ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ – หน้า 8 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ

ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ

บทที่ 7 ประจันหน้าในวัง พลิกผันแปรปรวน

 พอจัดการกับหลุมพรางที่ซูชิงวางไว้ให้ตนเองไปได้อย่างหลักแหลม ฉวีกงกงผู้นั้นก็มาถึงจวนอัครเสนาบดีได้ประจวบเหมาะพอดี อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงพาสุ่ยเอ๋อร์กับปิงเอ๋อร์เข้าไปนั่งภายในรถม้า

รถม้าเคลื่อนผ่านถนนคนเดินอันคึกคักจอแจของเมืองหลวง ขับเคลื่อนมาเป็นเวลาราวๆ หนึ่งชั่วยามก็มาถึงหน้าประตูวัง ต่อมาเคลื่อนเข้าไปข้างในเป็นเวลาสองเค่อ จากนั้นอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงลงจากรถม้าแล้วนั่งเกี้ยวที่ถูกเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วมุ่งหน้าไปยังวังประทับของไทเฮา หลังจากเลี้ยววกไปวนมา ยามมาถึงประตูวังประทับของไทเฮาก็เป็นเวลาสองชั่วยามให้หลังแล้ว

ฉวีกงกงเดินนำอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้าไปในตำหนักเพื่อรายงานไทเฮา

ไม่ถึงเวลาครึ่งถ้วยชา* ก็เห็นหลันกูกู* นางกำนัลที่เก่งกาจที่สุดข้างพระวรกายไทเฮาเดินออกมาด้วยฝีเท้าเร็วรี่ ยิ้มบางๆ ให้อวิ๋นเชียนเมิ่ง ยอบกายคำนับเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างมีมารยาท “ให้คุณหนูอวิ๋นรอนานแล้ว ไทเฮาทรงคอยท่านอยู่พอดีเลยเจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งย่อมรู้ว่าหลันกูกูเป็นคนโปรดข้างพระวรกายไทเฮา เมื่อเห็นนางคำนับได้ครึ่งหนึ่ง ตนเองก็รีบย่อเข่ายอบกายคารวะกลับคืนครึ่งหนึ่งทันที

“ลำบากแม่นางแล้ว” หลันกูกูได้ยินเสียงกังวานเสนาะหูดังขึ้นข้างกายตน จึงเงยหน้ามองอวิ๋นเชียนเมิ่ง ดวงตาลุกวาวทันใด รู้สึกแค่ว่าคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นผู้นี้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก ถึงแม้จะคำนับข้ารับใช้อย่างตน แต่ก็ไม่มีความไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย และมิได้แสดงท่าทีประจบสอพลอเพราะตนเป็นคนสนิทของไทเฮา

นี่ทำให้ในใจหลันกูกูอดไม่ได้ที่จะมองอวิ๋นเชียนเมิ่งใหม่อีกครั้ง นางโค้งกายต้อนรับอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินเข้าไปในห้องบรรทมของไทเฮา

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่คาดคิดว่าห้องบรรทมของไทเฮาในเวลานี้มีอาคันตุกะหลายคนอยู่ก่อนแล้ว ในจำนวนนั้นสตรีที่นั่งอยู่ด้านล่างขวาของไทเฮาสวมอาภรณ์ชาววังสีแดงสด เส้นผมถูกจัดแต่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สิ่งที่สะดุดตาที่สุดบนศีรษะก็คือปิ่นพญาหงส์บินร่อนสีทองอร่ามอันนั้น ไม่จำเป็นต้องคิด ผู้นี้ต้องเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นแน่

ส่วนด้านล่างของฮองเฮามีจี้ซูอวี่ซึ่งเคยพบกับอวิ๋นเชียนเมิ่งมาก่อนนั่งอยู่ ยามนี้ในดวงตาที่นางมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งมีความอบอุ่นเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น

