ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ
ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ
บทที่ 8 ผีบ้ากามหยวนชิ่งโจว
“ใครก็ได้ จับนางเด็กที่พุ่งชนรถม้าไปโบยให้ตายเสีย!”
อวิ๋นเชียนเมิ่งเพิ่งจะประคองจี้ซูอวี่เอาไว้ก็ได้ยินเสียงแหลมเล็กของฉวีกงกงที่อยู่นอกรถม้า
การไม่ถามที่มาที่ไปก็โบยคนที่พุ่งมาชนให้ตายแบบนี้ไม่นับว่าเป็นการลงมือที่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามนี้รถม้ากำลังเคลื่อนผ่านเขตที่พลุกพล่านที่สุดของเมืองหลวง ถ้าเรื่องเช่นนี้ถูกชาวบ้านร้านตลาดเห็นเข้าเกรงว่าราชวงศ์แห่งแคว้นซีฉู่อาจจะสูญเสียความเชื่อมั่นจากราษฎรได้ และก็มิใช่เรื่องดีสำหรับอวิ๋นเชียนเมิ่งและจี้ซูอวี่ที่โดยสารรถม้ามาในวันนี้เช่นกัน
“รอเดี๋ยว! ฉวีกงกง เกิดเรื่องอันใดขึ้น” อวิ๋นเชียนเมิ่งกับจี้ซูอวี่มองหน้ากันแวบหนึ่ง ต่างเข้าใจความคิดในใจของอีกฝ่าย อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงส่งเสียงห้ามปรามทันที
“คุณหนู จู่ๆ นางเด็กคนนี้ก็ถลาออกมากลางถนนชนเข้ากับรถม้า ท่านกับฮูหยินปลอดภัยดีนะขอรับ?” ฉวีกงกงในตอนนี้ตอบคำถามของอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างนุ่มนวล แตกต่างจากเสียงคาดโทษอย่างเลือดเย็นเมื่อครู่
“ท่านผู้สูงศักดิ์ช่วยด้วย! บ่าวมิได้ตั้งใจ ท่านผู้สูงศักดิ์โปรดเมตตาปรานี ขอร้องพวกท่านช่วยบ่าวด้วย” ยามนี้แม่นางน้อยที่ถูกขันทีหลายคนลากตัวเอาไว้สลัดหลุดจากพันธนาการวิ่งมายังข้างรถม้าโดยพลัน คว้าบังเหียนเอาไว้แน่น ขอร้องอ้อนวอนต่อคนในรถม้า
“ตายกันไปหมดแล้วหรือไร แค่เด็กผู้หญิงคนเดียวก็จับไว้ไม่อยู่ ยังไม่รีบพานางออกไปอีก” ครั้นฉวีกงกงเห็นเด็กสาวใจกล้าเทียมฟ้าปานนี้จึงรีบคุ้มครองข้างรถม้าทันที ชี้ไปยังพวกขันทีผู้น้อยพลางก่นด่า
“ดีจริงๆ นางสารเลว หนีมาถึงที่นี่เชียวหรือ คอยดูว่าถ้าข้าจับเจ้าได้จะให้เจ้าตายอย่างไร!” ทว่าขันทีผู้น้อยเหล่านั้นยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองก็ได้ยินเสียงบุรุษซึ่งแฝงความโกรธเกรี้ยวดังใกล้เข้ามา
อวิ๋นเชียนเมิ่งกับจี้ซูอวี่ไม่สะดวกจะโผล่หน้าออกไป ถึงแม้จะยังไม่เห็นเจ้าของเสียงนั้น ทว่าฟังน้ำเสียงเขาเอ่ยวาจาก็รู้ว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นคุณชายเจ้าสำราญเป็นแน่ ทั้งสองจึงอดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้
