เช้าวันต่อมาเฉินจิ้งจงขี่ม้าตัวเดิมของตนไปกององครักษ์
หลังหวาหยางกินอาหารเช้าเสร็จ นางก็เรียกอู๋รุ่นมาพบแล้วบอกให้เขาไปตลาดม้า ดูว่ามีม้าชั้นยอดบ้างหรือไม่
ม้าดีที่สามารถเอามาขายที่เมืองหลวงได้โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นม้าเหมิงกู่ ทว่าม้าเหมิงกู่เองก็มีแบ่งแยกดีเลว ม้าชั้นยอดที่นานทีปีหนถึงจะพบเห็นได้สักครั้ง พวกพ่อค้าล้วนส่งข่าวแจ้งต่อตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงก่อนเป็นอันดับแรกแล้ว อีกทั้งยังขายพวกมันออกไปจนสิ้น ถึงม้าที่เหลือจะจัดว่าเป็นม้าชั้นยอด แต่สำหรับหวาหยางแล้วพวกมันยังคงดีไม่พอที่จะนำไปส่งมอบเป็นของขวัญได้
อู๋รุ่นรู้จักสายตาของจ่างกงจู่ดีที่สุด หลังจากวิ่งตะลอนอยู่ด้านนอกเป็นนาน เขาก็กลับมารายงาน “ทูลจ่างกงจู่ ในตลาดม้ายามนี้ไม่มีม้าชั้นเลิศที่ทำให้คนตาลุกวาวได้ ทว่ากระหม่อมได้แจ้งต่อพ่อค้าม้าเหล่านั้นแล้ว หากพวกเขามีม้าฝูงใหม่เข้ามา ให้ส่งข่าวมาที่จวนของพวกเราก่อน”
ต่อให้เมืองหลวงมีขุนนางเดินกันอยู่เต็มไปหมด นอกวังหลวงก็ไม่มีบ้านไหนตระกูลใดที่จะมีอำนาจบารมีมากไปกว่าจวนจ่างกงจู่ของหวาหยางนี้
หวาหยางเอ่ยถาม “ต้องรอนานเท่าไร”
“ก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์น่าจะมีม้าฝูงใหม่ส่งเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ”
นับวันเวลาดู ยังต้องรออีกประมาณเดือนกว่า
หวาหยางบอกให้อู๋รุ่นคอยติดตามเรื่องนี้ นางตัดสินใจวางเรื่องซื้อม้าลงก่อนชั่วคราว
พอถึงวันที่หนึ่งเดือนแปด หวาหยางเข้าวังไปพบเสด็จแม่เหมือนเช่นเคย
ชีไทเฮาเห็นบุตรสาวหน้าตาอิ่มเอิบมีสง่าราศีเช่นนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าบุตรสาวอยู่นอกวังมีอิสรเสรีมากกว่าอยู่ในวังหลวง ทว่าออกเรือนไปก็เกือบจะห้าปีแล้ว ชีไทเฮาเกรงว่านางจะทำตัวเป็นอิสระมากไปจนราชบุตรเขยเข้าใจว่าในใจนางไม่มีเขา เป็นเหตุให้สองสามีภรรยาห่างเหินกัน
“เจ้าอายุยี่สิบสองแล้ว จะว่าไปก็ควรมีทายาทได้แล้ว” ชีไทเฮาเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ชีไทเฮาเป็นมารดาผู้เข้มงวด ชาติที่แล้วอีกฝ่ายว่าอย่างไรหวาหยางล้วนไม่กล้าขัด ทว่าชาตินี้นางกลับไม่ได้หวาดเกรงถึงเพียงนั้น ตรงกันข้ามกลับจีบปากตอบ
“หากเสด็จแม่ยังเร่งรัดลูกอีก วันหน้าลูกจะไม่เข้าวังมาแล้วนะเพคะ”
ชีไทเฮา “…ที่แม่พูดก็เพราะหวังดีต่อเจ้า”
“ที่ลูกพูดก็เพราะหวังดีต่อเสด็จแม่เช่นกันเพคะ หากครั้งหน้าลูกยังคงดื้อรั้น เสด็จแม่จะได้ไม่ต้องกริ้วอีก”
ชีไทเฮารู้สึกว่านับวันเหตุผลข้างๆ คูๆ ของบุตรสาวเหมือนจะยิ่งมากขึ้นทุกขณะ เพียงแต่ตอนบุตรสาวยังเล็กนางสามารถให้หมัวมัวช่วยจับตาดู สั่งให้บุตรสาวตั้งอกตั้งใจศึกษาจริยวัตรได้ ทว่ายามนี้นางไหนเลยจะสามารถเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องราวในห้องหอของบุตรสาวกับราชบุตรเขยได้
ขณะที่พวกนางสองแม่ลูกต่างไม่มีใครยอมใคร หยวนโย่วฮ่องเต้ก็มาถึงพอดี
หลังผู้เป็นน้องชายแสดงคารวะเสร็จ หวาหยางก็หาข้ออ้างพาเขาไป สองพี่น้องเปลี่ยนสถานที่พูดคุยกัน
“เสด็จพี่ทำเสด็จแม่กริ้วกระนั้นหรือ” หยวนโย่วฮ่องเต้รู้จักสังเกตวาจาและสีหน้าคน โดยเฉพาะกับสีหน้าของผู้เป็นมารดา
หวาหยางนั่งอยู่ในศาลารับลม บอกพวกเฉาหลี่กับเฉาอวิ๋นให้ถอยออกไปก่อน หลังจากนั้นถึงพูดคุยเรื่องราวส่วนตัวกับผู้เป็นน้องชาย
“เสด็จแม่เร่งให้พี่มีลูก พี่ไม่พอใจ”
สายตาของหยวนโย่วฮ่องเต้กวาดมองไปที่ท้องน้อยของผู้เป็นพี่สาวอย่างรวดเร็ว ติ่งหูพลันแดงระเรื่อ
หวาหยางไม่ได้ตั้งใจคุยเรื่องนี้กับผู้เป็นน้องชาย นางเพียงต้องการยกย่องเฉินจิ้งจงกับบ้านสกุลเฉินอ้อมๆ เท่านั้น
“บ้านอื่นมักเป็นพ่อแม่สามีกับสามีที่ร้อนอกร้อนใจเรื่องนี้ แต่ครอบครัวสามีของพี่กลับไม่ร้อนใจ มารดาแท้ๆ กลับร้อนใจที่สุด”
หยวนโย่วฮ่องเต้ถึงวันๆ จะถูกเสด็จแม่กับเหล่าขุนนางกรอกหูเรื่องจริยธรรมข้อบัญญัติสารพัด แต่กระนั้นเขาก็ยังคงเข้าใจความหมายของผู้เป็นมารดาได้
“เสด็จแม่เพียงเป็นห่วงกลัวว่าหากเสด็จพี่ยังไม่ตั้งครรภ์อีกจะถูกชาวบ้านครหาเอาได้ก็เท่านั้น”
“แล้วอย่างไร หรือเจ้าเองก็เข้าข้างเสด็จแม่ด้วย?”
คิ้วเรียวของนางเลิกสูง ราวกับหากหยวนโย่วฮ่องเต้กล้าพยักหน้า นางก็จะระเบิดโทสะใส่เขา
หยวนโย่วฮ่องเต้ไหนเลยจะกล้าล่วงเกินผู้เป็นพี่สาว หากอีกฝ่ายแค่โกรธก็ยังพอว่า ถ้านางคิดว่าแม้แต่คนในครอบครัวก็ยังไม่ช่วย ถึงตอนนั้นนางคงต้องเป็นทุกข์แน่