ส่วนอีกคนที่นั่งอยู่ด้านล่างซ้ายของไทเฮาเป็นสตรีรูปร่างสะโอดสะองผู้หนึ่ง เมื่อเทียบกับรอยยิ้มที่ค่อนข้างเป็นมิตรของพวกไทเฮาแล้ว ในรอยยิ้มของสตรีผู้นี้แฝงด้วยความเย็นชาจางๆ

เห็นทุกคนล้วนมองตนเองเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปทันที คุกเข่าถวายบังคมไทเฮาซึ่งประทับอยู่ตรงกลาง เอ่ยเสียงก้องกังวาน “หม่อมฉันอวิ๋นเชียนเมิ่งถวายบังคมไทเฮา ขอไทเฮาทรงพระเจริญ ถวายบังคมฮองเฮา ขอฮองเฮาทรงพระเกษมสำราญ คารวะผู้อาวุโสทุกท่าน ขอแสดงความเคารพท่านผู้อาวุโส”

ไทเฮาทรงฟังวาจาของอวิ๋นเชียนเมิ่งออก และทรงเข้าใจว่าคนบางคนนางไม่รู้จัก จึงแย้มพระโอษฐ์พร้อมกับตรัสว่า “เด็กดี ลุกขึ้นเถิด”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเพิ่งจะยืนมั่นก็ได้ยินเสียงหวานหยาดเยิ้มอย่างที่สุดดังขึ้นข้างหูเบาๆ “ท่านพี่ ยายหนูนี่คงจะไม่รู้จักข้าสินะ”

ได้ยินเช่นนั้น นัยน์ตาที่หลุบลงเล็กน้อยของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เหลือบขึ้นช้าๆ เห็นเพียงดวงตาของสตรีงามชดช้อยผู้นั้นกำลังจับจ้องตน ทว่าไทเฮากลับมิได้เปลี่ยนสีพระพักตร์ กวักพระหัตถ์เรียกอวิ๋นเชียนเมิ่งไปยังข้างพระวรกายของนางแล้วจึงชี้ที่สตรีผู้นั้นพร้อมกับตรัสว่า “เมิ่งเอ๋อร์ มาคารวะหยวนเต๋อเฟย เสียสิ นางคือมารดาบังเกิดเกล้าของเฉินอ๋อง”

ได้ยินคำบอกใบ้ของไทเฮา ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งพลันตื่นตระหนก รีบยอบตัวคำนับอย่างอ่อนช้อยทันทีพลางกล่าวเสียงแผ่ว “หม่อมฉันถวายบังคมไท่เฟย เพคะ”

“ลุกขึ้นเถอะ!” เสียงที่ดังขึ้นเหนือศีรษะฟังดูเย็นชาเล็กน้อย ไม่รอให้อวิ๋นเชียนเมิ่งยืนมั่น หยวนเต๋อไท่เฟยก็กล่าวขึ้นอีกว่า “ท่านพี่ ยายหนูนี่รูปโฉมไม่เลวจริงๆ รูปลักษณ์เช่นนี้เหนือกว่าพวกเราเสียอีกนะเพคะ”

สิ่งที่แตกต่างจากน้ำเสียงคือประโยคที่สองของหยวนเต๋อไท่เฟยกลับเป็นการชมเชยอวิ๋นเชียนเมิ่ง

บนใบหน้าของอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ก้มลงกึ่งหนึ่งเผยแววครั่นคร้ามทันที รีบต่อคำอย่างรวดเร็ว “ขอบพระทัยไท่เฟยที่ทรงชื่นชมเพคะ หม่อมฉันแค่รูปโฉมธรรมดาๆ เท่านั้น จะนำมาเทียบกับทุกท่านที่นั่งอยู่ได้อย่างไร”