ฉวีกงกงซึ่งอยู่นอกรถม้ากลับตาไวจำผู้ที่มาใหม่ได้จึงรีบตีสีหน้าแย้มยิ้มทันที เอ่ยกับบุรุษที่เดินเข้ามาอย่างเดือดดาลผู้นั้น “นี่มิใช่คุณชายน้อยจวนหานกั๋วกงหรอกหรือ บ่าวขอคารวะท่าน”
จวนหานกั๋วกงมิใช่บ้านใครอื่น แต่เป็นบ้านเดิมของหยวนเต๋อไท่เฟย
ยามที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพอยู่ หยวนเต๋อไท่เฟยกับไทเฮาก็มิได้มีความสัมพันธ์อันดีนัก วันนี้ญาติของทั้งสองตระกูลพบกันเข้าอย่างจัง ยิ่งไปกว่านั้นหยวนชิ่งโจวแห่งจวนหานกั๋วกงผู้นี้ไร้ความรู้ความสามารถ ลุ่มหลงมักมากในอิสตรี ส่วนพวกอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เป็นสตรี ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจไม่ระวังตัว
หยวนชิ่งโจวเองก็คาดไม่ถึงว่าจะพบกับคนของฝั่งไทเฮา โทสะบนใบหน้าจึงเก็บงำไว้ทันที หรี่ตามองฉวีกงกงแวบหนึ่งแล้วเอ่ยโดยที่หนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม “ที่แท้เป็นฉวีกงกงนี่เอง! คู่แค้นถนนแคบ จริงๆ วันนี้ท่านไม่ต้องปรนนิบัติไทเฮาของพวกเราอยู่ที่วังเฟิ่งเสียงหรอกหรือ”
หยวนชิ่งโจวทำน้ำเสียงเสียดสีกระทบกระเทียบ วาจาที่แฝงเร้นเป็นการเหน็บว่าฉวีกงกงเป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้คนหนึ่ง พูดจบก็นำข้ารับใช้ที่อยู่ด้านหลังตนหัวเราะดังฮ่าๆ ท่าทางโอหังอวดดีทำให้ประชาชนที่มุงดูอยู่รอบๆ พากันขมวดคิ้ว
ทว่าบนใบหน้าฉวีกงกงกลับมองไม่เห็นความโกรธเคืองแม้แต่กระผีกริ้น อย่างไรเสียผู้ที่เขาเป็นตัวแทนยามออกมาข้างนอกคือไทเฮา จึงไม่อาจทำให้ไทเฮาอับอายได้ แต่เมื่อเผชิญหน้าลูกไม้เช่นนี้ของหยวนชิ่งโจว หากไม่ให้บทเรียนสักหน่อย เกรงว่าอีกฝ่ายจะปีนขึ้นวางอำนาจบาตรใหญ่บนพระเศียรไทเฮาจริงๆ
ฉวีกงกงส่งสายตาให้พวกขันทีผู้น้อยซึ่งอยู่ข้างกาย ขันทีหลายคนนั้นจึงห้อมล้อมรถม้าไว้ทันที ไม่ให้หยวนชิ่งโจวแตะต้องมือของเด็กสาวตัวน้อยได้ แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ “แน่นอนว่าวันนี้บ่าวออกจากวังมาทำธุระตามพระบัญชาของไทเฮา มิได้เอ้อระเหยลอยชายเช่นคุณชายน้อย วิ่งไล่ตามผู้หญิงไปทั่วถนนหรอกขอรับ”
พอฉวีกงกงโพล่งวาจานี้ออกไป เสียงแอบหัวเราะระลอกใหญ่พลันดังขึ้นทันที
หยวนชิ่งโจวถูกฉีกหน้าท่ามกลางหมู่คนจึงย่อมเสียหน้าเป็นธรรมดา ในดวงตาพลันปรากฏแววดุร้าย สั่งให้ฉวีกงกงหลีกทาง “เจ้าก็เป็นแค่ข้ารับใช้คนหนึ่งเท่านั้น ยังจะกล้าขวางทางข้าอีกหรือ รีบส่งตัวนางบ่าวสารเลวนั่นมา มิฉะนั้นเจ้าได้เจอดีแน่!”
