อ ไทเฮามักจะทรงเรียกลูกเข้าพบเป็นประจำ หากลูกไปเมืองซูเฉิง เกรงว่าจะทำให้ไทเฮาทรงไม่พอพระทัย เอาอย่างนี้ดีกว่า ให้น้องรั่วเสวี่ยไปรับท่านย่าแทน เช่นนี้ถึงจะแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่ซูอี๋เหนียงมีต่อท่านย่า และสามารถบรรเทาความขัดแย้งระหว่างซูอี๋เหนียงกับท่านย่าได้ เมื่อท่านย่าเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว ลูกจะออกนอกเมืองไปรับแน่นอนเจ้าค่ะ”
ได้ยินอวิ๋นเชียนเมิ่งป่วนแผนการของตนโดยที่ตั้งรับไปพร้อมๆ กับโจมตี ในใจซูอี๋เหนียงพลันร้อนรนเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นหมายจะกระตุกแขนเสื้ออวิ๋นเสวียนจือ แต่ไม่คาดคิดว่ากลับเผยให้เห็นข้อมือที่สวมใส่กำไลหยกมรกตสลักลายมังกรหงส์อยู่
สิ่งนี้ทำให้แววตาของอวิ๋นเชียนเมิ่งพลันมืดสนิทลงเล็กน้อย แคว้นซีฉู่เข้มงวดกับเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ยิ่งนัก ประชาชนคนธรรมดาไม่ได้รับอนุญาตให้สวมใส่เครื่องประดับที่สลักลวดลายมังกรหงส์ ต่อให้เป็นพวกขุนนางก็มีเพียงแต่ได้รับพระราชทานจากราชนิกุลเท่านั้นถึงจะครอบครองได้
ในอกนึกถึงวาจาที่แม่นมหมี่กล่าวเมื่อสองสามวันก่อน ปีนั้นธิดาคนรองในภรรยาเอกแห่งจวนฝู่กั๋วกงออกเรือน ย่อมได้รับความสนใจมากเป็นธรรมดา สินเดิมก็มีมากมายเป็นกองพะเนิน
ในแคว้นซีฉู่จวนฝู่กั๋วเกงเองก็มีคุณูปการต่อแผ่นดิน ซีจิ้งตี้ฮ่องเต้องค์ก่อนยังรับสั่งให้ไทเฮาที่ขณะนั้นยังเป็นกุ้ยเฟยอยู่ควบคุมช่างฝีมือในวังหลวงให้สร้างเครื่องประดับเงินเครื่องประดับทองจำนวนมากให้ชวีรั่วหลีด้วยตนเอง ทำให้บรรดาคุณหนูในเมืองหลวงที่ยังไม่ได้ออกเรือนพากันอิจฉาตาร้อน
ทว่ากำไลหยกมรกตสลักลายมังกรหงส์ที่ซูชิงใส่อยู่ตอนนี้คือของที่ไทเฮาประทานให้ด้วยพระองค์เอง
บัดนี้อวิ๋นฮูหยินเสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว สิ่งที่เหลือไว้ให้บุตรสาวในอุทรมีเพียงเรือนเก่าๆ ที่จะพังมิพังแหล่ แค่คิดดูก็รู้แล้วว่าสินเดิมที่ชวนให้ผู้คนอิจฉาตาร้อนเหล่านั้นเข้ากระเป๋าใครไปจนหมด
หากมิได้รับการยอมรับกลายๆ จากอวิ๋นเสวียนจือ ซูชิงก็คงจะไม่ใจกล้าเช่นนี้
ในใจร้อนรนคล้ายสุมไว้ด้วยกองไฟ สายตาอวิ๋นเชียนเมิ่งเย็นเยียบโดยพลัน ทว่านางยังเอ่ยกับซูชิงด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน “ซูอี๋เหนียงคงทนเห็นน้องรั่วเสวี่ยลำบากไม่ได้กระมัง”
เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งพลิกจากตั้งรับมาเป็นโจมตี ในใจซูชิงก็พลันอึ้งงัน สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนแอทันใด โน้มร่างกายเข้าสู่อ้อมกอดของอวิ๋นเสวียนจือ คิ้วงามขมวดมุ่นเบาๆ พลางกล่าว “คุณหนูใหญ่พูดอะไรอย่างนั้น ได้ไปต้อนรับฮูหยินผู้เฒ่าย่อมเป็นเรื่องที่มีเกียรติยิ่ง”
ทว่าตอนนี้อวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับไม่พอใจ เห็นเพียงนางทำหน้ามุ่ย ดึงแขนเสื้ออวิ๋นเสวียนจือพลางพูดออดอ้อน “ท่านพ่อ ลูกไม่อยากไป”
อวิ๋นเสวียนจือได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ในดวงตาก็พลันปรากฏแววเอือมระอา สะบัดแขนเสื้อแล้วถลึงตาใส่อวิ๋นรั่วเสวี่ยพร้อมกับเอ่ยทันทีว่า “ไม่อยากไป? แม้แต่ท่านย่าก็ไม่อยากพบหรืออย่างไร ในใจเจ้ามีคำว่ากตัญญูบ้างหรือไม่ วันนี้ให้พวกสาวใช้ไปเตรียมตัวเสีย วันมะรืนออกเดินทางได้”
อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นบิดาเด็ดขาดถึงเพียงนี้ ในใจจึงเต็มไปด้วยความน้อยใจ กำลังจะพูดโต้แย้ง แต่กลับถูกซูชิงดึงไว้ ลอบบอกเป็นนัยให้นางอย่าวู่วาม ตนเองจะคิดหาวิธีรั้งให้นางอยู่ที่บ้านเอง
อวิ๋นเชียนเมิ่งสังเกตสีหน้าของซูชิงมาโดยตลอด นางจึงหันไปกำชับกับแม่นมหวังว่า “ปรนนิบัติคุณหนูรองให้ดี หากก่อนเดินทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นจนทำให้ท่านพ่อต้องแบกรับความผิดว่าอกตัญญูล่ะก็ พวกเจ้าไม่ว่าใครก็รับผิดชอบไม่ไหวแน่”
ซูชิงกับอวิ๋นรั่วเสวี่ยได้ยินเช่นนี้จึงมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งทันใด ทั้งสองพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
รอให้ทุกคนออกไปจนหมดแล้ว เพลิงโทสะที่อวิ๋นรั่วเสวี่ยสะกดกลั้นไว้ก็ปะทุออกมา นางหยิบถ้วยชาบนโต๊ะขว้างลงบนพื้นอย่างรุนแรง ถ้วยชาหยกม่วงชั้นดีใบนั้นแตกกระจายในพริบตา
“ท่านแม่ ท่านดูนางสารเลวนั่นสิ! นางตั้งใจจะลากข้าลงน้ำชัดๆ ถูกนางพูดแบบนั้นแล้ว ต่อให้ข้าอยากแกล้งป่วยจะได้ไม่ต้องไป ท่านพ่อก็ไม่อนุญาตอยู่ดี” ขณะพูด อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็เผลอหยิบขวดแกนหมุน สีครามอ่อนเขียนลายทองรูปกวนอิมประทานบุตรบนชั้นวางขว้างลงกับพื้นสุดแรง
แม้แต่จะห้ามซูชิงก็ยังห้ามไม่ทัน มองดูขวดแกนหมุนเลอค่าใบนั้นสลายหายไปในชั่วพริบตา ความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดก็มลายหายตามไปด้วย ใบหน้านางมัวมนลงทันใด เมื่อให้พวกสาวใช้มาเก็บกวาดจนเสร็จสิ้น ในห้องอุ่น ก็เหลือเพียงแม่นมหวังที่เป็นบ่าวรับใช้เพียงคนเดียว ซูชิงจึงกล่าวอย่างเข้มงวด “โอหัง! หากมิใช่เพราะเจ้าปากมาก ท่านพ่อเจ้าจะฟังคำพูดของอวิ๋นเชียนเมิ่งหรือ เจ้าเป็นซะอย่างนี้จะไปสู้รบชนะนางได้อย่างไร ตอนนี้ข้ากำลังตั้งครรภ์ ท่านพ่อเจ้าถึงได้คล้อยตามต่างๆ นานา เจ้าไม่กลัวเกรงเพราะถือว่ามีคนให้ท้ายจริงๆ น่ะหรือ เจ้าคิดว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งยังเป็นคุณหนูขี้ขลาดอ่อนแอที่ยอมปล่อยให้คนอื่นฆ่าแกงอย่างนั้นหรือ”
เดิมทีอวิ๋นรั่วเสวี่ยถูกโทสะพุ่งเข้าใส่จนศีรษะวิงเวียน แต่หลังจากนางเห็นท่าทางจะกินเลือดกินเนื้อของซูชิง ถึงได้พบว่าสิ่งที่ตนเองทำแตกคือขวดแกนหมุนลายกวนอิมประทานบุตรที่ซูชิงรักษาดูแลราวกับสมบัติล้ำค่า ทันใดนั้นจึงหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
ซูชิงเห็นนางสำนึกผิดแล้วจึงเลิกผ้าห่มออก เดินไปข้างกายอวิ๋นรั่วเสวี่ยโดยมีแม่นมหวังคอยพยุง ดึงมือเล็กที่กำเป็นหมัดแน่นของบุตรสาวเข้ามา เอ่ยปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ “เจ้าวางใจเถิด ต่อให้นางไม่ไปเมืองซูเฉิง แต่แม่รับรองว่าเมื่ออวิ๋นเชียนเมิ่งออกนอกเมืองไปรับฮูหยินผู้เฒ่าครั้งนี้มีแต่ไปไม่มีกลับแน่นอน”
อวิ๋นรั่วเสวี่ยได้ยินเช่นนั้น ความเดือดดาลในดวงตาก็หายวับไปในทันที นัยน์ตาทั้งสองวาดแววสะใจในหายนะของผู้อื่นออกมาในชั่วพริบตา จากนั้นจึงออกจากเรือนเฟิงเหออย่างพึงพอใจ
ส่วนซูชิงยามนี้กลับเรียกพ่อบ้านจ้าวเข้าพบโดยลำพังพร้อมกับสั่งว่า “เจ้าไปบ้านสกุลซู แจ้งพี่ใหญ่ว่าลงมือต้องโหดเหี้ยม ตัดรากถอนโคนทิ้งเสีย!”