หยวนเต๋อไท่เฟยได้ยินวาจาถ่อมตัวของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ทว่ามิได้แสดงสีหน้ายินดี เพียงแค่ยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ หนึ่งอึก จากนั้นจึงกล่าวอย่างเรียบเฉย “คุณหนูอวิ๋นไยต้องถ่อมตัวถึงเพียงนี้ เจ้าเป็นแบบนี้ไม่เหมือนคนที่ปฏิเสธการแต่งงานเลยนะ”

ได้ยินความหมายแฝงในวาจาของหยวนเต๋อไท่เฟย เท่ากับกล่าวโทษเรื่องที่เฉินอ๋องปฏิเสธการแต่งงานให้เป็นความผิดของอวิ๋นเชียนเมิ่งทั้งหมด

ไทเฮาทรงฟังคำไต่ถามที่นางถามอวิ๋นเชียนเมิ่งภายใต้เสียงละมุนละม่อมออก แม้รอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนพระพักตร์ยังคงดุจเดิม ทว่ากลับดึงอวิ๋นเชียนเมิ่งมาจากตรงหน้าหยวนเต๋อไท่เฟยแล้วกล่าวยิ้มๆ ทันที “เป็นเจ้าที่ร้องโวยวายอยากจะเจอเมิ่งเอ๋อร์ ตอนนี้ได้พบแล้วก็เริ่มกลั่นแกล้งนาง ส่วนเรื่องที่ตอนแรกข้ากับฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานสมรสให้เฉินอ๋อง ในใจเจ้ากับเฉินอ๋องไม่ยินยอมพร้อมใจยิ่ง ตอนนี้ก็สมปรารถนาแล้วยังจะมายอกย้อนกลับอีก เจ้าว่านี่มิใช่การทำให้ข้าลำบากใจหรือ”

เมื่อเผชิญหน้ากับการกลั่นแกล้งอย่างจงใจของหยวนเต๋อไท่เฟย ไทเฮาจึงปรามกลับด้วยท่าทีไม่แข็งไม่อ่อน ทั้งไม่ทำให้หยวนเต๋อไท่เฟยเสียหน้า และทำให้นางไม่สามารถใช้เรื่องการถอนหมั้นมาสร้างความวุ่นวายได้อีก

ทว่าหยวนเต๋อไท่เฟยถูกไทเฮาเหน็บแนม ยิ่งกว่านั้นยังเป็นต่อหน้าผู้น้อยทั้งสองอย่างอวิ๋นเชียนเมิ่งและฮองเฮา ถึงอย่างไรก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง จึงมิได้เอ่ยรับวาจาของไทเฮา แต่กลับมองสำรวจอวิ๋นเชียนเมิ่งอีกครั้งแทน

วันนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าน้ำทะเล ขอบที่กุ๊นด้วยสีทองอย่างประณีตบรรจงรับกับลายปักรูปเมฆ ขับเน้นให้อวิ๋นเชียนเมิ่งดูสูงส่งงามสง่า

ทว่าถึงตอนนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งมิได้เอ่ยปาก แต่กลับยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านหลังไทเฮา นางยังคงยิ้มบางๆ อย่างมีมารยาทต่อการกลั่นแกล้งอย่างจงใจของตน กอปรกับความสงบนิ่งที่ในดวงตาของนาง ถึงกับเผยความสุขุมมั่นใจที่ชวนให้คนเลื่อมใสออกมา ทำให้ในใจหยวนเต๋อไท่เฟยวาบผ่านด้วยความประหลาดใจ

เดิมทีสิ่งที่นางรู้เกี่ยวกับอวิ๋นเชียนเมิ่งที่สายสืบรวบรวมมา อธิบายแค่เพียงว่าคุณหนูในภรรยาเอกแห่งจวนอัครเสนาบดีผู้นี้ขี้ขลาดอ่อนแอ แม้แต่การถอนหมั้นที่ตำหนักจินหลวนก่อนหน้านี้ก็ถูกจัดเป็นการตัดสินใจอย่างโง่เขลาที่เกิดเพราะไม่อาจทนรับการดูหมิ่นได้