พูดจบ บ่าวด้านหลังหยวนชิ่งโจวก็ทำท่าจะเข้ามาชิงคน
ฉวีกงกงไหนเลยจะยอมให้เขาเข้าใกล้รถม้า หากคุณหนูอวิ๋นกับฮูหยินที่อยู่ด้านในได้รับความตื่นตระหนก ไทเฮา ฮ่องเต้ และจวนฝู่กั๋วกงกล่าวโทษลงมา กลัวว่าชีวิตน้อยๆ ของตนคงจะรักษาเอาไว้ไม่อยู่
ฉวีกงกงขยับเดินเข้าไปหนึ่งก้าว ขัดขวางการเข้าประชิดของคนทั้งหมด ดวงตาทั้งสองข้างที่หรี่น้อยๆ เปล่งแววตาเย็นเฉียบ สีหน้าที่เริ่มมืดทะมึนยิ่งทำให้คนตระหนักได้ถึงความน่ายำเกรงของผู้ดูแลใหญ่แห่งตำหนักใน “สามหาว! พวกเจ้าถึงกับกล้าขวางรถม้าของราชสกุลบนถนนหนทางเชียวหรือ โทษของพวกเจ้าสมควรถูกประหาร!”
ตวาดเสียงดังเช่นนี้ ทำให้บ่าวชั่วหลายคนที่เข้ามาใกล้รถม้าด้วยเจตนาร้ายชะงักฝีเท้าได้จริงๆ พากันหันหน้ามองไปทางหยวนชิ่งโจวด้วยความขลาดกลัวเล็กน้อย คล้ายกับกำลังขอความเห็นจากเขา
ทว่ายามอยู่ในบ้านหยวนชิ่งโจวก็เป็นจอมเผด็จการน้อย กอปรกับคนที่เผชิญหน้าด้วยยามนี้เป็นศัตรูของวงศ์สกุลอีก เขาไหนเลยจะเกรงกลัวขันทีอย่างฉวีกงกง
หยวนชิ่งโจวจึงก้าวเดินเข้าไปด้วยฝีเท้าเร็วรี่ มือหนึ่งผลักข้ารับใช้ที่อยู่ตรงหน้าออก ทำท่าจะเข้าไปคว้าตัวเด็กสาวคนนั้นไว้ด้วยตนเอง
เดิมทีแม่นางน้อยผู้นั้นจับบังเหียนไว้แน่น แต่พอเห็นหยวนชิ่งโจวเดินเข้ามาด้วยท่าทางดุร้ายเหี้ยมเกรียม ในใจนางพลันสั่นสะท้าน รีบปีนขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิด นางเลิกผ้าม่านออกแล้วเบียดตนเองเข้าไปด้านใน ในขณะที่ทุกคนยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
“ช่วยด้วยเจ้าค่ะ โปรดช่วยด้วยเจ้าค่ะ” แม่นางผู้นั้นเห็นสตรีสูงศักดิ์งามงดสองนางนั่งอยู่ภายในรถจึงรีบโขกศีรษะอย่างสุดชีวิตทันที ปากตะโกนร้องไม่หยุด
หยวนชิ่งโจวซึ่งเดิมทีไล่ตามมามองเห็นผู้ที่อยู่ในรถม้าได้ถนัดตาตอนที่ผ้าม่านถูกเลิกขึ้น ทันใดนั้นพลันถูกรูปโฉมอันงดงามของอวิ๋นเชียนเมิ่งดึงดูดเข้า ฝีเท้าหยุดชะงักกึกทันที จากนั้นให้คนรับใช้จัดแต่งอาภรณ์ให้ตนเองแล้วจึงประสานมือคารวะไปทางรถม้า กล่าวอย่างสุภาพเรียบร้อย “ชนคุณหนูกับฮูหยินเข้าให้แล้ว ขอทั้งสองท่านโปรดอภัย”
หากมิได้เห็นฉากเมื่อครู่นี้ ทุกคนคงจะนึกว่าหยวนชิ่งโจวเป็นคนอ่อนน้อมมีมารยาท แต่การแสดงออกของเขาเมื่อครู่ชัดแจ้งแก่ใจมากเกินไป ทำให้จี้ซูอวี่ที่อยู่ในรถขมวดคิ้วขึ้น ส่วนในดวงตาอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ฉายแววรังเกียจ
“เขาไล่ตามเจ้าเพราะเหตุใด” เห็นแม่นางผู้นี้แต่งกายซอมซ่อ อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงเอ่ยถามขึ้น
“ครอบครัวบ่าวเช่าที่ดินของจวนหานกั๋วกง แต่ช่วงก่อนหน้านี้ท่านพ่อล้มป่วยจึงไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า คุณชายหยวนจึงพูดกับท่านพ่อว่าให้ข้าหลับนอนกับเขาหนึ่งเดือนเพื่อชดใช้ค่าเช่า แต่ท่านพ่อทนยอมไม่ได้จึงให้บ่าวหนีไป เขาก็เลยพาคนไล่ตามมา คุณหนูกับฮูหยินช่วยบ่าวด้วยนะเจ้าคะ บ่าวยินดีขายตัวเป็นวัวเป็นม้าที่จวนท่าน” พูดจบเด็กสาวผู้นั้นก็เริ่มโขกศีรษะอีกครั้ง
อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นนางอยู่ในสภาพเช่นนี้ ความรู้สึกที่มีต่อหยวนชิ่งโจวก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปใหญ่ ครั้นถามจำนวนเงินค่าเช่าอย่างละเอียดก็หยิบเงินตามจำนวนนั้นออกมาจากถุงพกแล้วมอบให้ฉวีกงกง
จี้ซูอวี่เห็นว่าอย่างไรอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เป็นสาวเป็นนาง ตนเองจึงเอ่ยปากแทน “คุณชายหยวน ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้พวกเราต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ นี่คือเงินค่าเช่า ขอให้เจ้ารับไปเสีย แล้วอย่าสร้างความลำบากให้ผู้อื่นอีก หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะเกิดผลเสียต่อจวนเฉินอ๋องได้ เกรงว่าหยวนเต๋อไท่เฟยคงจะไม่ยอมเลิกราแต่โดยดีแน่”
วาจานี้กล่าวได้อย่างหลักแหลม ที่สกุลหยวนสามารถรุ่งเรืองไม่เสื่อมถอยมายาวนานล้วนอาศัยหยวนเต๋อไท่เฟยและเฉินอ๋อง หากหยวนชิ่งโจวยั่วโทสะสองคนนั้นเพียงเพราะสตรีคนเดียว การค้าขายครั้งนี้คิดคำนวณอย่างไรก็ไม่คุ้มค่า อีกทั้งยามนี้หยวนชิ่งโจวจิตใจลอยล่องเตลิดเปิดเปิงเพราะอวิ๋นเชียนเมิ่ง ไหนเลยจะยอมทำลายภาพลักษณ์ของตนเองต่อหน้าสาวงามได้ จึงรับเงินทันที พกลูกคิดคันน้อยในใจรีบเร่งกลับบ้าน
“นี่เงินสิบตำลึง พาบิดาเจ้าไปรักษาอาการป่วยเถิด” รอกระทั่งหยวนชิ่งโจวจากไปจริงๆ แล้ว อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงหยิบเงินจำนวนหนึ่งมอบให้แม่นางน้อยผู้นั้น
ทว่าเด็กสาวกลับไม่รับไว้ หลังจากส่ายศีรษะก็เอ่ยอย่างแน่วแน่ “บ่าวเป็นคนของคุณหนูแล้ว จะปรนนิบัติคุณหนูตลอดชีวิตเจ้าค่ะ”
แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งไม่เชื่อใจผู้อื่นง่ายๆ หากเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นกับดักที่ผู้อื่นวางไว้ เช่นนั้นตนเองมิใช่ทำดีได้ชั่วหรอกหรือ
นางวางเงินใส่มือเด็กสาวผู้นั้นทันที จากนั้นให้ฉวีกงกงพานางลงไปจากรถม้า
“นายท่าน คุณหนูสกุลอวิ๋นผู้นี้ฉลาดยิ่ง” หารู้ไม่ ยามนี้บนโรงน้ำชาด้านซ้ายมือของถนน หน้าต่างไม้บานหนึ่งเปิดแง้มไว้เพียงครึ่ง บุรุษวัยกลางคนในชุดคลุมยาวยืนอยู่ริมหน้าต่างเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทั้งหมด
ล้อรถหมุนเคลื่อนขึ้นอีกครา ฉวีกงกงตาไวมองเห็นเงาร่างลับๆ ล่อๆ ตามติดอยู่ด้านหลังรถม้า หลังจากจดจำสถานะของคนผู้นั้นได้ก็เอ่ยเตือนจี้ซูอวี่กับอวิ๋นเชียนเมิ่งที่อยู่ในรถด้วยเสียงเบาๆ ทันที “ฮูหยิน เด็กรับใช้ของคุณชายหยวนตามอยู่ด้านหลังรถม้าของพวกเรามาตลอดทางเลยขอรับ”
“ฮึ ดูท่าคุณชายหยวนผู้นี้คงจะลุ่มหลงในอิสตรีจริงๆ สินะ! หลินเหล่าไท่จวินแห่งจวนหานกั๋วกงหมั้นหมายให้เขามาตั้งแต่เด็กๆ อีกฝ่ายเป็นถึงคุณหนูในภรรยาเอกของจวนอู๋กั๋วกง แต่ไม่คาดคิดว่าหลังจากคุณชายหยวนเติบใหญ่ขึ้นจะมีความประพฤติเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายคุณหนูอู๋ผู้นั้นจริงๆ” จี้ซูอวี่ขมวดคิ้วใบหลิวน้อยๆ หลังจากได้ยินคำเตือนของฉวีกงกง ในดวงตาเผยแววหยามเหยียดอย่างอดไม่อยู่
อวิ๋นเชียนเมิ่งมิได้เอ่ยวาจาให้มากความ กระทั่งรถม้ามาถึงหน้าประตูจวนอัครเสนาบดีอวิ๋นถึงได้กล่าวลาจี้ซูอวี่ แล้วเดินเข้าไปในประตูใหญ่ของจวนโดยมีหลิ่วอี๋เหนียงคอยประคอง
“คุณหนูใหญ่ เมื่อครู่บ่าวเห็นพ่อบ้านจ้าวรีบร้อนไปบ้านเดิมของซูอี๋เหนียงด้วยเจ้าค่ะ” เมื่อประคองอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินมาถึงมุมหนึ่งในจวนที่ค่อนข้างเงียบสงบ หลิ่วอี๋เหนียงก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา
“อ้อ รู้หรือไม่ว่าเขามีธุระใด” อวิ๋นเชียนเมิ่งถามอย่างสนอกสนใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าซูชิงกับพ่อบ้านจ้าวกำลังสมคบคิดกันทำเรื่องชั่วจริงๆ เสียด้วย
เมื่อได้ยินคำถาม หลิ่วอี๋เหนียงกลับทำได้เพียงแค่ส่ายศีรษะ ซูชิงควบคุมดูแลเรือนเฟิงเหออย่างรอบคอบปานนั้น วางกำลังคนสอดแนมไม่ได้จริงๆ “บ่าวรู้แค่ว่าหลังจากท่านออกไป คุณหนูรองก็บันดาลโทสะ แต่ไม่รู้ว่าซูอี๋เหนียงพูดอะไรกับนาง ตอนที่คุณหนูรองออกไปจากเรือนเฟิงเหอถึงกับยิ้มหน้าระรื่น หลังจากนั้นพ่อบ้านจ้าวก็รีบไปที่บ้านสกุลซูเจ้าค่ะ”