ทว่าวันนี้หยวนเต๋อไท่เฟยได้พบอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยตนเอง ในใจก็ลบล้างข้อสรุปก่อนหน้านี้ทันที เพียงแต่เกิดความเคลือบแคลงต่อการกระทำของไทเฮาในครั้งนี้

ส่วนไทเฮากลับไม่ให้โอกาสหยวนเต๋อไท่เฟยกลั่นแกล้งอวิ๋นเชียนเมิ่งอีก พอพระนางเสวยชาอึกหนึ่งก็ตรัสสั่งหลันกูกูซึ่งอยู่ข้างๆ “หลันเอ๋อร์ เจ้าพาเมิ่งเอ๋อร์ไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงเถิด”

ได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็รู้ว่าพวกไทเฮาจะต้องมีเรื่องสำคัญปรึกษากันเป็นแน่ อีกทั้งจุดประสงค์ที่ให้หยวนเต๋อไท่เฟยพบตนเองก็บรรลุแล้ว ตนเองย่อมไม่มีความจำเป็นที่จะยืนแกร่วอยู่ในวังเฟิ่งเสียงอีกต่อไป จึงคล้อยตามวาจาของไทเฮา ยอบกายคำนับทุกๆ คน แล้วเดินตามหลันกูกูออกจากตำหนักไป

 

เพลานี้ตรงกับยามบ่าย แม้จะเป็นช่วงเหมันตฤดู แต่ยามแสงอาทิตย์สีเหลืองอ่อนสาดส่องลงบนร่างกลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด

อวิ๋นเชียนเมิ่งเดินตามหลันกูกูไปบนเฉลียงทางเดินยาวของอุทยานหลวงอย่างช้าๆ สายตาทอดมองออกไปแสนไกล แต่กลับพบว่าในศาลาแปดเหลี่ยมมีบุรุษผมเงินในชุดคลุมผ้าดิ้นสีเงินนั่งอยู่ บุรุษผู้นั้นหันหลังให้พวกนาง ทำให้มองไม่เห็นรูปโฉมของเขา

“คุณหนูอวิ๋น นั่นคือคุณชายสกุลหรงเจ้าค่ะ” เห็นสายตาของอวิ๋นเชียนเมิ่งหยุดลงบนเงาร่างในศาลาแปดเหลี่ยม หลันกูกูจึงเอ่ยเตือนความจำอย่างเอาใจใส่

ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ในสมองอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ปรากฏภาพเศษเสี้ยวความทรงจำออกมา ชายหนุ่มผมเงินผู้นี้คงจะเป็นหลานคนโตของสกุลหรงซึ่งเป็นตระกูลคหบดีอันดับหนึ่งแห่งแคว้นซีฉู่

ยามนี้เองคนในศาลาคล้ายกับรู้สึกได้ถึงสายตาของอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงหันกายกลับมา ดวงตาทั้งสี่สบประสาน ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับไม่หลบหลีก เพียงแค่พยักหน้าให้นายน้อยสกุลหรงอย่างมีมารยาทเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ

ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นเฉินอ๋องที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหัวมุมของเฉลียงทางเดิน

อวิ๋นเชียนเมิ่งจนปัญญา ได้แต่ย่อเข่าคำนับ “ผู้น้อยคารวะเฉินอ๋องเจ้าค่ะ”

เหล่านางกำนัลที่ติดตามอยู่ด้านหลังนางก็พากันยอบกายต่ำคารวะเฉินอ๋องด้วยสีหน้าระมัดระวัง

วันนี้เฉินอ๋องสวมชุดคลุมผ้าต่วนยาวสีดำสนิท คลุมทับด้วยผ้าคลุมสีเดียวกัน ยามนี้ดวงหน้าหล่อเหลาบึ้งตึง จึงไม่แปลกที่ทุกคนจะหวาดกลัว

ทว่าเสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับราบเรียบเยือกเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพเหตุการณ์ที่นางกับหรงอวิ๋นเฮ่อสบตากันจากที่ไกลๆ ถูกเฉินอ๋องเห็นเขา ทำให้ในใจเฉินอ๋องไม่สบอารมณ์ จึงกล่าวด้วยเสียงกระด้างทันที “ดูท่าคุณหนูอวิ๋นคงจะหากิ่งไม้สูงได้แล้ว?”

ได้ยินวาจาเขา อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ยิ้มเย็นในใจ ทันใดนั้นพลันช้อนตาขึ้นสบกับนัยน์ตาเย็นเยียบของเฉินอ๋อง กล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “ท่านอ๋องเปลืองสมองแล้ว ผู้น้อยขอตัวลา”

พูดจบก็ไม่สนใจดวงตาที่แทบจะพ่นไฟได้ของเฉินอ๋อง พาทุกคนเลยผ่านข้างกายเขาไป เดินมุ่งตรงไปข้างหน้า

เฉินอ๋องกลับไม่พอใจ ขณะกำลังจะขวางทางอวิ๋นเชียนเมิ่ง เงาร่างสีน้ำเงินสดใสก็มาถึงเบื้องหน้าทุกคนอย่างไร้สุ้มเสียง “คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับคุณหนูอวิ๋นและเฉินอ๋องที่นี่”

ผู้ที่มาใหม่ก็คือฉู่เฟยหยาง เห็นเขาใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มบางๆ ก่อให้เกิดเป็นการเปรียบเทียบที่แตกต่างอย่างชัดเจนกับสีหน้าเย็นชาของเฉินอ๋อง

หลันกูกูมองดูเฉินอ๋องและฉู่เฟยหยางที่ทยอยปรากฏตัวออกมา รีบกล่าวเสียงต่ำทันทีว่า “คุณหนูอวิ๋น ไทเฮาทรงรอท่านอยู่ พวกเรารีบกลับกันเถิดเจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเองก็รู้ว่าข้างกายตนมีเพียงหลันกูกูกับสุ่ยเอ๋อร์และปิงเอ๋อร์ติดตามมาแค่สามคน เข้าใจดีว่าหากรั้งอยู่นานจะสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของตน จึงยอบกายคำนับคนทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้าหมายจะจากไป ทว่ากลับถูกเฉินอ๋องขวางทางไว้

ขณะเดียวกันเสียงของเฉินอ๋องก็ดังขึ้นข้างหู “ตำหนักในเป็นสถานที่สำคัญ หาใช่ที่ที่คนนอกจะสามารถเข้าออกได้ตามใจชอบ อัครเสนาบดีฉู่เคารพกฎระเบียบเสมอมา ไฉนวันนี้ถึงไม่เข้าใจแม้กระทั่งกฎเกณฑ์พื้นฐานเล่า หรือว่าจะเป็นเพราะใครบางคน”

ในขณะที่เอ่ยวาจา สายตาของเฉินอ๋องก็มองสำรวจอวิ๋นเชียนเมิ่งกับฉู่เฟยหยางไม่หยุด

อวิ๋นเชียนเมิ่งสวมชุดคลุมสีน้ำทะเลยาวจรดพื้น ส่วนฉู่เฟยหยางสวมชุดคลุมผ้าต่วนยาวสีน้ำเงินสดใส ช่างเจริญหูเจริญตายิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงก่อนหน้าที่ฉู่เฟยหยางพูดไกล่เกลี่ยแทนอวิ๋นเชียนเมิ่งในท้องพระโรงก็ยิ่งทำให้ในใจเฉินอ๋องไม่สบอารมณ์เหลือแสน