พอฟังคำบอกเล่าของหลิ่วอี๋เหนียงจบ อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับหัวเราะเสียงต่ำ กวักมือเรียกให้นางเข้ามาใกล้ๆ ทันที เอ่ยสั่งที่ข้างหูนาง “เจ้าไปบอกเด็กรับใช้หน้าประตูว่าถ้ามีคนมาสืบถามเรื่องคุณหนูจวนอัครเสนาบดีกับพวกเขา ก็ให้บอกไปว่าวันมะรืนคุณหนูจะเดินทางไปเมืองซูเฉิง”
เมื่อฟังคำสั่งของอวิ๋นเชียนเมิ่งจบ ถึงแม้ในใจหลิ่วอี๋เหนียงจะไม่ค่อยเข้าใจ ทว่าความฉลาดปราดเปรื่องของอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับทำให้นางพยักหน้าทำตามคำสั่งทันที
ยามอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับถึงเรือนฉี่หลัวก็สั่งกับแม่นมหมี่ว่า “แม่นม ข้าจำได้ว่าของบำรุงที่หลิ่วอี๋เหนียงส่งมาให้คราวก่อนมีโสมหิมะร้อยปีอยู่สองต้น ไปเอาทั้งหมดมาเสีย”
“เจ้าค่ะ”
ประตูข้างของจวนหานกั๋วกงในยามนี้เปิดแง้มน้อยๆ ออกเป็นมุมเล็กๆ เงาร่างสีควันสายหนึ่งผลุบเข้าไปอย่างรวดเร็ว วิ่งตะบึงไปยังเรือนซงลู่
เงาร่างสีควันนั้นวิ่งเข้าไปในห้องอย่างปราดเปรียว คุกเข่าให้หยวนชิ่งโจวแล้วรีบพูดขึ้นทันที “หมิงซิงคารวะนายน้อยขอรับ”
หมิงซิงผู้นั้นเห็นนายน้อยของตนร้อนใจถึงปานนี้ก็เลือกพูดแต่ประเด็นสำคัญ “เรียนนายน้อย บ่าวสืบมากระจ่างทั้งหมดแล้วขอรับ ผู้นั้นคือคุณหนูใหญ่แห่งจวนอัครเสนาบดีอวิ๋น มีนามว่าอวิ๋นเชียนเมิ่ง ซึ่งก็คือหญิงสาวที่ถูกเฉินอ๋องถอนหมั้นเมื่อหนึ่งเดือนกว่าๆ ก่อนหน้านี้ขอรับ”
ได้ยินดังนั้น ความตื่นเต้นบนใบหน้าหยวนชิ่งโจวก็เลือนหายไปเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว พูดพึมพำกับตนเอง “นางคืออดีตคู่หมั้นของญาติผู้พี่หรือนี่ งามสะคราญถึงเพียงนี้ญาติผู้พี่ยังผลักไสไล่ส่งนาง แต่ว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี…”
หมิงซิงเห็นใบหน้าหยวนชิ่งโจวเผยแววลำบากใจ จึงคาดเดาความคิดของผู้เป็นนายไม่ออกไปชั่วขณะ เอ่ยหยั่งเชิงขึ้น “นายน้อย บ่าวยังสืบได้ความมาอีกว่าวันมะรืนอัครเสนาบดีอวิ๋นให้คุณหนูออกเดินทางไปเมืองซูเฉิง ได้ยินว่าจะไปรับฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นกลับเมืองหลวงขอรับ”
หยวนชิ่งโจวได้ยินข่าวนี้จึงกล่าวด้วยสีหน้ายินดีปรีดา “ไป ตามข้าไปเยี่ยมท่านย่ากัน”