พอวาจานี้โพล่งออกไป นัยน์ตาที่หลุบลงครึ่งหนึ่งของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ฉายโทสะวาบผ่านบางๆ ส่วนฉู่เฟยหยางกลับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ตอบกลับอย่างสบายอารมณ์ “หากท่านอ๋องยังรั้งตัวอยู่อีก เกรงว่าไทเฮาจะประกาศราชโองการแล้วนะขอรับ”

ฉู่เฟยหยางพูดอย่างสบายๆ แต่สีหน้าเฉินอ๋องกลับบึ้งตึงในชั่วพริบตา ถลึงตาใส่ฉู่เฟยหยางอย่างดุร้ายแวบหนึ่ง ต่อมาก็มองอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างลึกซึ้งชั่วครู่ จากนั้นหันกายเดินสาวเท้าพรวดไปยังวังของไทเฮา

อวิ๋นเชียนเมิ่งนิ่งเงียบฟังการปะทะคารมของสองคนนี้ ถึงแม้ในใจจะเกิดคำถาม แต่ก็รู้ว่าสถานการณ์ของตำหนักในสลับซับซ้อน หากพูดผิดแค่คำเดียวก็พินาศล่มจมได้ จึงเอ่ยเสียงเบา “ผู้น้อยขอตัวลา”

ฉู่เฟยหยางมิได้ยับยั้งไม่ให้นางจากไป เพียงแต่ยามที่นัยน์ตาอมยิ้มมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับเจือด้วยแววค้นหาและสืบเสาะ กระทั่งเงาร่างของอวิ๋นเชียนเมิ่งเลือนหายไปจากสายตา เขาถึงได้หมุนกายเดินไปยังทิศทางของประตูวังอย่างนุ่มนวล

อวิ๋นเชียนเมิ่งเพิ่งจะวกกลับวังเฟิ่งเสียงของไทเฮาก็เห็นหยวนเต๋อไท่เฟยสาวเท้าพรวดๆ ออกมาด้วยสีหน้าเจือแววเดือดดาล ส่วนเฉินอ๋องก็ตามอยู่ด้านหลังด้วยใบหน้าเย็นชา นางกำนัลที่อยู่ข้างหลังพากันก้มหน้าไม่กล้าส่งเสียงใดๆ

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ถอยกลับไปอยู่อีกด้านทันที นำสุ่ยเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์ย่อเข่าคารวะ หยวนเต๋อไท่เฟยซึ่งเดิมกำลังเดือดเป็นฟืนเป็นไฟกลับหยุดฝีเท้าตรงหน้านางแวบหนึ่ง จากนั้นสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง แล้วพาโทสะทั่วทั้งร่างจากไป

ส่วนเฉินอ๋องเอ่ยเสียงเยียบเย็นด้วยใบหน้าอึมครึม “คุ้มครองไท่เฟยกลับจวนเฉินอ๋อง” จากนั้นเหลือบมองเงาร่างของอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยสายตาเย็นชา ก้าวออกจากวังเฟิ่งเสียงด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ

ยามอวิ๋นเชียนเมิ่งย้อนกลับมาถึงวังประทับของไทเฮา ด้านในก็เหลือเพียงไทเฮากับจี้ซูอวี่

พอไม่มีหยวนเต๋อไท่เฟย บรรยากาศภายในห้องบรรทมก็ผ่อนคลายขึ้นมาก หลังจากอวิ๋นเชียนเมิ่งทำความเคารพก็นั่งลงตรงข้างจี้ซูอวี่ ทั้งสองสนทนาพาทีเป็นเพื่อนไทเฮา

จี้ซูอวี่สังเกตสีหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างเอาใจใส่ ในดวงตาปรากฏความปลาบปลื้มและวางใจ จึงยิ้มพลางเอ่ยปาก “ไทเฮา พระองค์ทอดพระเนตรสิเพคะ สีหน้าเมิ่งเอ๋อร์วันนี้ดีขึ้นมาก ยิ่งงามเฉิดฉันขึ้นทุกที เหมือนรั่วหลีมากกว่าเดิมเสียอีกเพคะ”

ไทเฮาทรงได้ยินเช่นนั้นก็มองไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่งซึ่งนั่งเงียบอยู่อีกด้าน เห็นนางสีหน้าแดงเปล่งปลั่ง รอยแผลบนหน้าผากก็เลือนหายไปแล้ว จึงพยักพระเศียรด้วยความพอพระทัย “เห็นสีหน้าดีขึ้นมากจริงๆ ดูเหมือนว่ายายหนูเมิ่งของพวกเราจะได้สติขึ้นมาแล้ว รู้จักรักตนเองเป็นแล้ว”

ได้ยินพระนางตรัสเช่นนี้ ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เข้าใจว่าสุ่ยเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์คงจะรายงานชีวิตความเป็นอยู่ในจวนอัครเสนาบดีของตนให้ไทเฮาฟังอย่างละเอียดยิบแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ตนยังต้องการยืมความช่วยเหลือจากที่พึ่งพิงอย่างไทเฮาอยู่ จึงมิสามารถจัดการไล่สุ่ยเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์ออกไปอย่างไม่มีเหตุผล ป้องกันมิให้ตนเองตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้

ครั้นนึกถึงวัตถุประสงค์ที่มาวันนี้ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ลุกขึ้นคุกเข่าลงด้วยสีหน้าหวาดหวั่นทันที “ขอไทเฮาทรงประทานอภัยด้วยเพคะ”

ท่าทีกะทันหันของอวิ๋นเชียนเมิ่งทำให้ไทเฮากับจี้ซูอวี่ต่างพากันงุนงง กล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ยายหนูเมิ่ง เกิดเรื่องอันใดขึ้น ลุกขึ้นก่อนค่อยพูดเถิด”

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับนั่งคุกเข่าไม่ยอมลุก หมอบกายต่ำพลางกล่าวเสียงเบา “หลายวันก่อนหม่อมฉันทำกำไลหยกที่ปีนั้นไทเฮาประทานให้ท่านแม่แตก เดิมคิดจะสั่งให้คนซ่อมให้เสร็จอย่างลับๆ แต่ช่างเครื่องหยกในเมืองหลวงล้วนไม่เคยเห็นกำไลหยกที่วิจิตรประณีตเช่นนี้มาก่อนจึงไม่มีผู้ใดกล้ารับงานเพคะ ขอไทเฮาโปรดประทานแบบลายของกำไลหยกในตอนนั้น เมิ่งเอ๋อร์จะได้สั่งให้คนซ่อมแซมได้เพคะ”

ได้ยินนางกล่าวดังนี้ นัยน์พระเนตรที่เจือด้วยรอยพระสรวลของไทเฮาก็ปรากฏความงุนงงวาบผ่าน สายพระเนตรกวาดมองไปทางสุ่ยเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์เหมือนไม่ได้เจตนา เห็นพวกนางทั้งสองต่างส่ายหน้า ทว่ากลับจับผิดวาจาของอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่ได้ จึงรู้ว่าเรื่องที่ทำกำไลหยกแตกเป็นเรื่องโกหก แต่รวบรวมแบบลายต่างหากที่เป็นเรื่องจริง

จี้ซูอวี่เคยเห็นห้องนอนของอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยตาตนเอง รู้ดีว่านางไม่มีทางมีอาภรณ์เครื่องประดับล้ำค่าใดๆ ได้จึงเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่มิได้พูดเปิดโปงออกมา ทว่ากลับช่วยพูดโน้มน้าวไทเฮาเสียด้วยซ้ำ “ไทเฮา เด็กคนนี้เองก็น่าสงสาร ตั้งแต่เล็กก็ไร้มารดา เหลือเครื่องประดับพวกนั้นให้นางไว้เป็นที่ระลึกเถิดเพคะ ไทเฮาน้ำพระทัยกว้างขวาง ขอทรงช่วยให้ใจกตัญญูของนางสมปรารถนาด้วยเถอะนะเพคะ”

ไทเฮาลอบครุ่นคิดกับตนเองครู่หนึ่ง แล้วจึงรับสั่งให้ฉวีกงกงนำแบบร่างสิ่งของพระราชทานในปีนั้นทั้งหมดมามอบให้อวิ๋นเชียนเมิ่ง “ปีนั้นวังหลวงมอบกำไลข้อมือให้มารดาเจ้าไม่น้อย เจ้าเอากลับไปเทียบดูดีๆ แล้วกัน ใช้เสร็จแล้วค่อยๆ นำมาคืน”

อวิ๋นเชียนเมิ่งประคองหนังสือเอาไว้ด้วยสองมือ ในใจรู้ดีว่าไทเฮาทรงทราบวัตถุประสงค์ของตนเองอย่างกระจ่างแจ้งแล้วจึงโขกศีรษะขอบคุณอีกครั้ง

จี้ซูอวี่พอเห็นว่ายามนี้ไทเฮาทรงเผยสีพระพักตร์เหนื่อยล้า จึงลุกขึ้นออกไปจากวังเฟิ่งเสียงพร้อมกับอวิ๋นเชียนเมิ่ง

 

ภายในรถม้าที่กำลังเดินทางกลับ จี้ซูอวี่ดึงมือของอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้ามา ตบมือเล็กของนางเบาๆ ถอนหายใจเล็กน้อยพลางกล่าวด้วยความเวทนา “เด็กน้อยเอ๋ย ลำบากเจ้าแล้ว”

อวิ๋นเชียนเมิ่งคืนชีพกลับมานานแล้ว แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ถูกเป็นห่วงเป็นใยมากขนาดนี้ โดยเฉพาะความอาทรและความรักความจริงใจในดวงตาของจี้ซูอวี่ยิ่งทำให้ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งอุ่นวาบ นางจึงแย้มยิ้มกล่าวอย่างจริงใจ “ท่านป้าสะใภ้วางใจได้เจ้าค่ะ ตอนนี้เมิ่งเอ๋อร์สบายดียิ่ง”

ยิ่งอวิ๋นเชียนเมิ่งแสดงท่าท่างเข้มแข็ง ในใจจี้ซูอวี่ก็ยิ่งทรมาน นางยกมือลูบผ่านหน้าผากที่เคยได้รับบาดเจ็บของอวิ๋นเชียนเมิ่งพลางกล่าวเสียงต่ำ “พรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งบัญชีสินเดิมที่รั่วหลีนำไปด้วยตอนออกเรือนไปให้เจ้า”

ได้ยินเช่นนี้ ดวงตาทั้งสองข้างของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เบิกกว้างเล็กน้อย เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นตะลึง “ท่านป้าสะใภ้…”

ทว่าจี้ซูอวี่กลับผลิยิ้มบางๆ แม้ในรอยยิ้มนั้นแฝงด้วยอารมณ์หลากหลาย แต่กลับไม่อาจลบเลือนความแน่วแน่ที่ก้นบึ้งดวงตาได้ “เด็กน้อยเอ๋ย สิ่งเหล่านั้นเดิมทีก็เป็นของเจ้า ป้าสะใภ้เชื่อว่าเจ้าจะต้องเอากลับคืนมาได้แน่”

ความอ่อนโยนของจี้ซูอวี่ทำให้ความตื้นตันวาบผ่านในใจอวิ๋นเชียนเมิ่ง ถึงกับเอ่ยอย่างสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “เมิ่งเอ๋อร์จะไม่ทำให้ท่านป้าสะใภ้ผิดหวังเจ้าค่ะ”

‘ปึง!’ ยามนั้นเอง รถม้าที่ทั้งสองนั่งโดยสารอยู่กลับถูกชนเข้า บังเกิดเสียงดังสนั่น…

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com